"มิงกะลาบา พุกาม"
ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นพร้อมกองทัพบอลลูนบนแบ็คกราวด์ทะเลเจดีย์
ยามเย็นดูพระอาทิตย์ตกผลัดเวรกับพระจันทร์และดาวระยิบๆ ปั่นจักรยานเที่ยวหนึ่งวัน
นั่งๆนอนๆบนรถม้าหนึ่งวัน เดินชิวอีกหนึ่งวัน ดูวิถีชีวิตที่ย้อนหลังไปหลายสิบปีกันเต๊อะ
ใครบอกมาพุกามลำบาก สำหรับเรามันโรแมนติกม๊ากก

ปล. พุกามตอนนี้เค้าเปลี่ยนชื่แป็นบากัน Bagan แล้ว แต่จะขอเรียกพุกามตามความเคยชินของคนไทยไปก่อนนะคะ
ทริปนี้เราเดินทางช่วงวันที่ 23-26 พฤศจิกายน 2015 เป็นช่วงที่อากกาศกำลังดีเชียวแหละ
ขอเท้าความก่อนว่า…
ทริปนี้เรามากันสามคนค่ะ พลอย(เค้าเอง) พี่แนง พี่ติ๊ก สามสาวต่างสไตล์ที่มีจุดหมายปลายทางเดียวกัน
เริ่มแรกเรามาเที่ยวมัณฑะเลย์ก่อนสามวัน พอหมดเวลาสนุกที่มัณฑะเลย์จึงเดินทางไปพุกามค่ะ
เราเดินทางโดยรถบัสซึ่งจองตั๋วออนไลน์มาเสร็จสรรพแล้ว โดยจะใช้เวลาประมาณ 7 ชั่วโมงถึงพุกาม
รถมารับเราที่โรงแรมช่วงสายๆเพื่อมุ่งหน้าไปพุกาม นั่งมาได้เกือบครึ่งทางก็มาจอดที่จุดพักรถ เส้นทางหนะหรอ?
เหมือนนั่งอยู่บนรถบั๊มเลยหละ โยกๆเด้งๆ ฝุ่นก็มา แถมจอดทุกป้าย เราจองมินิบัส19ที่นั่งมา
แต่เอาเข้าจริงปาเข้าไปยี่สิบปลายๆ ผู้ร่วมทางเยอะ อบอุ่นดี ฮ่าๆ
มีพื้นที่ว่างตรงไหนรับคนได้เค้าก็รับเพิ่ม เด็กเก็บตั๋วทำหน้าที่คล้ายๆกระเป๋ารถเมล์ของไทย
ยื่นหน้าออกนอกประตู ตะโกนถามประมาณว่าไปไหมตลอดทาง แล้วก็จอดรับผู้โดยสารไปเรื่อยๆ
ซึ่งส่วนใหญ่ชาวพม่าที่เดินทางกับรสบัสเค้าก็จะมีสัมภาระแบกๆหามๆมาด้วยค่ะ
พอกองของตามซอกหลืบที่ว่างได้แล้วก็เอาตัวนั่งทับเป็นเบาะรองนั่ง เมียนม่าสไตล์
แต่เราไม่หงุดหงิดกันนะ มองว่าสนุกและเฮฮาดี ลุยไปเลยลวกเพ่

(นี่เป็นจุดพักรถค่ะ ลงจากมินิบัสที่ความโยกราวรถปั๋มมาเดินยืดเส้นยืดสายพื้นราบบ้าง)

(รถมหาสนุก ข้างนอกใหม่กริ๊บ ส่วนด้านในก็...โอเคค่ะ 555)
อย่างแรกที่เรามองหาคือห้องน้ำ เดินเข้าไปเจอนี่ สัญลักษณ์ระบุเพศกิ๊บเก๋มากฮะ
ยืนสตั๊นอยู่สามวิแล้วใช้จินตนาการต่อว่ารูปไหนเพศไหนแล้วเราต้องไปซ้ายหรือขวา 555
แต่จริงๆถ้าไม่มัวจ้องรูปจะเห็นว่าเค้ามีตัว F และ M สีเทาจางๆบอกอยู่แล้วแหละ
เข้าห้องน้ำเสร็จเดินกลับมาในที่นั่งพัก บรรยากาศก็จะคล้ายๆตอนนั่งรถทัวร์แล้วเค้ามีพักให้เรากินข้าวต้มกุ๊ย
เราก็เดินสำรวจ พบว่ามีกองทับแมลงวันจัดปาตี้บนวัตถุดิบทำอาหารสนุกเชียว
สาวพม่าก็เอาสำรับมาวางแล้วเรียกให้เราไปนั่งกิน แต่ยังก่อน จังหวะนั้นไม่รู้สึกถึงความน่ากินซักกะนิ๊ดด
แถมเพื่อนร่วมทางทั้งสองคนก็ยืนยันหนักแน่นว่าไม่ขอลอง กลัวท้องเสียจู๊ดๆ เราก็เลยเดินถ่ายรูปไป
แต่เอ๊ะทำไมฝรั่งที่มาในรถคันเดียวกันเค้านั่งเคี้ยวตุ้ยๆ หรือมันอาจจะอร่อยเหาะแม้หน้าตาตะไม่น่ากิน
สุดท้ายด้วยความอยากลอง เราเลยเดินไปขอนั่งร่วมโต๊ะกับเค้า แต่พี่สาวทั้งสองก็ยังหนักแน่นขอนั่งรอเฉยๆดีกว่า
กินได้สิบนาทีเค้าก็เรียกขึ้นรถ(ที่กินเข้าไปมีอะไรบ้างก็ไม่รู้ แฮะๆ)
แต่เดี๋ยว แท๊แด่! ขึ้นไปยังไม่ทันนั่งได้ที่เจ้ที่เอาหารว่าเสริฟตามมาเก็บเงินค่ะ ฝรั่งข้างหลังบอกว่า
อ่าว นึกว่ามาเป็นแพคเกจมื้ออาหารพร้อมค่ารถที่จ่ายไป สุดท้ายก็ควักจ่ายตามระเบียบ 555
เสียใจจัง ยังกินไม่คุ้มเลย เป็นบทเรียนว่าต่อไปเราไม่ควรละทิ้งความตะกละ

(ระหว่างทางที่รถจอดจะมีพ่อค้าแม่ค้าขึ้นมาขายของบนรถค่ะ)
สุดท้ายเราก็มาถึงที่พักช่วงเย็นๆ เราเดินสำรวจรอบๆแล้วก็ถ่ายรูปเล่นนิดหน่อย
เห็นว่าบ้านเค้าฝุ่นเยอะแต่ทำไมผ้าปูที่นอนขาวจั๊ว เดินๆดูก็เห็นว่าเค้ามีแผนกซัก
ซักมือนะคะทำเป็นเล่นไป ข้างๆก็จะมีแผนกรีด และราวตากอยู่ติดๆกัน
เพราะว่าดึกแล้วและหิวโซมาก พวกเราเก็บกระเป๋า ถามหาทางไปร้านอาหาร
ซึ่งจะเป็นย่านที่ขายของกินของเค้าอยู่แล้ว ร้านก็โอเคเลย มีเต็มสองข้างทาง ไม่ใช่สตรีทฟู้ดนะ
เป็นแนวๆร้านอาหารติดกันเป็นแถบและมีฝรั่งนั่งชิวเหมือนตรอกข้าวสาร แต่เน้นขายอาหารซะมากกว่า
กินอิ่มสบายท้องแล้วเราก็ไปเดินเล่นตลาดนัดข้างๆที่พัก ตรงข้ามที่พักเราคือเจดีย์ชเวซิกอง เป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คของพุกาม
คืนนี้เค้ามีประกอบศาสนพิธีด้วย สวยงามมาก รับรู้ได้ถึงศรัทธาของคนที่นี่ สวยงามมากเลยแหละ
จากนั้นเราก็ปิดจ้อบวันแรกเพียงเท่านี้หลังจากเดินทางมาเพลียๆ นอนพักเอาแรงก่อนพรุ่งนี้จะมาลุยต่อ

(เค้กจากร้านขนามที่นี่ชิ้นละแค่ 20 บาท รสชาติทั่วๆไป คอขนมที่อยากกินแบบฟินๆอาจจะหายากนิดนึงนอกจากตามร้านอาหารดีๆ)
_______________________________________________________
…เช้าวันที่สองในพุกาม…
วันนี้เราไม่รีบร้อนค่ะ นอนตื่นสาย แพลนวันนี้คือเราจะไปดูพระอาทิตย์ตกบนยอดเจดีย์กัน
ส่วนระหว่างวันเราปั่นจักรยานเที่ยวตามสถานที่ต่างๆไปเรื่อยๆตามแผนที่
เส้นทางก็ไม่ยากค่ะ แปะแผนที่มาให้ดูด้วยซะเลย
ปั่นไปแรกๆจะตื่นเต้นสุดๆที่สองข้างทางมีทะเลเจดีย์น้อยใหญ่ขนาบข้างไปไกลสุดลูกหูลูกตา
ดูแล้วขลังและสัมผัสได้ถึงอารยธรรมเก่าแก่ ประทับใจตั้งแต่ออกสตาร์ทแล้ว วันนี้พี่ติ๊กกับพี่แนงใช้มอไซค์
คนนึงขี่คนนึงซ้อน เพื่อความสะดวก ส่วนเราขี่มอไซค์ไม่ค่อยรอด เลยปั่นจักรยานมุ้งมิ้งๆตามหลังพี่เค้า
ขอใช้ภาพเล่าเรื่องให้คนอ่านได้สนุกไปพร้อมเราเลยแล้วกันนะคะ เราแวะแลนด์ดิ้งฝั่งซ้ายบ้างขวาบ้าง
เพราะสองข้างทางมีแต่เจดีย์เก่าแก่ จำชื่อไม่ค่อยได้จริงๆค่ะว่าแวะอะไรไปบ้าง เยอะไปหมดเลย 55

(เราแวะฝากท้องกับมื้อกลางวันที่ร้านนี้ เป็นร้านริมถนนระหว่างทางที่ปั่นไปเรื่อยๆเลย
บรรยากาศดี พนักงานซื่อๆจริงใจน่ารักเชียว ^^)
ถึงแล้ววววว!! หลังปั่นจักรยานเที่ยวตามแผนที่มาเรื่อยๆ จุดหมายปลายทางของวันนี้
คืออยากไปดูพระอาทิตย์ตกบนยอดเจดีย์ Pyathadar Hpaya
มันสวยจนเราดื่มด่ำบรรยากาศอยู่นานจนเป็นกลุ่มสุดท้ายที่กลับลงมา

(นักท่องเที่ยวเริ่มมาจับจองที่นั่งดื่มด่ำกับภาพพระอาทิตย์ตกเบื้องหน้ากันเยอะแล้ว
ชอบตรงไหน พุ่งตรงไปยึดตรงนั้นเลยจ้า)
ถึงตอนนี้เริ่มมืดมากไฟไม่มี มีแต่แสงจากแฟลชมือถือของพวกเราสามคน กับแสงจันทร์ดวงกลมส่องนำทางให้
ร้านค้าข้างๆเจดีย์เริ่มปิดหมด เราเดินไปถามแผงขายเครื่องดื่มที่เก็บร้านเตรียมกลับบ้านว่ายังขายน้ำมะพร้าวอยู่รึเปล่าคะ?
เค้าก็หยิบมาเฉาะให้เราสามคนคนละลูก ระหว่างนั้นเด็กผู้ชายในครอบครัวของคนขายก็มานั่งล้อมวงคุย
เค้าสอนภาษาพม่าเรา เราสอนภาษาไทยเค้า
น่ารัก คือ คิ้วท์ ไหนพูดซิ..."น่าเละ" โนวววว น็อทหน้าเละ อิทมีนส์อักกลี้
“น่ารัก” อะให้พูดใหม่..."น่ารัก" โอเค คูลลล! เป็นโมเม้นที่สนุกมาก
ความมืดและอากาศเย็นทำให้การล้อมวงคุยมันอบอุ่นและสนุก เราใช่แฟลชจากมือถือส่องหน้ากันไปมา
เพื่อง่ายต่อการสื่อสาร บ๊ายบายพูดว่าไงนะ น้องสอนมาแล้วลืมแล้ว มิงกะลาบาแทนแล้วกัน
ยินดีที่ได้คุยและประทับใจมากเลยสำหรับการดูพระอาทิตย์ตกวันนี้

(ฉากนี้เหมือนหนังเลย พีคมาก อยู่ดีๆก็มีวัวมาเป็นร้อยตัว ระหว่างวัวเดินควันก็ฟุ้งเชียว
อารมณ์เหมือนผู้กำกับสั่งปล่อยวัว….ปล่อยควัน ปล่อยไอเย็น เรานั่งมองแบบอึ้งๆไปเลย)

รูปถ่ายยังไงก็ไม่สวยเท่าที่ตาเราเห็น ด้วยองค์ประกอบอากาศหนาวๆเอย กลิ่นธรรมชาติเอย เสียงนกร้องและเสียงเสียลมเอย
ฟินนนนนนน
ต้องเข้านอนแล้วแหละเพราะพรุ่งนี้เช้าต้องเคลื่อนทัพตีห้า ไปดูวิวพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลเจดีย์ที่ Bulethi Pagoda
ใครยังไงไม่รู้แต่เราตื่นเต้นมาก
เดี๋ยวมาต่อนะคะ พรุ่งนี้เป็นวันที่พีคที่สุด จะกระหน่ำลงรูปกองทัพบอลลูกและทะเลเจดีย์ให้เต็มที่เลย

อเมซิ่งพุกาม ครั้งหนึ่งในชีวิตก่อนปิดตำนานการชมทะเลเจดีย์
ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นพร้อมกองทัพบอลลูนบนแบ็คกราวด์ทะเลเจดีย์
ยามเย็นดูพระอาทิตย์ตกผลัดเวรกับพระจันทร์และดาวระยิบๆ ปั่นจักรยานเที่ยวหนึ่งวัน
นั่งๆนอนๆบนรถม้าหนึ่งวัน เดินชิวอีกหนึ่งวัน ดูวิถีชีวิตที่ย้อนหลังไปหลายสิบปีกันเต๊อะ
ใครบอกมาพุกามลำบาก สำหรับเรามันโรแมนติกม๊ากก
ปล. พุกามตอนนี้เค้าเปลี่ยนชื่แป็นบากัน Bagan แล้ว แต่จะขอเรียกพุกามตามความเคยชินของคนไทยไปก่อนนะคะ
ทริปนี้เราเดินทางช่วงวันที่ 23-26 พฤศจิกายน 2015 เป็นช่วงที่อากกาศกำลังดีเชียวแหละ
ขอเท้าความก่อนว่า…
ทริปนี้เรามากันสามคนค่ะ พลอย(เค้าเอง) พี่แนง พี่ติ๊ก สามสาวต่างสไตล์ที่มีจุดหมายปลายทางเดียวกัน
เริ่มแรกเรามาเที่ยวมัณฑะเลย์ก่อนสามวัน พอหมดเวลาสนุกที่มัณฑะเลย์จึงเดินทางไปพุกามค่ะ
เราเดินทางโดยรถบัสซึ่งจองตั๋วออนไลน์มาเสร็จสรรพแล้ว โดยจะใช้เวลาประมาณ 7 ชั่วโมงถึงพุกาม
รถมารับเราที่โรงแรมช่วงสายๆเพื่อมุ่งหน้าไปพุกาม นั่งมาได้เกือบครึ่งทางก็มาจอดที่จุดพักรถ เส้นทางหนะหรอ?
เหมือนนั่งอยู่บนรถบั๊มเลยหละ โยกๆเด้งๆ ฝุ่นก็มา แถมจอดทุกป้าย เราจองมินิบัส19ที่นั่งมา
แต่เอาเข้าจริงปาเข้าไปยี่สิบปลายๆ ผู้ร่วมทางเยอะ อบอุ่นดี ฮ่าๆ
มีพื้นที่ว่างตรงไหนรับคนได้เค้าก็รับเพิ่ม เด็กเก็บตั๋วทำหน้าที่คล้ายๆกระเป๋ารถเมล์ของไทย
ยื่นหน้าออกนอกประตู ตะโกนถามประมาณว่าไปไหมตลอดทาง แล้วก็จอดรับผู้โดยสารไปเรื่อยๆ
ซึ่งส่วนใหญ่ชาวพม่าที่เดินทางกับรสบัสเค้าก็จะมีสัมภาระแบกๆหามๆมาด้วยค่ะ
พอกองของตามซอกหลืบที่ว่างได้แล้วก็เอาตัวนั่งทับเป็นเบาะรองนั่ง เมียนม่าสไตล์
แต่เราไม่หงุดหงิดกันนะ มองว่าสนุกและเฮฮาดี ลุยไปเลยลวกเพ่
(นี่เป็นจุดพักรถค่ะ ลงจากมินิบัสที่ความโยกราวรถปั๋มมาเดินยืดเส้นยืดสายพื้นราบบ้าง)
(รถมหาสนุก ข้างนอกใหม่กริ๊บ ส่วนด้านในก็...โอเคค่ะ 555)
อย่างแรกที่เรามองหาคือห้องน้ำ เดินเข้าไปเจอนี่ สัญลักษณ์ระบุเพศกิ๊บเก๋มากฮะ
ยืนสตั๊นอยู่สามวิแล้วใช้จินตนาการต่อว่ารูปไหนเพศไหนแล้วเราต้องไปซ้ายหรือขวา 555
แต่จริงๆถ้าไม่มัวจ้องรูปจะเห็นว่าเค้ามีตัว F และ M สีเทาจางๆบอกอยู่แล้วแหละ
เข้าห้องน้ำเสร็จเดินกลับมาในที่นั่งพัก บรรยากาศก็จะคล้ายๆตอนนั่งรถทัวร์แล้วเค้ามีพักให้เรากินข้าวต้มกุ๊ย
เราก็เดินสำรวจ พบว่ามีกองทับแมลงวันจัดปาตี้บนวัตถุดิบทำอาหารสนุกเชียว
สาวพม่าก็เอาสำรับมาวางแล้วเรียกให้เราไปนั่งกิน แต่ยังก่อน จังหวะนั้นไม่รู้สึกถึงความน่ากินซักกะนิ๊ดด
แถมเพื่อนร่วมทางทั้งสองคนก็ยืนยันหนักแน่นว่าไม่ขอลอง กลัวท้องเสียจู๊ดๆ เราก็เลยเดินถ่ายรูปไป
แต่เอ๊ะทำไมฝรั่งที่มาในรถคันเดียวกันเค้านั่งเคี้ยวตุ้ยๆ หรือมันอาจจะอร่อยเหาะแม้หน้าตาตะไม่น่ากิน
สุดท้ายด้วยความอยากลอง เราเลยเดินไปขอนั่งร่วมโต๊ะกับเค้า แต่พี่สาวทั้งสองก็ยังหนักแน่นขอนั่งรอเฉยๆดีกว่า
กินได้สิบนาทีเค้าก็เรียกขึ้นรถ(ที่กินเข้าไปมีอะไรบ้างก็ไม่รู้ แฮะๆ)
แต่เดี๋ยว แท๊แด่! ขึ้นไปยังไม่ทันนั่งได้ที่เจ้ที่เอาหารว่าเสริฟตามมาเก็บเงินค่ะ ฝรั่งข้างหลังบอกว่า
อ่าว นึกว่ามาเป็นแพคเกจมื้ออาหารพร้อมค่ารถที่จ่ายไป สุดท้ายก็ควักจ่ายตามระเบียบ 555
เสียใจจัง ยังกินไม่คุ้มเลย เป็นบทเรียนว่าต่อไปเราไม่ควรละทิ้งความตะกละ
(ระหว่างทางที่รถจอดจะมีพ่อค้าแม่ค้าขึ้นมาขายของบนรถค่ะ)
สุดท้ายเราก็มาถึงที่พักช่วงเย็นๆ เราเดินสำรวจรอบๆแล้วก็ถ่ายรูปเล่นนิดหน่อย
เห็นว่าบ้านเค้าฝุ่นเยอะแต่ทำไมผ้าปูที่นอนขาวจั๊ว เดินๆดูก็เห็นว่าเค้ามีแผนกซัก
ซักมือนะคะทำเป็นเล่นไป ข้างๆก็จะมีแผนกรีด และราวตากอยู่ติดๆกัน
เพราะว่าดึกแล้วและหิวโซมาก พวกเราเก็บกระเป๋า ถามหาทางไปร้านอาหาร
ซึ่งจะเป็นย่านที่ขายของกินของเค้าอยู่แล้ว ร้านก็โอเคเลย มีเต็มสองข้างทาง ไม่ใช่สตรีทฟู้ดนะ
เป็นแนวๆร้านอาหารติดกันเป็นแถบและมีฝรั่งนั่งชิวเหมือนตรอกข้าวสาร แต่เน้นขายอาหารซะมากกว่า
กินอิ่มสบายท้องแล้วเราก็ไปเดินเล่นตลาดนัดข้างๆที่พัก ตรงข้ามที่พักเราคือเจดีย์ชเวซิกอง เป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คของพุกาม
คืนนี้เค้ามีประกอบศาสนพิธีด้วย สวยงามมาก รับรู้ได้ถึงศรัทธาของคนที่นี่ สวยงามมากเลยแหละ
จากนั้นเราก็ปิดจ้อบวันแรกเพียงเท่านี้หลังจากเดินทางมาเพลียๆ นอนพักเอาแรงก่อนพรุ่งนี้จะมาลุยต่อ
(เค้กจากร้านขนามที่นี่ชิ้นละแค่ 20 บาท รสชาติทั่วๆไป คอขนมที่อยากกินแบบฟินๆอาจจะหายากนิดนึงนอกจากตามร้านอาหารดีๆ)
_______________________________________________________
…เช้าวันที่สองในพุกาม…
วันนี้เราไม่รีบร้อนค่ะ นอนตื่นสาย แพลนวันนี้คือเราจะไปดูพระอาทิตย์ตกบนยอดเจดีย์กัน
ส่วนระหว่างวันเราปั่นจักรยานเที่ยวตามสถานที่ต่างๆไปเรื่อยๆตามแผนที่
เส้นทางก็ไม่ยากค่ะ แปะแผนที่มาให้ดูด้วยซะเลย
ปั่นไปแรกๆจะตื่นเต้นสุดๆที่สองข้างทางมีทะเลเจดีย์น้อยใหญ่ขนาบข้างไปไกลสุดลูกหูลูกตา
ดูแล้วขลังและสัมผัสได้ถึงอารยธรรมเก่าแก่ ประทับใจตั้งแต่ออกสตาร์ทแล้ว วันนี้พี่ติ๊กกับพี่แนงใช้มอไซค์
คนนึงขี่คนนึงซ้อน เพื่อความสะดวก ส่วนเราขี่มอไซค์ไม่ค่อยรอด เลยปั่นจักรยานมุ้งมิ้งๆตามหลังพี่เค้า
ขอใช้ภาพเล่าเรื่องให้คนอ่านได้สนุกไปพร้อมเราเลยแล้วกันนะคะ เราแวะแลนด์ดิ้งฝั่งซ้ายบ้างขวาบ้าง
เพราะสองข้างทางมีแต่เจดีย์เก่าแก่ จำชื่อไม่ค่อยได้จริงๆค่ะว่าแวะอะไรไปบ้าง เยอะไปหมดเลย 55
(เราแวะฝากท้องกับมื้อกลางวันที่ร้านนี้ เป็นร้านริมถนนระหว่างทางที่ปั่นไปเรื่อยๆเลย
บรรยากาศดี พนักงานซื่อๆจริงใจน่ารักเชียว ^^)
ถึงแล้ววววว!! หลังปั่นจักรยานเที่ยวตามแผนที่มาเรื่อยๆ จุดหมายปลายทางของวันนี้
คืออยากไปดูพระอาทิตย์ตกบนยอดเจดีย์ Pyathadar Hpaya
มันสวยจนเราดื่มด่ำบรรยากาศอยู่นานจนเป็นกลุ่มสุดท้ายที่กลับลงมา
(นักท่องเที่ยวเริ่มมาจับจองที่นั่งดื่มด่ำกับภาพพระอาทิตย์ตกเบื้องหน้ากันเยอะแล้ว
ชอบตรงไหน พุ่งตรงไปยึดตรงนั้นเลยจ้า)
ถึงตอนนี้เริ่มมืดมากไฟไม่มี มีแต่แสงจากแฟลชมือถือของพวกเราสามคน กับแสงจันทร์ดวงกลมส่องนำทางให้
ร้านค้าข้างๆเจดีย์เริ่มปิดหมด เราเดินไปถามแผงขายเครื่องดื่มที่เก็บร้านเตรียมกลับบ้านว่ายังขายน้ำมะพร้าวอยู่รึเปล่าคะ?
เค้าก็หยิบมาเฉาะให้เราสามคนคนละลูก ระหว่างนั้นเด็กผู้ชายในครอบครัวของคนขายก็มานั่งล้อมวงคุย
เค้าสอนภาษาพม่าเรา เราสอนภาษาไทยเค้า
น่ารัก คือ คิ้วท์ ไหนพูดซิ..."น่าเละ" โนวววว น็อทหน้าเละ อิทมีนส์อักกลี้
“น่ารัก” อะให้พูดใหม่..."น่ารัก" โอเค คูลลล! เป็นโมเม้นที่สนุกมาก
ความมืดและอากาศเย็นทำให้การล้อมวงคุยมันอบอุ่นและสนุก เราใช่แฟลชจากมือถือส่องหน้ากันไปมา
เพื่อง่ายต่อการสื่อสาร บ๊ายบายพูดว่าไงนะ น้องสอนมาแล้วลืมแล้ว มิงกะลาบาแทนแล้วกัน
ยินดีที่ได้คุยและประทับใจมากเลยสำหรับการดูพระอาทิตย์ตกวันนี้
(ฉากนี้เหมือนหนังเลย พีคมาก อยู่ดีๆก็มีวัวมาเป็นร้อยตัว ระหว่างวัวเดินควันก็ฟุ้งเชียว
อารมณ์เหมือนผู้กำกับสั่งปล่อยวัว….ปล่อยควัน ปล่อยไอเย็น เรานั่งมองแบบอึ้งๆไปเลย)
รูปถ่ายยังไงก็ไม่สวยเท่าที่ตาเราเห็น ด้วยองค์ประกอบอากาศหนาวๆเอย กลิ่นธรรมชาติเอย เสียงนกร้องและเสียงเสียลมเอย
ฟินนนนนนน
ต้องเข้านอนแล้วแหละเพราะพรุ่งนี้เช้าต้องเคลื่อนทัพตีห้า ไปดูวิวพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลเจดีย์ที่ Bulethi Pagoda
ใครยังไงไม่รู้แต่เราตื่นเต้นมาก
เดี๋ยวมาต่อนะคะ พรุ่งนี้เป็นวันที่พีคที่สุด จะกระหน่ำลงรูปกองทัพบอลลูกและทะเลเจดีย์ให้เต็มที่เลย