อะไรที่ทำให้ครอบครัวเป็นแบบนี้...

เมื่อตอนฉันยังเด็ก และตอนฉันโต มีภาพความจำที่ฉันยังจำได้ มีหลายภาพที่มันผลุดขึ้นมาในหัวฉัน
มีทั้งภาพที่น่าจดจำ ที่ฉันไม่อยากให้มันเลือนหายไป แต่ก็มีอีกหลายภาพที่ฉันอยากจะลบมันออกไปจากหัว
อยากแชร์ให้ฟัง และขอความคิดเห็นจากทุกคนค่ะ

ตอนที่ฉันยังเด็ก ฉันอาศัยอยุ่ในครอบครัวใหญ่ ที่มีทั้งญาติ และลูกพี่ลูกน้อง ฉันมักจะเห็นภาพที่แม่ต้องไปทำกับข้าวให้คนทั้งบ้านกิน ภาพที่แม่ทะเลาะกับพ่อ เวลาคนอืนในบ้านเอาเปรียบ ฉันมักจะเจอภาพเหล่านี้ตั้งแต่ฉันจำความได้ ฉันอาศัยกับครอบครัวใหญ่จนฉันอายุได้ประมาณ 12 ขวบ แล้วครอบครัวฉันก็ย้ายออกมา ด้วยเหตุผลที่ฉันก็พึ่งมารู้ตอนโตว่า พ่อและแม่ของฉันอึดอัด พอเริ่มตั้งตัวได้จึงย้ายออกมา ฉันได้ย้ายออกมาอยู่กับครอบครัวฉัน บ้านหลังแรกของพ่อแม่ฉัน เราอยู่บ้านหลังนี้ประมาณเกือบ 7 ปี แต่ระหว่างที่ย้ายออกมาอยู่กันเอง ฉันก็ยังเห็นภาพที่แม่ของฉันและพ่อทะเลาะกันเรื่องเดิมๆ เกี่ยวกับทางบ้านพ่อของฉัน ที่มีพี่น้องเยอะมาก พ่อของฉันเป็นพี่ชายคนโต ทำงานกงสีที่บ้านใหญ่ พ่อต้องไปทำงานต่างจังหวัดทุกเดือน 15 วันอยู่ต่างจังหวัด 15 วันลงมาทำงานที่กงสี หยุดแค่วันอาทิตย์ วันหยุดปฎิทินก็แทบจะไม่ได้หยุด  แม่ของฉันเป็นแม่บ้าน หลายๆครั้งฉันต้องเอาทิชชู่มาอุดหู ไม่อยากรับรู้ ไม่อยากได้ยินเสียงพ่อกับแม่ทะเลาะกัน เพราะเรื่องใครเอาเปรียบใคร ฉันอยากให้ครอบครัวฉันมีความสุข ไม่อยากให้แม่ประชดพ่อ ไม่อยากให้ใครมาเอาเปรียบพ่อ ฉันไม่รุ้หรอกว่าแท้จริง ลึกตื้นหนาบางเรื่องราวจะเป็นอย่างไร แต่ภาพที่ฉันเห็นมาตลอดจนตอนนี้ฉันอายุ 24 ฉันก็ยังเห็นภาพเดิมๆ ได้ยินคำเดิมๆ  

เมื่อเวลาผ่านไป บ้านหลังแรกของพ่อแม่ฉัน ย่านที่เราอยู่เริ่มโทรมและน่ากลัว มีขโมยขึ้นหลายซอย พ่อฉันเลยตัดสินใจ ขายบ้าน แล้วหาบ้านหลังใหม่ แต่ระหว่างที่ต้องรอบ้านหลังใหม่สร้างให้เสร็จ ก็จำเป็น ต้องเข้าไปอยู่ที่บ้านใหญ่ก่อน อยู่ที่บ้านหลังใหญ่ประมาณ 3ปี (แต่จริงๆ บ้านใหม่เสร็จเรียบร้อย เกือบๆ2ปีแล้ว แต่ที่อยู่บ้านใหญ่ต่อเพราะแม่บอกว่า พ่อก็ทำงานให้ที่นี้ คนอื่นเขาทำ เขาก็ไม่ได้ออกค่าใช้จ่ายอะไร น้ำไฟบ้านก็ไม่ต้องเสีย กินก็ไม่ต้องจ่าย เพราะใช้เงินกงสี แล้วทำไมเราต้องย้ายออกทันทีเลยล่ะ งานก็ต้องทำหนักกว่าคนอืน ค่าประกันก็ได้น้อยกว่าคนอื่นที่มาทำทีหลัง แต๊ะเอียก็ได้เท่ากับคนอื่น ทั้งๆที่พ่อทำงานมาก่อนพี่น้องคนอื่นหลายปี (กงม่าให้เท่ากันเพราะบอกว่าเป็นลูก)  แถมเวลาลูกค้าของอีกคนมา มันก็ไม่ลงมาเคลียเอง ลงมาก็เที่ยง ทำไมพ่อต้องทำให้ตลอด แม่ก็ต้องมานั่งทำกับข้าวทั้ง 3 มื้อ ให้คนทั้งบ้านกิน เพราะม่าบอกให้ม้าช่วยทำหน่อย เพราะสะใภ้คนอื่นเขาทำงานนอกบ้าน มีสะใภ้อีกคนที่ไม่ได้ทำงาน แต่เขาเป็นภรรยาของน้องชายพ่อเรา ซึ่งม่ารักมาก ก็ไม่เห็นจะช่วยอะไร )

ช่วงตอนนั้น ฉันต้องสอบเข้ามหาลัย ก็เจอเรื่องเดิมๆแทบทุกวัน บางครั้งก็ต้องได้ยินเสียงคนทั้งบ้านใหญ่ตะคอกใส่กัน อย่างกับไม่ใช่พี่น้องกัน (เหมือนสัตว์ป่าที่กำลังจะแย่งเหยื่ออะไรสักอย่างกัน ) ช่วงนั้นฉันเครียดมาก กลับจากโรงเรียนมา ก็มาเจอแม่กับพ่อคุยเรื่องนี่ คนนุ้นคนนั้น ผลประโยชน์ การเอาเปรียบ การลำเอียง บางครั้งพูดกันไม่รุ้เรื่อง แม่ก็ตะคอกใส่พ่อ พ่อก็เสียงดังเพื่อกลบเสียงแม่ แต่พ่อก็ไม่เคยใช้กำลังกับแม่เลยสักครั้ง ไม่มีเลย แม่เองก็ไม่ใช้กำลังกับพ่อ (ยังโชคดีที่มันไม่มีภาพการใช้กำลัง ยังโชคดี...) ฉันเครียดมาก พอมีเรื่องจะปรึกษาพ่อแม่ แม่ก็จะหงุดหงิดบอกว่า แม่ไม่มีความรุ้หรอก เรียนน้อย เนี่ยก็เลยโดนคนเอาเปรียบ.... ฉันก็นอยเลย จะปรึกษาก็ไม่ได้ พอจะปรึกษาพ่อ พ่อก็เหนื่อยจากการทำงาน เห็นพ่อนั่งดูข่าว ฉันก็ไม่อยากรบกวนท่าน สุดท้าย... ฉันก็ไม่รู้จะปรึกษาใคร เพื่อน... ฉันลืมบอกไป ฉันเป็นคนไม่ชอบการคบกันแบบเป็นกลุ่ม ฉันไม่รุ้เหมือนกันว่าทำไม แต่ฉันคบเพื่อนได้ทุกคนนะ แต่ฉันค่อนข้างมีเพื่อนน้อย แต่เวลาฉันเรียกใครว่าเพื่อน เพื่อนคนนั้นคือเพื่อนที่ฉันให้ใจและใจ ฉันไม่ชอบคบเป็นกลุ่มอาจเพราะ ฉันกลัว....
ฉันเป็นคนพูดน้อย เพราะฉันไม่รุ้ว่าเวลาพูดอะไรออกไป มันจะไปทำร้ายใคร โดยที่ฉันไม่รุ้ตัวรึป่าว ฉันไม่อยากกลายเป็นเหมือนแม่ของฉัน เพราะ...

เวลาแม่อารมณ์ดี ก็ดีใจหาย ฉันชอบแม่ของฉันเวลาแม่เป็นคนอารมณ์ดี แม่ฉันจะพูดเพราะ จะเอาใจพ่อ จะพูดดีกับฉัน น้ำเสียงของแม่น่าฟัง ฉันอยากคุยกับแม่ที่เป็นคนอารมณ์ดีแบบนี้ แต่พอเวลาแม่อารมณ์ร้าย (ไม่ใช่อารมณ์ไม่ดีนะ อารมณ์ร้ายเลย) แม่จะวีนแตก จะด่าด้วยคำที่หยาบคาย ดูถูก สีหน้าเป็นปีศาจร้ายที่เหมือนจะฆ่าฉันให้ตายอยู่ตรงหน้า แม่เคยโมโหมาก แล้วเดินไปหยิบมีดในครัว แล้วยกขึ้นเหนือหัว และชีมาทางฉัน บางครั้งก็โยนของใส่ตัวฉันและด่าด้วยถ้อยคำที่รุนแรง ซึ่งบางครั้งฉันคิดว่ามันเกินไป ฉันไม่ได้ทำตัวไม่ดี ฉันก็เป็นเด็กปกติ เรียนปานกลาง พอจบปริญญามา ก็ทำงานปกติเหมือนคนทั่วๆไป ฉันทำงานได้เงินเดือนฐานปกติ แบ่งช่วยค่าบ้านพ่อบ้าง แบ่งให้แม่ แบ่งไว้ออม แบ่งไว้เป็นค่าหมอ และก็ใช้จ่ายส่วนตัว

แม้เวลาตอนที่ฉันเรียนมหาลัย ฉันเรียนอยู่ต่างจังหวัด ฉันเป็นคนกรุงเทพ แต่ฉันเบื่อกรุงเทพ ฉันเลยเลือกเรียนที่ต่างจังหวัด  พ่อกับแม่ให้เงินเดือนฉันใช้ 7000 รวมค่าหอแล้ว 3500 ซึ่งบางครั้งมันก็ไม่พอ ไหนจะค่าชีทเรียน หนังสือเรียน ค่าสังคมเพื่อน แต่ฉันก็ไม่เคยไปขอเงินเพิ่มจากพ่อกับแม่

ฉันหางานพาสไทม์ทำตั้งแต่ปี1เทอม2 แต่ก็ไม่มีใครรับเพราะเขาไม่ต้องการคนเพิ่ม แต่ฉันก็พยายามหาต่อไป ไปหาทุกๆเดือน ก่อนปิดเทอมจะกลับบ้านก็ไปถามอีก จนมีร้านนึงเขารับ ทั้งๆที่ก็มีคนทำเยอะอยุ่แล้ว (อาจเพราะฉันไปถามเขาบ่อยก็ได้) เปิดเทอมมาปี2เทอม1 ฉันแบ่งเวลาเรียนพยายามหาsec.และวิชาให้เรียนภาคเช้า เพื่อกะตอนเย็น ฉันจะได้ทำพามไทม์ พ่อกับแม่ฉันไม่รุ้ว่าฉันทำงานพาสไทม์ ฉันไม่อยากให้รู้ด้วย เพราะถ้าพ่อรู้พ่อจะเป็นห่วงและอาจโทษตัวเอง และถ้าแม่รู้แม่ก็จะเป็นห่วงแล้ว(อาจจะ)พาลไปโทษตัวเองและโทษพ่อ เพราะลูกญาติพี่น้องคนอื่นๆพ่อแม่เค้า (ซึ่งเป็นน้องชายพ่อ ) เขาจะส่งให้ลูกเขาไปเรียนเมืองนอก โดยเอาเงินจากกงสีบ้าง หรือเอาจากการที่ไม่ต้องมีรายจ่ายในด้านค่าบ้าน ค่าไฟ ค่ากินมื้อหลัก แล้วเอาเงินส่วนนั้นเก็บไว้ (นี่ก็อาจเป็นเหตุผลหนึ่ง ที่ในตอนนั้น แม่ฉันยังไม่อยากย้ายออกจากบ้านใหญ่ แม้บ้านหลังที่2เสร็จแล้ว ลึกๆแม่ก็คงสงสารพ่อ และสงสารตัวเอง ก็เลยเริ่มเห็นแก่ครอบครัวของตัวเองบ้าง ) ฉันเลยไม่อยากบอกพวกท่าน และเพราะฉันเป็นพี่คนโต และพ่อฉันทำงานคนเดียว น้องสาวฉันตอนนั้นก็กำลังจะขึ้นม.ปลาย ซึ่งเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ฉันไม่อยากให้น้องมารับรู้เรื่องนี้ด้วยเช่นกัน จะพาลเป็นห่วงกันไปหมด เพราะตอนนั้นน้องก็ต้องอยู่กับแม่และพ่อที่บ้านใหญ่ ก็คงต้องรับรู้และได้ยินเหมือนกับที่ฉันโดน ซึ่งตอนที่ฉันยังไม่ได้ขึ้นมาเรียนที่ต่างจังหวัด เราพี่น้อง จะพยายามหาเรื่องนุ้นนี่ทำ พยายามไม่โฟกัสเรื่องที่บ้านเท่าไหร่นัก เพราะก็ไม่รุ้จะช่วยยังไง เคยไกล่เกลี่ยพูดสารพัด แต่อาจเพราะแม่และพ่อ เจออะไรมามาก ซึ่งฉันและน้องก็ไม่มีทางรับรุ้ความรุ้สึกที่แท้จริงของพวกท่านได้ ก็เลยได้แต่ทำหน้าที่ของตัวเองในตอนนั้นให้ดีที่สุด

หลังจากที่ได้เงินพามไทม์มาก็แบ่งเก็บส่วนหนึ่ง ไว้ใช้ฉุกเฉิน อีกส่วนก็เก็บไว้ซื้อของทั่วไปเมื่อเวลาเงินที่พ่อกับแม่ให้มาไม่พอ ก็จะนำเงินส่วนนี้มาใช้แทน ซึ่งฉันทำงานพาสไทม์ตั้งแต่ปี2เทอม1จนฉันเรียนจบปี4  ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ฉันขึ้นมาเรียนที่ต่างจังหวัด ซึ่งฉันก็ยังรับรู้เรื่องราวพวกนั้น บางทีแม่หรือน้องไม่ได้จะตั้งใจบอก แต่เวลาโทรศัพท์คุยกัน น้ำเสียงและเวลาแม่เล่าเรื่องราว ฉันก็สัมผัสได้ หรือเวลาช่วงปิดเทอม ฉันกลับบ้าน ก็จะเห็นภาพเดิมๆ บางทีแม่ก็ชอบไปนั่งเหมอ บางทีก็ร้องไห้ มันเลยยิ่งทำให้ฉัน กระตือรือร้น หาทางทำยังไง ที่ครอบครัวเราจะหลุดพ้น จะทำยังไงครอบครัวเราจะมีความสุขจริงๆได้สักที

นอกจากทำงานพาสไทม์แล้ว ทุกวันตอนเย็นวันพุธ มหาลัยฉันจะมีตลาดนัด ฉันจะเอาเสื้อผ้ามือสองไปนั่งขาย เอาสคลับขัดผิวไปขาย แล้วก็ขายของออนไลน์นิดๆหน่อยๆ ขายไม่ได้เยอะมาก เพราะตอนนั้นค่อยข้างยุ่งมาก ไม่มีเวลาโปรโมทสินค้าในเฟสเท่าไหร่ นอกจากเรียนแล้ว เลยจะหนักไปทางขายของที่ตลาดนัด กับงานพาสไทม์ที่ทำ  ตอนมหาลัยฉันโชคดีที่ได้เพื่อนๆที่ดี ฉันไม่มีรถ ไม่มีมอเตอร์ไซด์ มีแต่จักรยานที่พ่อซื้อให้ตอนฉันมาเรียนที่นี่ตั้งแต่ปี1 พ่อไม่ยอมซื้อมอไซด์ให้ ให้ตายยังไงก็ไม่ซื้อให้ พ่อบอกว่า เรียนก็ไกล ขี่มอไซด์อีก พ่อเป็นห่วง ฉันก็เลยได้จักรยาน(แถมตัวล๊อคล้อแทน 555)
ฉันได้จักรยานเอาไว้ขี่ไปเรียนที่ตึกคณะ แม้เวลาตอนปี2 ฉันต้องอยู่หอนอก เพราะลงชื่อหอในแล้วชื่อไม่ติด ฉันก็ขี่จักรยาน แล้วจอดไว้ในตลาด นั่ง2แถวมาเรียน ด้วยความที่ฉันโชคดีที่มีเพื่อนที่ดีและรักฉัน เวลาเรียนวิชาเดียวกัน เพื่อนจะมารับส่งฉัน โดยมันก็ไม่เอาค่าน้ำมัน (ยัดใส่มือมันก็ไม่เอา) แถมตอนที่ฉัน กำลังหาทางหาเงินเพิ่ม โดยไปขายของที่ตลาดนัดตอนเย็นวันพุธ เพื่อนฉันก็ขับพาฉันไปนั่งขายของตั้งแต่4โมง ยัน2ทุ่ม มันก็ยังขับไปส่งที่หอ

อย่างน้อยฉันก็ยังมีเพื่อนดีๆที่คอยช่วยเหลือฉัน ฉันยังโชคดี...ฉันทำแบบนี้จนเรียนจบปี4 ไปปิดบัญชีธนาคาร และมันทำให้ฉันเก็บเงินได้ก้อนนึง ซึ่งตอนนั้นประมาณ สองหมื่นกว่าบาทเกือบๆสามหมื่น สำหรับฉันตอนนั้นมันเป็นเงินที่เยอะมากกกกก เยอะจนฉันคิดว่า มันจะช่วยครอบครัวฉันได้ อย่างน้อยก็น่าจะช่วยได้สักระยะหนึ่ง

ฉันและครอบครัว ฐานะปานกลาง แต่รายจ่ายก็มาก (พ่อต้องผ่อนทั้งบ้านหลังใหม่ จ่ายค่าไฟค่าน้ำ ค่าเทอมน้อง ค่าเรียนพิเศษน้อง ค่าเทอมฉัน เงินที่ส่งให้ฉันใช้ทุกเดือน เงินที่ให้น้องกับแม่อีก ตอนนั้นฉันคิดคร่าวๆก็ประมาณนี้)  ฉันก็เลยเอาเงินส่วนหนึ่งจากที่ฉันปิดบัญชีได้ ไปให้แม่กับพ่อ เพื่อให้เป็นค่าไฟค่าน้ำตอนอยู่บ้านใหม่ เพราะอยากย้ายออกจากบ้านใหญ่ ฉันทนไม่ได้ที่ต้องเห็นแม่นั่งเหมอลอย เหมือนคนบ้า

ลืมพูดไป.. ระหว่างที่ฉันเรียนอยู่ประมาณปี2เทอม2 ใกล้จะปิดเทอมใหญ่ ช่วงตอนนั้นฉันรุ้ว่า บ้านใหญ่ทะเลาะกันหนักมาก (ไม่พ้นเรื่องผลประโยชน์)
เมื่อฝ่ายหนึ่งเอาแต่ได้ และอีกฝ่ายจะใช้เหตุผลและความเหมาะสมเข้าสู้ แต่ถ้าความลำเอียงเกิดขึ้น เหตุผลก็ตกไป ช่วงนั้นครอบครัวฉันตกอยู่ในสถานการณ์ที่ค่อนข้างอึดอัด และพ่อฉันเองก็พยายามแล้ว อย่างที่บอกเหตุผลมันสู้ความลำเอียงไม่ได้ ที่สำคัญกว่านั้น แม่ฉันที่อดทนมาหลาย10ปี
ทะเลาะกับพ่อหนัก หนักจนครอบครัวของฉันเกือบพัง แม่บอกไม่รักพ่อ คำๆนั้นยังเห็นอยู่บนกระดานบนห้อง ฉันกลับมาจากข้างนอกในเย็นวันนั้น เป็นเหตุการณ์ที่ฝังใจฉันมาก แม่ไม่คุยกับพ่อเป็นอาทิตย์ๆ ฉันว่าในใจแม่ก็ไม่อยากจะโทษพ่อ เพราะแม่เองก็อยู่และสู้ทนกับพ่อมาจนฉันเข้ามหาลัยขนาดนี้ แต่อาจเป็นเพราะอารมณ์หนึ่ง ที่แม่ฉันผิดหวังและโทษตัวเอง โทษทุกคน มันเลยทำให้แม่พูดแบบนั้นออกมา พ่อของฉันซึม พูดน้อยลงกว่าเดิม พ่อพยายามคุยกับแม่ แต่แม่ก็ไม่คุยด้วย น้องฉันเริ่มร้องไห้ แม่ฉันนั่งเหมอ พ่อฉันนั่งเงียบ วินาทีนั้น ฉัน...ทนไม่ได้ ฉันจึงพูดออกไปจนสุดเสียง กังวาลไปทั้งห้องนอนว่า เรายังเป็นครอบครัวกันอยู่มั้ย ? ตกลงเราเป็นครอบครัวมั้ย !! (น้ำตาฉันเริ่มไหลโดยที่ฉันกลั้นยังไงก็ไม่อยู่ วันนั้นฉันคิดอย่างเดียวว่า มันจะต้องไม่เกิดขึ้นกับครอบครัวฉัน คำว่าครอบครัวมันต้องยังคงอยู่ และมันต้องมีความสุขให้ได้ ) เมื่อฉันถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่แข็งแรง และดังสุดเสียง น้องฉันก็ร้องไห้มากขึ้น และวิ่งมากอดฉันแน่น พ่อ.. ฉันไม่เคยเห็นพ่อร้องไห้ ตาพ่อแดงก่ำ  แม่.. จากที่นั่งเหมอนัยตาลอย กลับมีน้ำตาที่ท่วมอยู่ ไม่มีคำพูดใดๆตอบกลับมา ด้วยความที่ฉันกลัว กลัวว่าครอบครัวฉันจะหายไป ฉันจึงได้แต่พูดว่า "ครอบครัว...ครอบครัวของเรา.... เราต้องไม่ให้คนอื่น หรือเรื่องอื่น มาทำลายครอบครัวของเราได้ มันจะไม่มีวันพังทลาย ถ้าครอบครัวเราสู้ไปพร้อมกัน มันจะไม่มีวันทลาย ถ้าไม่มีใครใน4คนนี้ ขยี้คำว่าครอบครัว ด้วยมือของตัวเอง " ในตอนนั้นคำพูดนี้ ฉันก็ไม่รุ้ว่าฉันพูดออกไปได้ยังไง อย่างที่บอก ฉันรุ้แค่ว่าครอบครัวฉันต้องอยู่ หลังจากที่ฉันพูดไป...
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่