หลงว่าตนเองถูกต้อง

-ครั้งหนึ่งที่ข้าพเจ้าได้นั่งพิจารณาความเห็นผิด(ความเข้าใจผิด)ของข้าพเจ้าเมื่อครั้งอดีต
เมื่อครั้งที่ข้าพเจ้าเรียน ม.ปลาย เคยได้คุยกับหญิงสาวคนหนึ่งเป็นนักเรียนต่างอำเภอ ด้วยการโทรติดต่อกัน
ยุคนั้นการติดต่อไม่ได้สะดวกสบายเมื่อปัจจุบันนี้ คุยในลักษณะที่ว่ากำลังจีบกัน เราไม่ค่อยได้คุยกันบ่อยเท่าไร
แลดูว่าเธอจะพูดว่าไม่ว่างอยู่บ่อยๆ แต่วันนั้นมีโอกาสโทรติดได้คุยกัน ความที่ว่านานๆจะได้คุยกันสักที
ข้าพเจ้าก็ตั้งใจที่จะสละเวลาคุยให้คุ้ม ก็คุยกันได้เล็กน้อย เธอเอ่ยมาว่า เดี๋ยวเท่านี้ก่อนได้ไม เธอจะไปดูละคร
เธอบอกว่าเธอกำลังติดเรื่องนี้ ข้าพเจ้าตั้งใจที่จะคุย แต่เธอกลับเอ่ยคำนี้ออกมา ทำให้ข้าพเจ้าเสียความรู้สึก
(นึกในใจ อะไรกัน โทรติดต่อก็ยาก วันนี้ได้คุยก็จะขอไปดูละคร)
ข้าพเจ้าจึงเอ่ยกลับว่า คุยต่อได้ไม เธอบอกว่าเรื่องนี้ติดมาก นะๆ ขอไปดูละคร ข้าพเจ้าจึงยื่นคำขาดไปว่า
"ถ้าวางแล้วไม่ต้องคุยกันอีก เราเป็นคนพูดคำไหนคำนั้น เราพูดจริงทำจริง" แต่แลเธอจะไม่แคร์คำพูดข้าพเจ้าพร้อมกับวางสายไป
ข้าพเจ้าตั้งใจเลยว่า จะไม่มีทางรับสายและคุยกันอีก เพียงไม่กี่วันเธอโทรมาหาข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าไม่รับสาย
ด้วยถือว่าตนเป็นคนรักษาสัจจะ เธอโทรมาอยู่หลายรอบ ก็ยังไม่รับ เธอจึงให้เพื่อนของเพื่อนโทรมา
ถามว่า ทำไมข้าพเจ้าไม่รับสาย ข้าพเจ้าก็ให้เหตุผลไป และเราสองคนก็เลิกติดต่อกันอีกเลย
ข้าพเจ้าคิดมาเสมอว่าเราไม่ผิด เราตั้งใจที่จะโทรที่จะติดต่อตลอดแถมติดต่อก็ยาก พอติดต่อได้แล้วยังจะมาขอดูละครอีก
และความคิดว่าตนเองไม่ผิดนี้ก็เลือนลางไปไม่ได้เคยเอามาคิดอีก
                    -จนมาเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2559 ช่วงเช้าเวลาของซานฟรานฯ ข้าพได้นั่งพิจารณาธรรมะ
และเรื่องนี้ก็โผล่ขึ้นมาให้ข้าพเจ้าได้พิจารณา ซึ่งข้าพเจ้าก็มาย้อนดูเรื่องราวของวันนั้น และความเข้าใจที่ว่า
"กูไม่ผิด ยิ้มวางสายกูไปเอง กูอุส่าห์โทรหามาตลอด โทรหาก็ยาก แล้วยังไม่แคร์ความรู้สึกกูอีก ยังไงกูก็ไม่ผิด"
แต่ ณ วันที่ข้าพเจ้าเข้าใจวิธีปฏิบัติธรรมแล้ว ข้าพเจ้ามาพิจารณากลับเห็นการกระทำที่น่าเกียจจริงๆ
คือมาเห็นว่า ตนเองตั้งกติกาที่ผู้อื่นไม่พร้อมเล่น แล้วเอาไปยัดใส่เขา และเมื่อเขาทำตามกติกาเราไมไ่ด้
เราก็ว่าเขาไม่ดี เขาผิด เมื่อวันนี้ได้พิจารณาแล้ว ก็ต้องถามตนเองว่า เราเป็นใครอ่ะ ที่จะไปบังคับเขา
ใครมาบังคับเรา เราชอบไหม เราก็ยังไม่ชอบเลย แล้วทำไมวันนั้นเราไปบังคับเขาล่ะ
ในเหตุการณ์นี้เราเห็นใจเขาได้ไมล่ะ ข้าพเจ้าจึงน้อมพิจารณาดู ว่าเคยไมที่เราอยากทำอะไรสักอย่างแต่เราติดสายอยู่
แล้วบอกว่าขอทำเรื่องที่เราต้องการก่อนไว้คุยกันวันหลัง เมื่อมาคิดดูแล้วเรื่องแบบนี้ เราเองก็ทำอยู่บ่อยๆ เราเองยังทำ
แล้วไปห้ามไม่ให้คนอื่นทำ เราบ้าหรือเปล่า เรานี้มันบ้าจริงๆ จากเหตุการณ์นี้ เราคิดว่าเขาจะรู้สึกเช่นไร รู้สึกเสียใจ? แย่? เศร้า?
ดูเหมือนอาจจะใช่ แต่จะมีอะไรมายืนยัน เราก็น้อมมาดูตนเองต่อว่าเราเองเคยโทรหาหรือโทรง้อใครหรือไม่ ก็นึกออกว่ามี เราเคยโทรง้อ
ผู้หญิงคนหนึ่ง(ชื่อ ฟ.) ที่เขาโกรธเรา เขาไม่ยอมคุยกับเราดีๆ ไม่ยอมคืนดีกับเรา แล้ววันนั้นเรารู้สึกเช่นไรล่ะ
เราก็รู้สึกแย่ รู้สึกเศร้าอ่ะสิ นั้นไง จะต่างอะไรกัน ที่เราโดนมา กับที่เราทำเขา เขาก็คงรู้สึกไม่ต่างจากเรา
จากที่เคยคิดว่ากูไม่ผิด เมื่อวันนี้ได้มาพิจารณากลับเห็นความผิดตนเองก้อนใหญ่จริงๆนิสัยแย่จริงๆ
อยากจะเอาชนะคนอื่นด้วยกติกาแย่ๆที่ตนเองตั้งขึ้นมา

        -ปล.การที่ข้าพเจ้านึกเรื่องหญิงสาวที่ชื่อ ฟ. ก็ทำให้ข้าพเจ้าได้พิจารณาแก้ปมในใจที่ติดค้าง
ว่าทำไมเธอไม่ให้อภัยเรา  และจะเป็นเรื่องต่อไปที่จะนำมาเขียนให้ได้อ่าน

การที่มาเขียนแบบนี้ เพื่อให้เข้าใจในลักษณะของธรรมะ ในประเด็นเรื่องราวที่ติดค้างในใจ เราจะแก้ไขมันได้อย่างไร
เราก็ต้องกลับมาย้อนดูตนเองกับเหตุการณ์ในวันนั้นเราทำอะไรลงไป วันนั้นเราเข้าใจแบบนั้น
แต่วันนี้เราต้องการแก้ปมที่คาใจ เราต้องทำความเข้าใจกับมันใหม่ ด้วยปัญญาและความเข้าใจที่ถูกต้อง

*ใช้หลัก อนิจจัง-ไม่เที่ยง  
*โอปนยิโก-น้อมมาดูตนเอง
*เห็นว่าตนเองผิดได้ก็ทำลายอัตตาที่ว่าฉันดี ฉันเก่ง ฉันถูก

โดย ปัญญาบารมี
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่