❤ 🍰 🍹 Love comes from the heart, but passes through the stomach ❤ 🍰 🍹

สวัสดีค่ะ
ขอแทนตัวเองว่าเรานะคะ (ขอแท็กก้นครัวกับไกลบ้านค่ะ เพราะเกี่ยวกับอาหารและชีวิตในต่างแดน ยิ้ม )
เราอ่านกระทู้ในห้องก้นครัวบ่อยๆ มีโอกาสได้ฝึกทำอาหารช่วงไปเรียนอยู่ต่างประเทศ (นอร์เวย์) ก็ได้ข้อมูลจากห้องก้นครัวนี่แหละค่ะ
ตอนนั้น เรียกว่า  บ้าทำอาหารมาก ก็ได้ เพราะจะคิดอยู่ตลอดว่า เย็นนี้จะทำอะไรกินดี? แล้วเสาร์อาทิตย์ จะอบเค้กดีไหม?
ทำๆๆ บางทีก็ให้เพื่อนที่อพาร์ทเมนท์กิน บางทีก็เอาไปฝากเพื่อนที่ทำงาน
จนเขาบอกว่า Thai people are obsessed by food! อืม จริง! แต่อาหารมันสำคัญนี่นา ... ยิ้ม

ฝรั่งบางคน ไม่คุ้นกับอาหารเอเชียค่ะ ที่รสจัด เข้มข้ม และที่สำคัญคือ บางคน กินอาหาร ไปงั้นๆ แหละ ฮ่าๆ แปลว่า มีอะไรก็กิน กินให้อิ่ม ขนมปังสองแผ่น ทาด้วยมายองเนส ประกบกัน รอดไปมื้อนึง! ไม่เหมือนคนไทย อาหารเราต้องอลังการค่ะ บางที ข้าวราดผัดกะเพรา ก็หรูมากสำหรับเขาแล้วค่ะ

เราจะพกข้าวกล่องไปกินที่โรงอาหารตอนเที่ยงทุกวัน เพราะเราไม่ชอบขนมปังเลยค่ะ และเราชอบกินอาหารที่มีรสชาติ
ตอนอุ่นอาหารด้วยไมโครเวฟ แล้วเปิดฝา กลิ่นกระเทียม พริดไทย ซอส มันหอมยั่วใจ ยิ้ม จนมีคนทำตาเคลิ้ม หัวเราะ เพราะตรงหน้าของเขามีเพียงขนมปัง Taco หรือซุป หลิ่วตา

เริ่มจากตรงนี้ล่ะค่ะ ที่อาหารกับหัวใจ มันมาเชื่อมต่อกัน ยิ้ม หัวใจ

เพื่อนร่วมงานที่สนิทกันคนนึง (เราเรียกเขาว่า Marit ค่ะ) คนนี้คอยช่วยให้คำแนะนำเราตลอดค่ะ เช่น เรื่องเสื้อผ้ากันหนาว พาไปซื้อของที่สวีเดน (ราคาถูกกว่าในนอร์เวย์) เขาจะให้คำแนะนำเหมือนเราเป็นลูกอีกคนเลยค่ะ (เขามีลูก ผญ อ่อนกว่าเรา 2 ปี)

วันนั้น ก็กินข้าวกันตามปกติ คุยสัพเพเหระ เราก็โม้เรื่องการทำอาหารไป ยิ้ม
จน Marit บอกว่า "ถ้าเธอชอบทำกับข้าวหรือขนมนะ นี่เลย ผู้ชายคนนี้ ชอบกิน กินทุกอย่าง เอามาให้เขาชิมได้ แต่...เขาแต่งงานแล้วอ่ะ (ทำหน้าแบบ...เราก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงค่ะ ตอนนั้นก็งงว่าทำไม Marit ถึงพูดแบบนั้น)

เราก็มองไปที่ "เขา" (จะแทนว่า "เขา" เลยนะคะ) อ่อ คนนี้ เห็นผ่านๆ แต่ไม่ค่อยได้คุยกัน เขาทำงาน communication เราเป็น visiting scientist เคยทักทายกันบ้าง  
เราก็ไม่ได้พูดอะไร ก็ยิ้มๆ เขาก็ยิ้ม บอกทาง Marit ว่าเราไม่ได้แต่งงานกัน
เราเลยถามไปว่า คุณมีลูกกี่คนหรอ (เราไม่ได้สนใจเขาหรอกค่ะ ตอนนั้น แต่ที่ถาม เพราะงงว่า ไม่ได้แต่งงานกัน แปลว่าอะไร)
เขาก็ตอบว่า ลูกชายอายุ 10 ขวบแล้ว เราก็เลย อ่อ อยู่ด้วยกันแบบไม่แต่งงานนี่เอง ยิ้ม

จากนั้น ก็เจอกันที่โต๊ะกินข้าวบ่อยๆ มีโอกาสได้คุยกัน ก็คุยกันรื่องศาสตร์ของการทำอาหารนี่แหละค่ะ
เราเลยรู้ว่า เขาชอบอาหารเอเชียและที่ทำบ่อยๆคือ wok

เราบอกเขาว่า เราทำไส้กรอก (ไส้อั่ว) แต่มันเยอะ จะเอามาให้เขาชิมนะ (จริงๆ คือทำแล้ว เราว่ารสชาติไม่ผ่านค่ะ ฮ่าๆๆ)
แต่วันศุกร์ เขาบอกว่า ไม่มาที่ออฟฟิศนี้ จะมาวันจันทร์

ไส้อั่ว เราซื้อชุดทำไส้อั่วของโลโบมาทำค่ะ ใช้ไก่บดทำค่ะ



พอถึงวันจันทร์ ไส้อั่วบูดค่ะ เศร้า เราเลยบอกเขาว่า มันบูดอ่ะ แต่เดี๋ยวถ้าทำอย่างอื่น จะเอามาฝากวันหลังนะ เขาก็ยิ้มๆ บอกว่า ไม่เป็นไร ยิ้ม

สุดสัปดาห์ถัดมา เราทำชีสเค้กค่ะ ก็เอากล่องไปฝาก Marit บอกว่าฝากให้เขาหน่อยนะ Marit พาไปห้องทำงานเขา บอกว่า ห้องทำงานเขาอยู่นี่
แต่ตอนนั้นเขาไม่ได้นั่งอยู่ Marit เลยเก็บเค้กไว้ และเขียนเมลล์บอกเขา พร้อมกัย cc มาหาเรา เราเลยรู้จักอีเมลล์เขาค่ะและชื่อเขาค่ะ

เราก็รอว่าเขาจะตอบกลับ แต่ก็เงียบ สุดท้ายเค้กนั้น ก็เอาให้เพื่อนร่วมงานคนอื่นแทนค่ะ ยิ้ม

จนเราเจอกันอีกวัน เราก็ถามว่า ไม่เห็นตอบอีเมลล์ เขาบอกว่า เมื่อวานเขาไม่สบาย ไม่ได้มาทำงาน

อีกสุดสัปดาห์ถัดมา เราอยากกินเกี๊ยวกรอบ แต่เราไม่ได้ไปร้านเอเชีย เลยลองเอาพาสต้ามาทอดกรอบค่ะ ก็พอทดแทนได้



เราส่งอีเมลล์ไปหาเขา บอกว่า เอาไปวางไว้ที่เคาเตอร์ห้องอาหารที่ Marit ทำงานนะ
จากนั้น เราก็ไปเก็บผลแล็บ แล้วก็ไปดูที่ห้องอาหาร ถุงพาสต้าทอดหายไปแล้ว ยิ้ม  และมีเมลล์ตอบกลับมา บอกว่า ไปหยิบมาแล้ว
สักพัก ก็มีเมลล์มาอีก ว่า อร่อยมาก กินหมดเลย รู้สึกดีค่ะ มีคนกินอาหารเรา แล้วชมเนี่ย ยิ้ม

ตอนนั้น เราเริ่มรู้สึกชอบอัธยาศัยเขานะคะ ที่เขาสุภาพ เป็นกันเอง friendly แต่ไม่ได้คิดไรมาก เพราะรู้ๆอยู่ว่า เขาก็ไม่ได้โสด (แอบห้ามตัวเอง)

เราก็ทำอะไรๆเล่นไปเรื่อยค่ะ ฝึกทำเค้ก และเอาไปฝากเขา บางทีทำเยอะๆ กินคนคนเดียวไม่หมดค่ะ

ทีรามิสุ โย้เย้มาก ยิ้ม



ชีสเค้ก จำได้ว่า เขานั่งกินตอนเอาไปให้เลย พร้อมกับเอามือปาดๆๆในกล่อง แล้วกิน  ฮ่าๆๆ



เขาก็บอกว่า ขอบคุณมากๆ และจะเอาพริกมาฝากนะ และก็เอามาจริงๆ แต่เป็นพริกเม็ดใหญ่ๆค่ะ
เราก็ไม่รู้จะทำอะไรกิน เพราะมีพริกที่ซื้อมาจากร้านเอเชียเองอยู่แล้ว ก็ปล่อย จนมันเน่า เลยทิ้งไป

เราจะเข้าร่วมงานอาหารนานาชาติค่ะ พอดีที่เขามาบอกว่า จะไปร้านเอเชียที่อยู่อีกเมืองใกล้ๆ จะฝากซื้ออะไรไหม เราบอกว่า ขอติดรถไปด้วยได้มะ ไปเลือกเอง แต่ตอนกลับจะกลับเอง เขาบอกว่า โอเค
เราเลยลองชวนพี่ผู้ชายอีกคน คนไทยที่อยู่เมืองนั้นไปด้วยค่ะ เราเป็นทีมเดียวกันที่จะร่วมงานเทศกาลอาหาร เราก็ติดรถเขาไปทั้งสองคน (แฟนมาบอกว่า ตอนนั้นรู้สึกผิดหวังนิดๆ นึกว่าเธอสองคนเป็นแฟนกัน ฮ่าๆๆ)



ทีมเราได้รับรางวัลตกแต่งจานสวยงามค่ะ
อีกวันนึง เราเจอเขา ก็เล่าให้ฟัง พร้อมเปิดรูปให้ดูไปด้วย เขาก็ชมว่าพวกเธอก็เก่งจัง! ยิ้ม

เราเคยทำข้าวเหนียวสังขยาไปฝากเขาด้วยค่ะ



วุ้นมะพร้าว



เครปเค้ก



ขนมหม้อแกง อันนี้ทำแล้วเตาอบนาบมือ โดนมีดบาด เศร้า
ตอนที่เอาไปฝากเขาเนี่ย ก็บอกว่า ชั้นโดนเตาอบนาบ มีดบาดมือ
เขาก็บอกว่า เธอควรจะระวังนะ เพราะเธอทำงานในห้องแล็บ
เขาก็พาไปห้องที่มีเครื่องมือปฐมพยาบาลค่ะ เอาพลาสเตอร์มาพันนิ้วมือให้เรา หัวใจ




ตอนนี้เชื่อแล้วค่ะ ว่าฝรั่งคนนี้กินได้ทุกอย่างจริงๆ!  แม้แต่ขนมหวานๆของไทย ที่ปกติฝรั่งไม่ค่อยชอบ เพราะหวานเกิน เขาก็ชอบ ยิ้ม

เราทำทีรามิสุชาเขียวค่ะ ตอนนั้นเขียนอีเมลล์ไปบอกเขา เขาไม่ตอบ
เราเลยลองเช็กดูปฏิทินของเขาค่ะ (ที่ทำงานเก่าจะดูได้หมด ว่าแต่ละคนมีเวลานัดหมายอะไรไว้บ้าง) คือเขานัดคุยกับเพื่อนร่วมงานคนนึงค่ะ
เราเลยเอาไปที่ห้องอาหาร เพราะนัดเพื่อนร่วมงานคนอื่นไว้ เขาอยู่ที่นั่น คุยงานกันอยู่อีกโต๊ะนึง
เราก็กินเค้กไปกับคนอื่นๆ อีกสองสามคนค่ะ
จนเขาคุยเสร็จ ก็ลุกมา เนียนๆ เข้ามานั่งข้างๆ เราเลยตักใส่จานให้ลองชิม ยิ้ม



ตอนนั้น เรายอมรับว่าเริ่มชอบเขานะคะ เอาขนมไปฝากทีไร เขา Good morning แล้วกอดเรา
แต่เราก็คิดแค่ว่า ตามปกติของฝรั่ง เขาก็ทักทายกันแบบนี้

เราเคยทำหมูสับปั้นทอด กินเอง แต่ไม่ค่อยชอบค่ะ เพราะมันจืด เลยเอาไปให้เขาแทน



วันนั้นตอนกินข้าวเที่ยง เขาเดินถือกล่องหมูสับปั้นทอด จะเอามาอุ่น แล้วเรากินข้าวอยู่ เขาก็มาจับหูเรา แล้วยิ้มๆ เราก็ถามว่า ไม่นั่งนี่หรอ
เขาบอกว่า จะต้องคุยงานต่อ จะไปนั่งโต๊ะนู้น ยิ้ม

Marit มาบอกเราว่า เขาจะแยกบ้านกับแฟนเก่าเขาแล้ว ตอนนี้เขาซื้อบ้านใหม่และกำลังรีโนเวท เราก็ฟังแต่ไม่ได้ถามอะไร
เขาก็พูดต่อว่า ชั้นบอกเขาไปว่า เธอโสดอ่ะ เราก็แบบ ไปบอกเขาแบบนั้นทำไม ชั้นเขินนะ ถ้าเจอเขาจะทำหน้าไม่ถูก
"ไม่ต้องเขิน เพราะชั้นบอกเขาไปตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้วละ เธอก็เจอเขาแล้วด้วย" ประหลาดใจ

มีวันนึง เขาซื้อตะไคร้ ใบมะกรูด พริก กระเทียม มาฝากเราค่ะ เอามาให้ถึงออฟฟิศ นั่นเป็นครั้งแรกที่เขามาหาเรา
โดยที่ Marit เขียนอีเมลล์มาบอกว่า มีคนมาถามถึงแน่ะ แล้วตอนเขาถามถึงเธอนะ เขาดูเขินมากกกกก ยิ้ม
เราก็รู้สึกดีนะคะ ผู้ชายคนนี้ไม่ได้จะคิดจะรับอย่างเดียว แต่เขาก็มีน้ำใจตอบแทนคนอื่นด้วย

Marit แซวทุกวัน ว่า เมื่อก่อนเขาแทบไม่มานั่งที่ออฟฟิศนี้เลย (ที่ทำงานมีสองออฟฟิศค่ะ) แต่ตอนนี้มาทุกวัน เขาคงอยากเจอเธอ เราบอกว่า ไม่หรอก เป็นเพราะงานของเขาต่างหาก Marit ก็ยังพูดอีกว่า แต่เขาทำงานที่ออฟฟิศนู้นได้นะ

Marit และ เพื่อนที่ทำงานที่แซวกันเล่นบ่อยๆ เริ่มสังเกตและแซวเรา ว่า Love is in the air! เราก็เขินนะคะ แต่ไม่กล้าคิดเข้าข้างตัวเอง เพราะไม่อยากผิดหวัง และคิดว่าเขาก็คิดกับเราแบบเพื่อนน่ะแหละ

มีแม่สื่อแบบ Marit เรื่องก็เลยเดินเร็วมากค่ะ ฮ่าๆ นางมาบอกว่า เขาบอกว่า เขาไม่กล้าเริ่มความสัมพันธ์กับเธอ เพราะเขาคิดว่าเธอคงไม่ชอบผู้ชายแบบเขา และเธอกับเขาก็อายุห่างกันมาก (เราห่างกัน 18 ปีค่ะ)
เราเลยตอบไปว่า มันก็ไม่ได้สำคัญว่าเขาจะอายุมากกว่าชั้นเท่าไหร่นะ อยู่ที่ว่าเขาเป็นคนดีและเราเข้ากันได้หรือเปล่า
Marit บอกว่า หรอ งั้นชั้นจะไปพูดกับเขาแบบนี้ได้มะ ยิ้ม เราก็ตอบว่า ถ้าเจอเขาก็บอกเขาไปสิ แต่เรารู้อยู่แล้วว่าแม่สื่อไม่พลาด

กินข้าวกลางวันวันนั้น Marit ก็ยังบอกเราว่า ขยับไปนั่งตรงนู้นไป ชั้นจะนั่งนี่ เขาถือถาดอาหารมาพอดีค่ะ เราเลยได้คุยกัน แต่ก็คุยเรื่องทั่วๆ ไป เราสังเกตว่า เขาดูผ่อนคลายและมีความสุข ยิ้ม

เราได้รับอีเมลล์จากเขาวันนั้นค่ะ เพราะตอนกลางวัน เราคุยกันเรื่องหนัง เขาเขียนมาชวนไปดูหนังเรื่อง Interstellar  
เราก็บอกว่า ได้ แต่จะไปเมื่อไหร่ค่อยนัดอีกที
เราจะต้องไปเดนมาร์กสองวันค่ะ เลยบอกเขาว่า สุดสัปดาห์นี้คงไม่สะดวก และเอาเบอร์มือถือให้เขาไป
เขาก็ส่งข้อความเข้าทางมือถือค่ะ หลังจากที่คุยกันผ่านอีเมลล์อยู่นาน ยิ้ม

แล้วเขาก็มารับเราไปดูหนังค่ะ จำได้ว่า ตอนนั้น เราก็ยังคิดว่า เราเป็นเพื่อนกัน จนไปดูหนัง ในโรงหนังนั่นแหละ ถึงรู้ว่า เราไม่ได้เป็นแบบนั้น ยิ้ม จุ๊บๆ

อีกวัน เขาก็ส่งเมลล์มา บอกเล่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับแฟนเก่า จริงๆ เลิกกันมาหลายปีแล้ว แต่เขาเป็นคนขอให้อยู่บ้านด้วยกันไปก่อน เพื่อลูก แต่แยกห้องนอนกันนานแล้ว และเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันมาตลอด ต้นปีที่ผ่านมา ก็ตัดสินใจแยกบ้านกัน คือเลิกกันแบบเป็นทางการ แฟนเก่าซื้ออพาร์ทเมนท์ใหม่แล้ว เขากำลังรีโนเวทบ้านใหม่ ตอนนี้ทำงานถึงตีสองตีสามทุกวัน ซึ่งจะต้องย้ายออกบ้านเก่า ปลายเดือนกุมภาพันธ์ (เราเดทกับเขาครั้งแรก พฤศจิกายน ค่ะ)

เขาก็พาเราไปดูบ้านใหม่ที่กำลังปรับปรุง ตอนนั้นรู้สึกมีค่ามากเลยค่ะ ที่ผู้ชายคนนึง ให้เกียรติ ให้ความจริงใจและเปิดเผยทุกอย่างที่เกี่ยวกับเขา เขาบอกว่า เขาเล่าให้แฟนเก่าฟังว่าคบกับเรา บอกลูกด้วย บอกแม่เขา น้องชายเขา

แฟนเก่าเขาเคยฝากขนมมาให้ด้วยค่ะ ตอนช่วงคริสต์มาส และบอกว่าถ้ามีโอกาสก็จะเชิญมากินข้าว แต่เขาก็ยุ่งอยู่กับการเก็บของในบ้านหลังเก่า จนตอนที่เรากลับไทย ก็ยังไม่ได้เจอกัน เรารู้สึกว่ามันน่ารักดี เลิกกัน แต่ก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน และลูกคือเรื่องสำคัญที่สุด

เราเคยทำเค้กเนยสดไปฝากลูกเขาด้วยค่ะ



ตอนนั้นเป็นแฟนกันแล้ว ขอเรียกว่าแฟนนะคะ
แฟนก็เชิญเราไปกินข้าวที่บ้านเขาค่ะ ทำเนื้อทอด คล้ายๆสเต็ก กินกับมันฝรั่งและเนยกระเทียม



ตอนที่แฟนพาไปเจอแม่กับน้องชายเขา เราทำเค้กกาแฟไปฝากค่ะ



ทำซาลาเปาให้ เขาบอกว่าลูกชอบมาก ยิ้ม




ต่อในความเห็นข้างล่างนะคะ ยิ้ม
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่