เถียงกับสลิ่มจนเมื่อยครับ ว่าไม่เห็นด้วยเพราะอะไร อย่างไร
แต่สลิ่มใช้ไม้ตาย ด้วยการเอาคำไม่รับฟ้องมาอ้าง แล้วก็บอกว่าถูกต้องแล้ว เหมาะสมแล้ว
ฉะนั้น ทู้นี้ คงต้องย้อนเกล็ดสลิ่ม ด้วยการยกข้อกฎหมายมาแย้ง
ศาลชั้นต้นไม่รับฟ้อง เนื่องจากเห็นว่า
"แม้อัยการโจทก์ จะกล่าวหาว่าจำเลยทั้งสองได้ออกคำสั่ง ศอฉ.ให้ใช้กำลังเจ้าหน้าที่ อาวุธและกระสุนจริง รวมทั้งพลแม่นปืนในการผลักดันผู้ชุมนุม หรือกระชับพื้นที่ หรือสลายการชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ในปี 2553 ต่อเนื่องจนถึงวันที่ 19 พ.ค.53 โดยมีเจตนาประสงค์ต่อผลที่ทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตก็ตาม แต่การกระทำดังกล่าวนั้นก็เกี่ยวพันกับการที่จำเลยทั้งสองใช้อำนาจตำแหน่งหน้าที่ราชการในฐานะนายกรัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรี รวมทั้ง ผอ.ศอฉ.ตาม พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ด้วย ไม่ใช่การกระทำทางอาญาที่กระทำโดยส่วนตัวหรือนอกเหนือหน้าที่ราชการ ดังนั้นจึงเป็นการกระทำที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดต่อตำแหน่งราชการด้วยซึ่งเป็นการกระทำกรรมเดียวที่ควรพิจารณาไปในวาระเดียว ซึ่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ( ป.ป.ช.) มีอำนาจไต่สวน และหาก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด ก็ต้องยื่นฟ้องคดีศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตาม พ.ร.บ.ว่าการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ.2542 มาตรา 66 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยวิธีการพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2542 มาตรา 9(1) และประกาศ คสช. ฉบับที่ 11/2557 และ 24/2557 ที่ ป.ป.ช. มีอำนาจไต่สวนชี้มูลความผิดเกี่ยวกับการกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ โดยคดีไม่อยู่ในอำนาจของศาลนี้ และให้ยกคำร้องที่นายสมร ไหมทอง คนขับรถตู้ที่บาดเจ็บ และนางหนูชิต คำกอง ภรรยาของนายพัน ที่เสียชีวิต ขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมด้วย"
ซึ่งก็มีการยื่นอุทธรณ์ฟ้อง
ศาลอาญาพิพากษายืน ไม่รับฟ้อง ด้วยเห็นว่า
"จำเลยทั้งสองดำเนินการในฐานะนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย เป็นเจ้าหน้าที่มีอำนาจในการปฏิบัติตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 การออกคำสั่งต่างๆ มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันชีวิตทรัพย์สินของประชาชนทั้งเพื่อป้องกันตนเองของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติตามคำสั่งตามกฎหมาย ผลจากการปฏิบัติตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่เป็นเหตุให้ ต่อมาปรากฏว่าประชาชนผู้ร่วมชุมนุมถึงแก่ความตายและได้รับบาดเจ็บอันเป็นเหตุให้โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองในคดีนี้กรณีจึงฟังไมได้ว่าจำเลยทั้งสองกระทำไปในฐานะส่วนตัวตามที่โจทก์และโจทก์ร่วมอุทธรณ์
แต่เป็นกรณีที่จำเลยทั้งสองกระทำไปในฐานะผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง การสอบสวนเพื่อเอาโทษแก่จำเลยทั้งสองจึงเป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปราบการทุจริตแห่งชาติ มาตรา 19 ประกอบมาตรา 66 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ปี 2550 มาตรา 250 (2) ประกอบมาตรา 275
การที่โจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสอง ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองโดยอาศัยสำนวนการสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ( ดีเอสไอ) ซึ่งไม่มีอำนาจในการสอบสวนดังกล่าว การฟ้องของโจทก์จึงไม่ชอบ ศาลอาญาจึงไม่ใช่ศาลที่มีเขตอำนาจรับคดีทั้งสองสำนวนไว้พิจารณา
อุทธรณ์โจทก์และโจทก์ร่วมฟังไม่ขึ้น ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องชอบด้วย ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย"
มาดูข้อกฎหมายกันครับ
1. การกระทำของอภิสิทธิ์-สุเทพ แม้จะเป็นการกระทำกรรมเดียว แต่ผิดกฎหมายหลายบท
ผิดทั้งเรื่องปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 (อำนาจ ป.ป.ช.)
และผิดเรื่องฆ่าคนตาย ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 83 84 90 (อำนาจพนักงานสอบสวน)
เมื่อกระทำผิดหลายบท ก็เป็นเรื่องที่สามารถแยกฟ้องได้
แต่ศาลอ้างว่าเป็นความผิดกรรมเดียว โดยไม่พิจารณาถึงพฤติกรรมว่าผิดกฎหมายหลายบท
เมื่อส่งเรื่องไป ป.ป.ช. หาก ป.ป.ช. บอกว่าไม่ผิดโดยที่ ป.ป.ช. มีอำนาจแค่เรื่อง 157 เท่านั้น
ก็จะทำให้เรื่องฆ่าคนตายตกไปด้วย
เป็นธรรมหรือไม่ ?
2. อัยการฟ้องในเรื่องฆ่าคนตาย อันอยู่ในอำนาจของศาลอาญา ไม่ได้ฟ้องเรื่องปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ อันไม่อยู่ในอำนาจศาลอาญา
ในคำฟ้อง อัยการบรรยายคำฟ้องว่าสาเหตุที่ฟ้องในข้อหาฆ่าคนตายแม้จำเลยทั้งสองจำกระทำในขณะดำรงตำแหน่งเพราะอะไร
ก็เพื่อให้ศาลได้ทราบที่ไปที่มา แต่ศาลกลับอ้างเรื่องตำแหน่ง ไม่รับฟ้องเรื่องฆ่าคนตาย โยนไปที่ ป.ป.ช.
3. การที่ศาลอาญาไม่รับฟ้อง ด้วยการบอกว่า
"ล้วนแต่เกิดจากการออกคำสั่งของจำเลยทั้งสองในฐานะรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรี
โดยอาศัย พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ทั้งสิ้น
กรณีไม่ได้เป็นการกระทำโดยส่วนตัวหรือไม่ได้กระทำที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ หรือนอกเหนืออำนาจหน้าที่ของจำเลยทั้งสอง"
การมีคำพิพากษาอย่างนี้ เป็นการฟอกผิดให้จำเลยทันที
ด้วยการบอกว่า จำเลยไม่ได้กระทำหนอกเหนืออำนาจหน้าที่ (การฆ่าคนเป็นเรื่องนอกเหนืออำนาจหน้าที่)
เมื่อเป็นการฟองผิด ก็แปลว่าจำเลยไม่ผิดทั้งเรื่อง 157 และเรื่องฆ่าคนตายตามมาตรา 288
นี่เป็นการก้าวล่วงพิพากษาอย่างเกินขอบเขต
ยกฟ้องด้วยเหตุเรื่องอำนาจการสอบสวน และเรื่องอำนาจศาล แต่กลับก้าวล่วงเข้าไปวินิจฉัยในข้อเท็จจริงคดี
ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ฟังข้อเท็จจริงจากการนำสืบของโจทก์-จำเลยให้สิ้นกระแสความ
จึงอาจมีข้อผิดพลาดได้มากและผิดหลักการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีของศาล
ยังไม่ได้พิจารณาคดีในชั้นศาล ยังไม่ได้พิจารณาหลักฐาน ยังไม่ได้สืบพยาน แต่ชี้เรื่องข้อเท็จจริงแล้ว
เป็นไปได้ไงที่ศาลทำผิดหลักการพิจารณาคดีได้ขนาดนี้ ?
4. ประมวลวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192
ห้ามมิให้พิพากษา หรือสั่ง เกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้อง
อัยการฟ้องเรื่องฆ่าคนตาย ให้ศาลลงโทษเรื่องฆ่าคนตาย ศาลอาญาควรพิจารณาแค่เรื่องที่ฟ้อง
แต่กลับพิจารณาไปเรื่องปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ มาตรา 157
5. องค์ประกอบความผิดของประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 83, 84 กับองค์ประกอบความผิดของมาตรา 157 นั้นต่างกัน
เมื่อองค์ประกอบความผิดต่างกัน การสอบสวนย่อมต่างกัน การดำเนินคดีย่อมต่างกัน
เรื่อง 157 ก็ไป ป.ป.ช. เรื่อง 288 ก็ต้องพนักงานสอบสวน
แต่ศาลบอกว่าเป็นแค่เรื่อง 157 โดยไม่พิจารณาถึงองค์ประกอบความผิด ว่าผิดหลายบท
บอกว่าต้องไปที่ ป.ป.ช. เท่านั้น พนักงานสอบสวนไม่มีอำนาจ
ซึ่งเมื่อ ป.ป.ช. ชี้มูลว่า อภิสิทธฺ์-สุเทพ ไม่ผิดมาตรา 157 คดีก็จบ
เรื่องฆ่าคนตายก็ไม่ได้รับการพิจารณาคดี เรื่องไม่ถึงศาลสักเรื่อง
ไม่ว่าเรื่อง 157 ที่ต้องไปศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ ไม่ว่าเรื่องฆ่าคนตายที่อยู่ในอำนาจศาลอาญา
แค่ ป.ป.ช. ชี้มูลว่าไม่ผิด คดี 99 ศพก็จบ
เป็นธรรมหรือไม่ ?
ผู้สูญเสีย จะหันหน้าพึ่งใคร
คนตายเกือบร้อยศพ แต่ไม่มีที่พึ่ง
เรื่องอย่างนี้ เป็นไปได้ไง ?
ศาลอาญาไม่รับฟ้อง ป.ป.ช. ชี้มูลว่าไม่ผิด
คดีจบไปง่าย ๆ
การฟ้องต่อศาล เป็นเรื่องขอความเป็นธรรม
คนโดนฆ่า ไม่มีความผิด เหมือนโดนประหารชีวิตทั้งที่ไม่มีความผิด
แต่พอจะขอความเป็นธรรมด้วยการนำเรื่องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
กลับโดนปฏิเสธ
ฟ้องเรื่องฆ่าคนตาย แต่ไม่รับฟ้อง
อ้างว่าเป็นเรื่อง 157 ทั้งที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในคำฟ้องเลย
จะดำรงตำแหน่งก็จริง แต่เรื่องฆ่าคนตายเป็นเรื่องนอกเหนืออำนาจหน้าที่ เป็นเรื่องไม่อยู่ในอำนาจของ ป.ป.ช.
การไม่รับฟ้อง ทั้งที่ฟ้องถูกเรื่อง ฟ้องถูกศาล
จึงไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง
การพิพากษาว่า ล้วนเป็นการกระทำตามอำนาจหน้าที่
เป็นการพิพากษาที่เกินขอบเขต ทั้งที่ยังไม่ได้ฟังข้อเท็จจริงใดๆ จากทั้งโจทก์และจำเลย
การอ้างว่ามีตำแหน่ง แล้วบอกว่าเป็นการทำตามอำนาจหน้าที่
โดยไม่ฟังข้อเท็จจริงของพฤติการณ์
เป็นธรรมหรือไม่ ?
นี่คือเรื่องความเป็นธรรม ไม่ใช่เรื่องใครผิดใครถูก
เพราะหากคดีเข้าสู่ศาล ก็ไม่มีใครรู้ว่าผลจะเป็นอย่างไร
ความเป็นธรรม ถูกต้องเหมาะสม คือควรให้โอกาสผู้สูญเสียได้ทวงถามความเป็นธรรมตามกระบวนการ
ไม่ใช่ตัดตอนง่าย ๆ แบบนี้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้อ่านเพิ่มเติมได้ที่
สมลักษณ์ จัดกระบวนพล : คำวินิจฉัยของศาลที่สั่นสะเทือนสังคมไทย
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1409712305
ช้า ๆ ชัด ๆ นะครับ ว่าทำไมผมถึงไม่เห็นด้วยกับเรื่องศาลอาญาไม่รับอุทธรณ์ฟ้องคดี 99 ศพ
แต่สลิ่มใช้ไม้ตาย ด้วยการเอาคำไม่รับฟ้องมาอ้าง แล้วก็บอกว่าถูกต้องแล้ว เหมาะสมแล้ว
ฉะนั้น ทู้นี้ คงต้องย้อนเกล็ดสลิ่ม ด้วยการยกข้อกฎหมายมาแย้ง
ศาลชั้นต้นไม่รับฟ้อง เนื่องจากเห็นว่า
"แม้อัยการโจทก์ จะกล่าวหาว่าจำเลยทั้งสองได้ออกคำสั่ง ศอฉ.ให้ใช้กำลังเจ้าหน้าที่ อาวุธและกระสุนจริง รวมทั้งพลแม่นปืนในการผลักดันผู้ชุมนุม หรือกระชับพื้นที่ หรือสลายการชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ในปี 2553 ต่อเนื่องจนถึงวันที่ 19 พ.ค.53 โดยมีเจตนาประสงค์ต่อผลที่ทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตก็ตาม แต่การกระทำดังกล่าวนั้นก็เกี่ยวพันกับการที่จำเลยทั้งสองใช้อำนาจตำแหน่งหน้าที่ราชการในฐานะนายกรัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรี รวมทั้ง ผอ.ศอฉ.ตาม พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ด้วย ไม่ใช่การกระทำทางอาญาที่กระทำโดยส่วนตัวหรือนอกเหนือหน้าที่ราชการ ดังนั้นจึงเป็นการกระทำที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดต่อตำแหน่งราชการด้วยซึ่งเป็นการกระทำกรรมเดียวที่ควรพิจารณาไปในวาระเดียว ซึ่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ( ป.ป.ช.) มีอำนาจไต่สวน และหาก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด ก็ต้องยื่นฟ้องคดีศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตาม พ.ร.บ.ว่าการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ.2542 มาตรา 66 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยวิธีการพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2542 มาตรา 9(1) และประกาศ คสช. ฉบับที่ 11/2557 และ 24/2557 ที่ ป.ป.ช. มีอำนาจไต่สวนชี้มูลความผิดเกี่ยวกับการกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ โดยคดีไม่อยู่ในอำนาจของศาลนี้ และให้ยกคำร้องที่นายสมร ไหมทอง คนขับรถตู้ที่บาดเจ็บ และนางหนูชิต คำกอง ภรรยาของนายพัน ที่เสียชีวิต ขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมด้วย"
ซึ่งก็มีการยื่นอุทธรณ์ฟ้อง
ศาลอาญาพิพากษายืน ไม่รับฟ้อง ด้วยเห็นว่า
"จำเลยทั้งสองดำเนินการในฐานะนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย เป็นเจ้าหน้าที่มีอำนาจในการปฏิบัติตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 การออกคำสั่งต่างๆ มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันชีวิตทรัพย์สินของประชาชนทั้งเพื่อป้องกันตนเองของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติตามคำสั่งตามกฎหมาย ผลจากการปฏิบัติตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่เป็นเหตุให้ ต่อมาปรากฏว่าประชาชนผู้ร่วมชุมนุมถึงแก่ความตายและได้รับบาดเจ็บอันเป็นเหตุให้โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองในคดีนี้กรณีจึงฟังไมได้ว่าจำเลยทั้งสองกระทำไปในฐานะส่วนตัวตามที่โจทก์และโจทก์ร่วมอุทธรณ์
แต่เป็นกรณีที่จำเลยทั้งสองกระทำไปในฐานะผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง การสอบสวนเพื่อเอาโทษแก่จำเลยทั้งสองจึงเป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปราบการทุจริตแห่งชาติ มาตรา 19 ประกอบมาตรา 66 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ปี 2550 มาตรา 250 (2) ประกอบมาตรา 275
การที่โจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสอง ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองโดยอาศัยสำนวนการสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ( ดีเอสไอ) ซึ่งไม่มีอำนาจในการสอบสวนดังกล่าว การฟ้องของโจทก์จึงไม่ชอบ ศาลอาญาจึงไม่ใช่ศาลที่มีเขตอำนาจรับคดีทั้งสองสำนวนไว้พิจารณา
อุทธรณ์โจทก์และโจทก์ร่วมฟังไม่ขึ้น ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องชอบด้วย ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย"
มาดูข้อกฎหมายกันครับ
1. การกระทำของอภิสิทธิ์-สุเทพ แม้จะเป็นการกระทำกรรมเดียว แต่ผิดกฎหมายหลายบท
ผิดทั้งเรื่องปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 (อำนาจ ป.ป.ช.)
และผิดเรื่องฆ่าคนตาย ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 83 84 90 (อำนาจพนักงานสอบสวน)
เมื่อกระทำผิดหลายบท ก็เป็นเรื่องที่สามารถแยกฟ้องได้
แต่ศาลอ้างว่าเป็นความผิดกรรมเดียว โดยไม่พิจารณาถึงพฤติกรรมว่าผิดกฎหมายหลายบท
เมื่อส่งเรื่องไป ป.ป.ช. หาก ป.ป.ช. บอกว่าไม่ผิดโดยที่ ป.ป.ช. มีอำนาจแค่เรื่อง 157 เท่านั้น
ก็จะทำให้เรื่องฆ่าคนตายตกไปด้วย
เป็นธรรมหรือไม่ ?
2. อัยการฟ้องในเรื่องฆ่าคนตาย อันอยู่ในอำนาจของศาลอาญา ไม่ได้ฟ้องเรื่องปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ อันไม่อยู่ในอำนาจศาลอาญา
ในคำฟ้อง อัยการบรรยายคำฟ้องว่าสาเหตุที่ฟ้องในข้อหาฆ่าคนตายแม้จำเลยทั้งสองจำกระทำในขณะดำรงตำแหน่งเพราะอะไร
ก็เพื่อให้ศาลได้ทราบที่ไปที่มา แต่ศาลกลับอ้างเรื่องตำแหน่ง ไม่รับฟ้องเรื่องฆ่าคนตาย โยนไปที่ ป.ป.ช.
3. การที่ศาลอาญาไม่รับฟ้อง ด้วยการบอกว่า
"ล้วนแต่เกิดจากการออกคำสั่งของจำเลยทั้งสองในฐานะรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรี
โดยอาศัย พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ทั้งสิ้น
กรณีไม่ได้เป็นการกระทำโดยส่วนตัวหรือไม่ได้กระทำที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ หรือนอกเหนืออำนาจหน้าที่ของจำเลยทั้งสอง"
การมีคำพิพากษาอย่างนี้ เป็นการฟอกผิดให้จำเลยทันที
ด้วยการบอกว่า จำเลยไม่ได้กระทำหนอกเหนืออำนาจหน้าที่ (การฆ่าคนเป็นเรื่องนอกเหนืออำนาจหน้าที่)
เมื่อเป็นการฟองผิด ก็แปลว่าจำเลยไม่ผิดทั้งเรื่อง 157 และเรื่องฆ่าคนตายตามมาตรา 288
นี่เป็นการก้าวล่วงพิพากษาอย่างเกินขอบเขต
ยกฟ้องด้วยเหตุเรื่องอำนาจการสอบสวน และเรื่องอำนาจศาล แต่กลับก้าวล่วงเข้าไปวินิจฉัยในข้อเท็จจริงคดี
ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ฟังข้อเท็จจริงจากการนำสืบของโจทก์-จำเลยให้สิ้นกระแสความ
จึงอาจมีข้อผิดพลาดได้มากและผิดหลักการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีของศาล
ยังไม่ได้พิจารณาคดีในชั้นศาล ยังไม่ได้พิจารณาหลักฐาน ยังไม่ได้สืบพยาน แต่ชี้เรื่องข้อเท็จจริงแล้ว
เป็นไปได้ไงที่ศาลทำผิดหลักการพิจารณาคดีได้ขนาดนี้ ?
4. ประมวลวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 ห้ามมิให้พิพากษา หรือสั่ง เกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้อง
อัยการฟ้องเรื่องฆ่าคนตาย ให้ศาลลงโทษเรื่องฆ่าคนตาย ศาลอาญาควรพิจารณาแค่เรื่องที่ฟ้อง
แต่กลับพิจารณาไปเรื่องปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ มาตรา 157
5. องค์ประกอบความผิดของประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 83, 84 กับองค์ประกอบความผิดของมาตรา 157 นั้นต่างกัน
เมื่อองค์ประกอบความผิดต่างกัน การสอบสวนย่อมต่างกัน การดำเนินคดีย่อมต่างกัน
เรื่อง 157 ก็ไป ป.ป.ช. เรื่อง 288 ก็ต้องพนักงานสอบสวน
แต่ศาลบอกว่าเป็นแค่เรื่อง 157 โดยไม่พิจารณาถึงองค์ประกอบความผิด ว่าผิดหลายบท
บอกว่าต้องไปที่ ป.ป.ช. เท่านั้น พนักงานสอบสวนไม่มีอำนาจ
ซึ่งเมื่อ ป.ป.ช. ชี้มูลว่า อภิสิทธฺ์-สุเทพ ไม่ผิดมาตรา 157 คดีก็จบ
เรื่องฆ่าคนตายก็ไม่ได้รับการพิจารณาคดี เรื่องไม่ถึงศาลสักเรื่อง
ไม่ว่าเรื่อง 157 ที่ต้องไปศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ ไม่ว่าเรื่องฆ่าคนตายที่อยู่ในอำนาจศาลอาญา
แค่ ป.ป.ช. ชี้มูลว่าไม่ผิด คดี 99 ศพก็จบ
เป็นธรรมหรือไม่ ?
ผู้สูญเสีย จะหันหน้าพึ่งใคร
คนตายเกือบร้อยศพ แต่ไม่มีที่พึ่ง
เรื่องอย่างนี้ เป็นไปได้ไง ?
ศาลอาญาไม่รับฟ้อง ป.ป.ช. ชี้มูลว่าไม่ผิด
คดีจบไปง่าย ๆ
การฟ้องต่อศาล เป็นเรื่องขอความเป็นธรรม
คนโดนฆ่า ไม่มีความผิด เหมือนโดนประหารชีวิตทั้งที่ไม่มีความผิด
แต่พอจะขอความเป็นธรรมด้วยการนำเรื่องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
กลับโดนปฏิเสธ
ฟ้องเรื่องฆ่าคนตาย แต่ไม่รับฟ้อง
อ้างว่าเป็นเรื่อง 157 ทั้งที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในคำฟ้องเลย
จะดำรงตำแหน่งก็จริง แต่เรื่องฆ่าคนตายเป็นเรื่องนอกเหนืออำนาจหน้าที่ เป็นเรื่องไม่อยู่ในอำนาจของ ป.ป.ช.
การไม่รับฟ้อง ทั้งที่ฟ้องถูกเรื่อง ฟ้องถูกศาล
จึงไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง
การพิพากษาว่า ล้วนเป็นการกระทำตามอำนาจหน้าที่
เป็นการพิพากษาที่เกินขอบเขต ทั้งที่ยังไม่ได้ฟังข้อเท็จจริงใดๆ จากทั้งโจทก์และจำเลย
การอ้างว่ามีตำแหน่ง แล้วบอกว่าเป็นการทำตามอำนาจหน้าที่
โดยไม่ฟังข้อเท็จจริงของพฤติการณ์
เป็นธรรมหรือไม่ ?
นี่คือเรื่องความเป็นธรรม ไม่ใช่เรื่องใครผิดใครถูก
เพราะหากคดีเข้าสู่ศาล ก็ไม่มีใครรู้ว่าผลจะเป็นอย่างไร
ความเป็นธรรม ถูกต้องเหมาะสม คือควรให้โอกาสผู้สูญเสียได้ทวงถามความเป็นธรรมตามกระบวนการ
ไม่ใช่ตัดตอนง่าย ๆ แบบนี้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้