ที่จริงตอนนั้นรู้จักโมโกจู พร้อม ๆ กับเขาช้างเผือก แต่หลังจากอ่านที่หลายท่านมารีวิวไว้ ก็ทราบว่า คนไม่เคยเดินป่าอย่างข้าพเจ้าคงไม่ไหว เลยตัดสินใจทดสอบที่ เขาช้างเผือกก่อน และสำเร็จไปด้วย กระทู้นี้
http://pantip.com/topic/31461144
Edit เพิ่ม VDO สักหน่อย 55+
จากนั้นรู้ว่าตัวเองต้องทำอีกมากแค่ไหนกว่าจะได้มีโอกาสไปโมโกจู กับเค้าสักครั้ง ด้วยร่างกายที่อาจจะยังไม่พร้อมเท่าไหร่ และ ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า connection เห็นผลเพราะว่า เรามันตัวคนเดียว รักการท่องเที่ยวแบบหาเพื่อนเอาดาบหน้าเสมอ จึงได้มีโอกาสไปเที่ยวกับทัวร์หนึ่งบ่อย ๆ ก็เริ่มได้เพื่อนใหม่เพิ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ นะ ทั้งทริปไปง่าย ๆ ทริปยาก ๆ ทริปด่วน ๆ หลายๆ ทริป
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ธ.ค. 2013 เขาช้างเผือก กาญจนบุรี http://pantip.com/topic/31461144
พ.ย. 2014 ม่อนทูเล ม่อนคลุย ตาก http://pantip.com/topic/32839532
มิ.ย. 2015 ทุ่งดอกกระเจียว ชัยภูมิ
ก.ค. 2015 ลงปั่นจักรยาน AUDAX 100 สัตหีบ สำเร็จลุล่วงไปอีก 1 รายการ
ส.ค. 2015 Sprint Distant ไตรกีฬา หัวหิน
หลังจากจบไตรกีฬาระยะ Sprint ได้เราเริ่มเข้าวงการวิ่ง และเริ่มวิ่งจากนั้นเป็นต้นมา ลงรายการต่าง ๆ เดือนละครั้ง เพื่อทดสอบสมรรถภาพตัวเอง
ส.ค. 2015 รายการวิ่งรายการแรก HUMANRUN 5km
ต.ค. 2015 หัวใจอุ้มผาง ปิ๊ตุ๊โกร ยอดมะม่วง 30000 http://pantip.com/topic/34380622
พ.ย. 2015 โรยตัว น้ำตกเต่าดำ นครนายก
พ.ย. 2015 ภูกระดึง เชียงคาน
ธ.ค. 2015 เขาเย็นกระเจอคลิ๊ ยอด 1800 กำแพงเพชร
ธ.ค. 2015 วิ่ง 10 โล 2 รายการ คือ Run for the king และ toyota run fun verrr
ม.ค. 2016 ลงรายการวิ่ง ฮาฟมาราธอน แรกในชีวิตสำเร็จ BITEC HALF MARATHON
จนมาถึงวันที่รอคอย 14 ก.พ. 2016 โมโกจู หินเรือใบที่รอคอยมาถึง ส่วนมันเป็นอย่างไร มายังไง ตามต่อครับ
หลังจากปรับร่างตัวเองแล้วก็เร่งหาวิธีการที่จะไปอยู่ตลอดเวลา แต่ด้วยการจองระดับ ซูปเปอร์ไฮสปีด 4 วิเต็มในทุก ๆ ปี ทำให้ความหวังเริ่มริบหรี่ และ หลังจากได้พูดคุยกับเพื่อนใหม่หลาย ๆ คนที่ไปมาแล้วและไม่ได้ไปต่างก็บอกว่า น่าจะไม่มีหวัง .... เราก็คิดเช่นนั้น
"คอนเน็คชั่น"
และแล้ว ความหวังที่หวังก็ไว้ อยู่ดีดีมันก็วิ่งมา เมื่อเพื่อนใหม่ท่านหนึ่งในกลุ่มที่เราเคยไปโรยตัว และ พบกันอีกครั้งที่เขาเย็น ตั้งกรุ๊ป โมโกจู ขึ้นในเฟสบุ๊ค ว่าจองได้ เราจึงได้มีโอกาสไปลงชื่อสำรองเอาไว้ด้วยคำว่า "รอเสียบ !!!!"
ก็แอบหวังเล็ก ๆ นะว่าจะได้ไป แต่ก็ผ่านไปพักใหญ่มีการประกาศรายชื่อตัวจริง 12 ท่านที่คอนเฟิร์มว่าไปเรียบร้อยแล้ว ก็ได้แค่คอยติดตาม จนวันนึง ไลน์เด้ง ผู้ให้ความหวังท่านนั้นไลน์มาว่า มีพื้นที่ว่าง ไปไหม ?? ไม่คิดฮะ ตอบทันทีเลยว่า "ไป" เค้าถามย้ำว่า ไปศึกษาก่อนไหม เช่น ต้องแบกของกองกลางนะ ต้องเตรียมนู้นนี่นั่นนะ ไม่ตอบเลยคะ ส่งบัตรประชาชน และยืนยันว่าไป ทันทีไม่มีข้อแม้
จากนั้น............... เหลือเวลาเตรียมตัวอีกแค่ ไม่ถึงสองสัปดาห์ ต้องวางแผนแล้วว่าต้องเอาไงมั่ง เพราะวันที่จะไปคือวันที่ 13-16 กุมภาพันธ์ 2559
"หัวใจ"
หลังจากเหลือเวลาแค่ไม่ถึงสองสัปดาห์ในการเตรียมตัว จึงต้องรักษาเนื้อรักษาตัวให้ดี ห้ามป่วย ห้ามตาย เพราะนี่คือโอกาสที่รอคอยมานานมากกก
เริ่มจากหัวใจที่กล้าแกร่ง เดินไปหาหัวหน้างาน ที่ขอลาพักร้อน เป็นคนแรกของบริษัทเลยนะคะ หึหึ (สำเร็จไปหนึ่งอย่าง)
หัวใจที่ต้องพร้อม ด้วยการเดินหน้าออกกำลังกายด้วยการวิ่ง แต่แบบถนอมแรง เพื่อไม่ให้ขาเป็นอะไรไปก่อนจะถึงวันเดินจริง
หัวใจที่พร้อมจะเปิดรับกับการได้รู้จักเพื่อใหม่ประสบการณ์ใหม่
หลังจากใช้หัวใจไปแล้วตามข้างบน ทั้งหมดเก็บทดไว้ เพื่อใช้ในวันจริง
ไอเท็มลับ
หลังจากที่ไปส่องรีวิวเพื่อน ๆ ท่านอื่นก็พบว่า ความเด็ดดวงมันอยู่ที่ภาพบนก้อนหินเรือใบก้อนนั้น ที่เราจะได้กลับมา ซึ่งมานั่งคิดว่ามันจะออกมาเป็นอย่างไร ถ้าเป็นเรา เราคงทำท่าทางไรมากไม่ได้ ก็คนมันไม่ค่อยมีท่ายากนินา .... งั้นก็ต้องอุปกรณ์ ซึ่งก็เห็นเค้ามีธงชาติ ไว้ให้ถือ ซึ่งทุกคนก็ถือกันหมด .... จะให้ไปพรีเว้ดดิ้งบนนั้น จะบร้าเหร๋อ ... ยากพอๆ กับการหาตั๋วไปโมโกจูเล้ยยย... งั้นก็ลอกคนอื่นล่ะกัน แต่ขอเป็นแบบของตัวเอง สั่งทำ ธงส่วนตัวคะ เป็นธงขอบริษัทเราเอง จากนั้นก็มาฝึกท่าโพสต์ ซึ่งขึ้นไปเดาเอาว่า ก็ต้องต่อคิวขึ้นไปบนหิน จะมาแอคเยอะก็ไม่ได้ เกรงใจเพื่อน เลยฝึกไป 5 แอค ง่าย ๆ ที่เน้น ว่า ธงต้องมา ท่าต้องเป็นตัว เอส. อวดทรวดทรงที่อุตส่าห์ลดความอ้วนมาได้
งั้นพร้อมแล้ว เดินทางเลยครับท่านผู้ชม
เรารวมกลุ่มกันที่ บิ๊กซีสะพานควาย และออกเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนบุคคลจำนวน 2 คัน เพื่อไปเจอกับทีมงานปลายทางอีก 1 คัน รวมเป็น 3 คัน คันละ 4 คน ไปถึงอุทยานแม่วงก์ราว ๆ ตีสาม เรานอกพักผ่อน ท่ามกลางอากาศเย็นราว ๆ 10 องศาในช่วงเช้าวันที่ 13 ก.พ. เราเลือกนอนในรถเพราะขี้เกียจรื้ออุปกรณ์การนอนออกมาจากเป้
ตื่นเช้ามาพร้อม เตรียมตัวเพื่อออกเดินทาง แต่กว่าจะออกก็ปาไป 10 โมงเช้า สำหรับน้ำหนักเป้ส่วนตัว ข้าวสาร อาหารแห้ง และอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ทั้ง 12 คนช่วยกันรับผิดชอบ ซึ่งเราผลักภาระให้ลูกหาบซึ่งหาได้เพียง 1 คน (20โล) ที่เหลือก็แบ่งกัน เราได้ส่วนแบ่งมาเกือบ 12 กิโล สูงสุดที่หัวหน้าทีมได้ไปถึง 26 กก. เราถือว่าน้อยไปเลย แต่ก็พยายามแบ่งเท่ากันนะ แต่ที่เราเบาเพราะว่าอุปกรณ์ส่วนตัวเราน้อย 555 เน้น ใช้แล้ว ใช้ซ้ำ นำกลับมาใช้ใหม่ หึหึ

น้ำนักที่เรารับผิดชอบ

อาหารเช้าวันนี้
ในการเดินทางครั้งนี้มีอยู่ด้วยกัน 2กลุ่ม คือกลุ่มเรา เลือกใช้เวลา 4 วัน 3 คืน และอีกกลุ่มใช้เวลา 5 วัน 4 คืน
เมื่อเวลาดีๆ มาถึงก็เริ่มออกเดินทางกันเลย ทางช่วงแรก 16 กม. เส้นทางประมาณนี้ จุดไคลแม็กซ์อยู่ตรง มอขี้แตก คือ เนินขึ้น ระยะยาวววววววววว ที่พ้นมาได้ก็แทบ ขี้แตก
ทริปนี้ไม่เหมือนหลาย ๆ ทริปที่เคยผ่านมาสักเท่าไหร่ เพราะอะไรน่ะเหร๋อ

ทริปนี้มีแต่เดิน ๆ ๆ ท่ามกลางป่าไผ่ แห้ง... ร้อน ... แดดแผดเผา ปกติจะเป็นคนชอบถ่ายภาพระหว่างทางเดิน พืชพันธุ์ต่างๆ ที่ไม่เคยเห็นแต่ทริปนี้ เหอะ ๆ ๆ เหมือนจะไม่ค่อยมีอะไรนะ มีประมาณนี้เท่านั้นเอง อัพภาพรัวๆ แล้วข้าม ๆ ๆไปเลยล่ะกันเนอะ อยากให้ถึงยอดแล้ว ....
คืนนั้นเรามานอนกันที่แคมป์แม่เรวา ซึ่งใกล้แหล่งน้ำ เพื่อพักผ่อนกันให้เต็มที่ ก่อนจะถึงจุดที่ต้องไต่ระห่ำ กับระยะทาง 8 ก.ม. ที่ไม่ต้องพูดถึงคำว่าทางลาบ น้ำตกส้มตำเลย #ก็ว่าไป
ตื่นเช้ามาเติมพลังกันด้วย ข้าวหมูแดง หูยยยย ตาหย่อยมาก ๆ เลย
พร้อมแล้วรออะไร เริ่มเดินเลย ....
เห้ย.... มันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่.. 8 กิโลจริงดิ๊ ไม่จริงม้างงงง ทำไมเดินเท่าไหร่ก็ไม่ถึงสักทีอ่ะ ไหน ๆ ๆ เนิ่นแล้วเนินเล่า ไหน ๆ ๆ คลอง หนึ่ง จุดพักแรกของเราอยู่ไหน ... มันห่างไกลเหลือเกิน จากเดินเป็นกลุ่มเป็นก้อน เริ่มจากกระจายตามกำลังแรงขาของแต่ละคน เราเป็นคน มีจังหวะเป็นของตัวเอง 55+ เลยต้องเดินคนเดียว เพราะเวลาเดินกับคนอื่นมันจะกดดัน ไม่มีสมาธิ อาจทำให้หัวใจที่เตรียมมา ไม่ได้ใช้งานอย่างเต็มที่
เดินคนเดียวมันดีนะ ได้คิดไรเยอะแยะ มีสมาธิ มุ่งมั่นกับการเดิน อยากหยุดก็หยุด อยากไปต่อก็ไป แค่หวังไว้ในใจว่า ระยะเวลาเป็นปีที่สะสมกล้ามเนื้อหัวใจมาขนาดนี้ จะไม่ทำให้เราเป็นตัวถ่วงของทีม ก็พอ
และแล้วก็มาถึงคลองหนึ่ง เจอเพื่อกลุ่มเดียวกันที่ล่วงหน้ามาก่อน บอกเลยว่า กลุ่มการเดินของ 12 คนรอบนี้จะแบ่งเป็นแบบนี้
2 คนแรก ประกอบด้วย นักกีฬาวิ่งเทรล และ นักปั่นจักรยานข้ามโลก ซึ่งเป็นแนวหน้าขาแรง มักจะนำเราไปไม่ต่อกว่า 40 นาทีเสมอ
7 คนถัดมา ประกอบด้วย หนุ่ม สาว ๆ กลุ่มเพื่อนสนิมขาลุย สายแข็ง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือหัวหน้าทีมของพวกเรา
1 คนถัดผม ประกอบด้วย เราเอง อินดี้ ไม่มีคู่เดิน (เน้นสานสัมพันธ์กับกลุ่มอื่น พูดคุยกับ เจ้าหน้าที่ ต้นไม้ใบหญ้า ก้อนหิน ขี้เก้งกวาง ขี้เสือเป็นเพื่อนสนิท)
2 คนสุดท้าย ประกอบด้วย พี่สาวและพี่ชาย ที่นับถือเลยว่า จิตใจแข็งแกร่งมาก
จากจุดนี้ เค้าว่ากันว่า เหลือระยะทางเพียง 500 เมตร เพื่อไปยัง คลอง 2 ไม่ไกลแล้ว แต่ เดินชันกว่า ห๊ะ โอ้ววว... เอาที่สบายใจเลยฮะ
และแล้วก็มาถึง คลองสอง แบบ เกือบหมด เกือบหมดจริง ๆ แรงเริ่มจะไม่ค่อยมีแล้ว ระหว่างพักที่คลองสองก็เจอกับเพื่อนกลุ่ม 7 คนก่อนหน้านี้ สั่งเสียไว้ว่า พักเสร็จแล้ว ให้หิ้วน้ำขึ้นไปด้วย เพื่อเป็นสเบียงให้พวกเราใช้ 1 คืน โดย ณ จุดคลองสอง จะมีขวดเปล่า วางไว้ให้จำนวนมาก เลือกหยิบมากรอกน้ำและหิ้วขึ้นไปได้เลย
ที่จริงสามารถตั้งแคมป์ที่บริเวณคลอง 2 นี้ได้ แต่ต้องเดินไกลพอสมควรกว่าจะไปถึงยอดโมโกจู หัวหน้าทีมเราเลือกจะเดินขึ้นไปอีกแคมป์ ไม่มีน้ำ แต่ใกล้ยอดมากกว่า ว่าไงว่ากัน จัดเลย .... เรารับผิดชอบน้ำ 2 ขวด 1.5 ลิตร ร้อยไว้ด้วยหูเชือกรองเท้าผ้าใบ ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่ยอดเยี่ยมมาก ณ เวลานั้น ใครทำไว้ ขอเสียงปรบมือให้เลยฮะ ปัญหาคือ มันชันอีกแล้ว.... โอ้ยยยยยยยยยยยยยยยยย จะชันไปไหนฟร่ะ คะ ท่านผู้ชม เอ้า ... สู้
ระยะทาง 500 เมตรกับการเดิน ชั่วโมงกว่า เป็นอะไรที่พูดไม่ออกเลย นี่เรายังฟิตร่างกายมาไม่มากพอใช่ไหม ต้องกลับมาพยายามอีก ต้องแข็งแกร่งขึ้นอีก นี่คือสิ่งที่อยู่ในหัวตลอดเวลาที่เดิน มาถึงแคมป์พร้อมได้รับเสียงปรบมือรัวๆ เป็นกำลังใจ ดีใจอ่ะ มาถึงแล้ว หาที่กางเปล และพักหลัง ก่อนเลย

นี่คือที่นอน ณ แคมป์ก่อนถึงยอดดอย
เตรียมพบกันด่านสุดท้าย "ไอเท็มลับ"
[CR] ไป โมโกจู ครั้งนี้มีเพียงแค่ คอนเน็คชั่น หัวใจ และ ไอเท็มลับ
Edit เพิ่ม VDO สักหน่อย 55+
จากนั้นรู้ว่าตัวเองต้องทำอีกมากแค่ไหนกว่าจะได้มีโอกาสไปโมโกจู กับเค้าสักครั้ง ด้วยร่างกายที่อาจจะยังไม่พร้อมเท่าไหร่ และ ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า connection เห็นผลเพราะว่า เรามันตัวคนเดียว รักการท่องเที่ยวแบบหาเพื่อนเอาดาบหน้าเสมอ จึงได้มีโอกาสไปเที่ยวกับทัวร์หนึ่งบ่อย ๆ ก็เริ่มได้เพื่อนใหม่เพิ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ นะ ทั้งทริปไปง่าย ๆ ทริปยาก ๆ ทริปด่วน ๆ หลายๆ ทริป
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
จนมาถึงวันที่รอคอย 14 ก.พ. 2016 โมโกจู หินเรือใบที่รอคอยมาถึง ส่วนมันเป็นอย่างไร มายังไง ตามต่อครับ
หลังจากปรับร่างตัวเองแล้วก็เร่งหาวิธีการที่จะไปอยู่ตลอดเวลา แต่ด้วยการจองระดับ ซูปเปอร์ไฮสปีด 4 วิเต็มในทุก ๆ ปี ทำให้ความหวังเริ่มริบหรี่ และ หลังจากได้พูดคุยกับเพื่อนใหม่หลาย ๆ คนที่ไปมาแล้วและไม่ได้ไปต่างก็บอกว่า น่าจะไม่มีหวัง .... เราก็คิดเช่นนั้น
"คอนเน็คชั่น"
และแล้ว ความหวังที่หวังก็ไว้ อยู่ดีดีมันก็วิ่งมา เมื่อเพื่อนใหม่ท่านหนึ่งในกลุ่มที่เราเคยไปโรยตัว และ พบกันอีกครั้งที่เขาเย็น ตั้งกรุ๊ป โมโกจู ขึ้นในเฟสบุ๊ค ว่าจองได้ เราจึงได้มีโอกาสไปลงชื่อสำรองเอาไว้ด้วยคำว่า "รอเสียบ !!!!"
ก็แอบหวังเล็ก ๆ นะว่าจะได้ไป แต่ก็ผ่านไปพักใหญ่มีการประกาศรายชื่อตัวจริง 12 ท่านที่คอนเฟิร์มว่าไปเรียบร้อยแล้ว ก็ได้แค่คอยติดตาม จนวันนึง ไลน์เด้ง ผู้ให้ความหวังท่านนั้นไลน์มาว่า มีพื้นที่ว่าง ไปไหม ?? ไม่คิดฮะ ตอบทันทีเลยว่า "ไป" เค้าถามย้ำว่า ไปศึกษาก่อนไหม เช่น ต้องแบกของกองกลางนะ ต้องเตรียมนู้นนี่นั่นนะ ไม่ตอบเลยคะ ส่งบัตรประชาชน และยืนยันว่าไป ทันทีไม่มีข้อแม้
จากนั้น............... เหลือเวลาเตรียมตัวอีกแค่ ไม่ถึงสองสัปดาห์ ต้องวางแผนแล้วว่าต้องเอาไงมั่ง เพราะวันที่จะไปคือวันที่ 13-16 กุมภาพันธ์ 2559
"หัวใจ"
หลังจากเหลือเวลาแค่ไม่ถึงสองสัปดาห์ในการเตรียมตัว จึงต้องรักษาเนื้อรักษาตัวให้ดี ห้ามป่วย ห้ามตาย เพราะนี่คือโอกาสที่รอคอยมานานมากกก
เริ่มจากหัวใจที่กล้าแกร่ง เดินไปหาหัวหน้างาน ที่ขอลาพักร้อน เป็นคนแรกของบริษัทเลยนะคะ หึหึ (สำเร็จไปหนึ่งอย่าง)
หัวใจที่ต้องพร้อม ด้วยการเดินหน้าออกกำลังกายด้วยการวิ่ง แต่แบบถนอมแรง เพื่อไม่ให้ขาเป็นอะไรไปก่อนจะถึงวันเดินจริง
หัวใจที่พร้อมจะเปิดรับกับการได้รู้จักเพื่อใหม่ประสบการณ์ใหม่
หลังจากใช้หัวใจไปแล้วตามข้างบน ทั้งหมดเก็บทดไว้ เพื่อใช้ในวันจริง
ไอเท็มลับ
หลังจากที่ไปส่องรีวิวเพื่อน ๆ ท่านอื่นก็พบว่า ความเด็ดดวงมันอยู่ที่ภาพบนก้อนหินเรือใบก้อนนั้น ที่เราจะได้กลับมา ซึ่งมานั่งคิดว่ามันจะออกมาเป็นอย่างไร ถ้าเป็นเรา เราคงทำท่าทางไรมากไม่ได้ ก็คนมันไม่ค่อยมีท่ายากนินา .... งั้นก็ต้องอุปกรณ์ ซึ่งก็เห็นเค้ามีธงชาติ ไว้ให้ถือ ซึ่งทุกคนก็ถือกันหมด .... จะให้ไปพรีเว้ดดิ้งบนนั้น จะบร้าเหร๋อ ... ยากพอๆ กับการหาตั๋วไปโมโกจูเล้ยยย... งั้นก็ลอกคนอื่นล่ะกัน แต่ขอเป็นแบบของตัวเอง สั่งทำ ธงส่วนตัวคะ เป็นธงขอบริษัทเราเอง จากนั้นก็มาฝึกท่าโพสต์ ซึ่งขึ้นไปเดาเอาว่า ก็ต้องต่อคิวขึ้นไปบนหิน จะมาแอคเยอะก็ไม่ได้ เกรงใจเพื่อน เลยฝึกไป 5 แอค ง่าย ๆ ที่เน้น ว่า ธงต้องมา ท่าต้องเป็นตัว เอส. อวดทรวดทรงที่อุตส่าห์ลดความอ้วนมาได้
งั้นพร้อมแล้ว เดินทางเลยครับท่านผู้ชม
เรารวมกลุ่มกันที่ บิ๊กซีสะพานควาย และออกเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนบุคคลจำนวน 2 คัน เพื่อไปเจอกับทีมงานปลายทางอีก 1 คัน รวมเป็น 3 คัน คันละ 4 คน ไปถึงอุทยานแม่วงก์ราว ๆ ตีสาม เรานอกพักผ่อน ท่ามกลางอากาศเย็นราว ๆ 10 องศาในช่วงเช้าวันที่ 13 ก.พ. เราเลือกนอนในรถเพราะขี้เกียจรื้ออุปกรณ์การนอนออกมาจากเป้
ตื่นเช้ามาพร้อม เตรียมตัวเพื่อออกเดินทาง แต่กว่าจะออกก็ปาไป 10 โมงเช้า สำหรับน้ำหนักเป้ส่วนตัว ข้าวสาร อาหารแห้ง และอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ทั้ง 12 คนช่วยกันรับผิดชอบ ซึ่งเราผลักภาระให้ลูกหาบซึ่งหาได้เพียง 1 คน (20โล) ที่เหลือก็แบ่งกัน เราได้ส่วนแบ่งมาเกือบ 12 กิโล สูงสุดที่หัวหน้าทีมได้ไปถึง 26 กก. เราถือว่าน้อยไปเลย แต่ก็พยายามแบ่งเท่ากันนะ แต่ที่เราเบาเพราะว่าอุปกรณ์ส่วนตัวเราน้อย 555 เน้น ใช้แล้ว ใช้ซ้ำ นำกลับมาใช้ใหม่ หึหึ
ในการเดินทางครั้งนี้มีอยู่ด้วยกัน 2กลุ่ม คือกลุ่มเรา เลือกใช้เวลา 4 วัน 3 คืน และอีกกลุ่มใช้เวลา 5 วัน 4 คืน
เมื่อเวลาดีๆ มาถึงก็เริ่มออกเดินทางกันเลย ทางช่วงแรก 16 กม. เส้นทางประมาณนี้ จุดไคลแม็กซ์อยู่ตรง มอขี้แตก คือ เนินขึ้น ระยะยาวววววววววว ที่พ้นมาได้ก็แทบ ขี้แตก
ทริปนี้ไม่เหมือนหลาย ๆ ทริปที่เคยผ่านมาสักเท่าไหร่ เพราะอะไรน่ะเหร๋อ
คืนนั้นเรามานอนกันที่แคมป์แม่เรวา ซึ่งใกล้แหล่งน้ำ เพื่อพักผ่อนกันให้เต็มที่ ก่อนจะถึงจุดที่ต้องไต่ระห่ำ กับระยะทาง 8 ก.ม. ที่ไม่ต้องพูดถึงคำว่าทางลาบ น้ำตกส้มตำเลย #ก็ว่าไป
ตื่นเช้ามาเติมพลังกันด้วย ข้าวหมูแดง หูยยยย ตาหย่อยมาก ๆ เลย
พร้อมแล้วรออะไร เริ่มเดินเลย ....
เห้ย.... มันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่.. 8 กิโลจริงดิ๊ ไม่จริงม้างงงง ทำไมเดินเท่าไหร่ก็ไม่ถึงสักทีอ่ะ ไหน ๆ ๆ เนิ่นแล้วเนินเล่า ไหน ๆ ๆ คลอง หนึ่ง จุดพักแรกของเราอยู่ไหน ... มันห่างไกลเหลือเกิน จากเดินเป็นกลุ่มเป็นก้อน เริ่มจากกระจายตามกำลังแรงขาของแต่ละคน เราเป็นคน มีจังหวะเป็นของตัวเอง 55+ เลยต้องเดินคนเดียว เพราะเวลาเดินกับคนอื่นมันจะกดดัน ไม่มีสมาธิ อาจทำให้หัวใจที่เตรียมมา ไม่ได้ใช้งานอย่างเต็มที่
เดินคนเดียวมันดีนะ ได้คิดไรเยอะแยะ มีสมาธิ มุ่งมั่นกับการเดิน อยากหยุดก็หยุด อยากไปต่อก็ไป แค่หวังไว้ในใจว่า ระยะเวลาเป็นปีที่สะสมกล้ามเนื้อหัวใจมาขนาดนี้ จะไม่ทำให้เราเป็นตัวถ่วงของทีม ก็พอ
และแล้วก็มาถึงคลองหนึ่ง เจอเพื่อกลุ่มเดียวกันที่ล่วงหน้ามาก่อน บอกเลยว่า กลุ่มการเดินของ 12 คนรอบนี้จะแบ่งเป็นแบบนี้
2 คนแรก ประกอบด้วย นักกีฬาวิ่งเทรล และ นักปั่นจักรยานข้ามโลก ซึ่งเป็นแนวหน้าขาแรง มักจะนำเราไปไม่ต่อกว่า 40 นาทีเสมอ
7 คนถัดมา ประกอบด้วย หนุ่ม สาว ๆ กลุ่มเพื่อนสนิมขาลุย สายแข็ง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือหัวหน้าทีมของพวกเรา
1 คนถัดผม ประกอบด้วย เราเอง อินดี้ ไม่มีคู่เดิน (เน้นสานสัมพันธ์กับกลุ่มอื่น พูดคุยกับ เจ้าหน้าที่ ต้นไม้ใบหญ้า ก้อนหิน ขี้เก้งกวาง ขี้เสือเป็นเพื่อนสนิท)
2 คนสุดท้าย ประกอบด้วย พี่สาวและพี่ชาย ที่นับถือเลยว่า จิตใจแข็งแกร่งมาก
จากจุดนี้ เค้าว่ากันว่า เหลือระยะทางเพียง 500 เมตร เพื่อไปยัง คลอง 2 ไม่ไกลแล้ว แต่ เดินชันกว่า ห๊ะ โอ้ววว... เอาที่สบายใจเลยฮะ
และแล้วก็มาถึง คลองสอง แบบ เกือบหมด เกือบหมดจริง ๆ แรงเริ่มจะไม่ค่อยมีแล้ว ระหว่างพักที่คลองสองก็เจอกับเพื่อนกลุ่ม 7 คนก่อนหน้านี้ สั่งเสียไว้ว่า พักเสร็จแล้ว ให้หิ้วน้ำขึ้นไปด้วย เพื่อเป็นสเบียงให้พวกเราใช้ 1 คืน โดย ณ จุดคลองสอง จะมีขวดเปล่า วางไว้ให้จำนวนมาก เลือกหยิบมากรอกน้ำและหิ้วขึ้นไปได้เลย
ที่จริงสามารถตั้งแคมป์ที่บริเวณคลอง 2 นี้ได้ แต่ต้องเดินไกลพอสมควรกว่าจะไปถึงยอดโมโกจู หัวหน้าทีมเราเลือกจะเดินขึ้นไปอีกแคมป์ ไม่มีน้ำ แต่ใกล้ยอดมากกว่า ว่าไงว่ากัน จัดเลย .... เรารับผิดชอบน้ำ 2 ขวด 1.5 ลิตร ร้อยไว้ด้วยหูเชือกรองเท้าผ้าใบ ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่ยอดเยี่ยมมาก ณ เวลานั้น ใครทำไว้ ขอเสียงปรบมือให้เลยฮะ ปัญหาคือ มันชันอีกแล้ว.... โอ้ยยยยยยยยยยยยยยยยย จะชันไปไหนฟร่ะ คะ ท่านผู้ชม เอ้า ... สู้
ระยะทาง 500 เมตรกับการเดิน ชั่วโมงกว่า เป็นอะไรที่พูดไม่ออกเลย นี่เรายังฟิตร่างกายมาไม่มากพอใช่ไหม ต้องกลับมาพยายามอีก ต้องแข็งแกร่งขึ้นอีก นี่คือสิ่งที่อยู่ในหัวตลอดเวลาที่เดิน มาถึงแคมป์พร้อมได้รับเสียงปรบมือรัวๆ เป็นกำลังใจ ดีใจอ่ะ มาถึงแล้ว หาที่กางเปล และพักหลัง ก่อนเลย
นี่คือที่นอน ณ แคมป์ก่อนถึงยอดดอย
เตรียมพบกันด่านสุดท้าย "ไอเท็มลับ"