ล้างหนี้ 3 ล้านให้ครอบครัว ภายในระยะเวลา 5 ปี CR : Story By พี่ข้างบ้าน

ต้องขอออกตัวก่อนนะคะ ว่าเรื่องราวที่เราจะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องของพี่ข้างบ้านเราเองค่ะ พี่คนนี้เป็นพี่ที่เราสนิทมากที่สุด เพราะรู้จักกันมาตั้งแต่เด็กๆ นับถือกันเป็นพี่น้องเลยก็ว่าได้ค่ะ (เพราะเราเป็นลูกคนเดียว พี่น้องไม่มีค่ะ) เวลาเรามีเรื่องไม่สบายใจไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรื่องส่วนตัว เราก็จะไปปรึกษากับพี่เค้าเนี้ยหล่ะ พี่เค้าก็จะให้คำปรึกษาเราได้ดีมาก เพราะเค้ามีความคิดเป็นผู้ใหญ่และมีทัศนคติในการใช้ชีวิตดีมากๆ เลย เราขอเรียกแทนตัวพี่เค้าว่า พี่บี แล้วกันนะคะ

    พี่บี เป็นผู้หญิงที่รูปร่างหน้าตาค่อนข้างดีเลยค่ะ การศึกษาก็ดี ฐานะทางครอบครัวก็ถือว่ามีอันจะกินเลยก็ว่าได้ค่ะ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุอันใด อยู่ดีๆ พ่อพี่บีก็ป่วยเป็นมะเร็งตับ ระยะที่ 3 ทำให้ไม่สามารถทำงานได้แม่พี่บีกับตัวพี่บีต้องอยู่คอยดูแลพ่อคนที่เป็นเสาหลักของบ้าน แกมาเล่าให้เราฟังว่า เงินทองที่เคยมีก็ค่อยๆ หมดไป เพราะต้องเอาไปรักษาอาการป่วยของพ่อ ส่วนแม่ของพี่บีก็เป็นเพียงแค่แม่บ้านไม่มีอาชีพ แกเล่าให้เราฟังด้วยท่าทางที่เครียดมาก เพราะที่บ้านมีหนี้สินจากค่ารักษาอาการของพ่อพี่เค้า 3 ล้าน ตัวเราเองก็ไม่รู้จะทำยังไง ได้แต่ปลอบพี่เค้าว่าอย่าคิดมากทุกปัญหามีทางออกนะ ตัวพี่บีเองพอเค้าได้ยินเราปลอบ เค้าก็ยิ้มแล้วก็บอกว่า ยังไงพี่ก็จะสู้ คนเราถ้ายังไม่ตายก็ต้องดิ้นรนกันต่อไป จบประโยคนี้ทำให้เรารู้สึกได้เลยว่า พี่เค้าเก่งจัง ขนาดสถานการณ์ที่บ้านกำลังแย่ พี่เค้าก็ยังมีความคิดที่จะสู้ ไม่ถอยเลย หากเป็นเราเราคงทำไม่ได้อย่างพี่เค้าแน่ๆ

    หลังจากวันนั้นเราก็เห็นพี่บีเริ่มออกหางานทำจากที่เคยช่วยงานพ่ออยู่ที่บ้าน (อ่อ เราลืมบอกว่าที่บ้านพี่บีทำเกี่ยวกับพวกซ่อมรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า คือ พอพ่อแกป่วยก็ไม่มีใครทำต่อ ลูกน้องที่เคยช่วยก็ลาออกกันไปหมด เพราะคิดว่าพ่อพี่บีไม่น่ารอดแล้วตัวพี่บีเองเค้าก็ทำพวกนี้ไม่ได้แน่นอนเพราะเป็นผู้หญิงและไม่ได้เรียนทางด้านนี้มา ส่วนงานที่พี่บีพอทำได้ คือ ทำบัญชี ดูแลลูกค้า หาลูกค้าผ่านทางสื่อต่างๆ เพราะพี่บีแกจบการตลาดมาค่ะ ตอนที่เราได้ยินเรื่องนี้ เราโกรธแทนพี่บีมาก คนอะไรแร้งน้ำใจสุดๆ) แต่ก็ยังไม่มีที่ไหนเรียกแกไปทำงานซักที จนกระทั่งวันหนึ่งมีเพื่อนแกชวนแกไปทำงานที่เมืองนอก (อเมริกา) เป็นออแพร์เลี้ยงเด็กอ่ะค่ะ พอดีว่าเพื่อนพี่แกได้สามีอยู่ที่นั้น พี่บีแกรีบตกลงทันที เพราะแกอยากหาเงินมาใช้หนี้ให้ได้เร็วที่สุดค่ะ ตอนที่เราได้ยินเรื่องนี้ เราก็แอบใจหายนิดนึง แต่พี่บีแกบอกว่าไม่ต้องกลัว สมัยนี้ถ้าคิดถึงกันก็ วีดีโอคอล หรือเฟสทาม หากันได้ เราก็ตอบแกไปว่า โอเคเลย สู้ๆ น้า พี่บี ยิ้ม

    แต่เรื่องกลับไม่ได้จบง่ายๆ แค่นั้นซิค่ะ เพราะ 1 อาทิตย์ก่อนที่แกจะไปเมืองนอก พ่อพี่บีเสียค่ะ แม่พี่บีร้องไห้หนักมาก แต่เรากลับเห็นพี่บีแค่น้ำตาคลอยืนปลอบแม่อยู่ฝ่ายเดียว เรานี่นับถือจิตใจแกเลย แกเข้มแข็งมากจริงๆ หากเป็นเรา คงหมดแรงอยู่ตรงนั้นแล้ว แต่พี่บีกลับไม่เป็นแบบนั้น…
    พอเสร็จเรื่องงานศพพ่อแก พี่บีก็รีบเตรียมตัวบินไปเมืองนอกต่อทันที วันที่พี่บีจะไปต่างประเทศ เราก็ไปส่งแกนะคะ เราเห็นแกกอดกับแม่ร้องไห้กันอยู่ 2 คน พอแกล่ำลากับแม่เสร็จแกก็เดินมากอดเราค่ะ บอกให้เราดูแลตัวเองให้ดี แล้วก็ฝากดูแลแม่แกด้วย เราก็บอกแกไปว่า ไม่ต้องเป็นห่วงเราจะดูแลป้าเป็นอย่างดีเลย พี่บีแกก็ยิ้ม พอถึงเวลาที่ต้องจากกันจริงๆ พี่บีเดินลากกระเป๋าเดินทางเข้าเกท เรากับแม่พี่บีก็โบกมือลาพี่บี พี่บีก็หันมาโบกมือลาตอบ แล้วตะโกนบอกว่า เดี๋ยวเจอกันนะแม่ เราด้วย เรากับแม่พี่บียืนส่งพี่บีจนลับสายตาถึงกลับบ้านด้วยกันสองคน
    
    พอกลับมาถึงบ้าน เรารีบไลน์ไปหาพี่บีบอกว่าหากถึงอเมริกาแล้วรีบโทรคอลกลับมาหาด้วยนะ พอพี่บีแกถึงอเมริกาเรียบร้อยแล้วแกก็คอลมาหาเราค่ะ แกบอกว่า ตอนที่เครื่องลง แกตื่นเต้นมาก เพื่อนของแกพร้อมกับสามีมารอรับแกที่ทางออก เรากับพี่บีไลน์คอลคุยกันทุกวันในช่วงแรกที่แกไปค่ะ แกบอกว่าโชคดีของแกที่เพื่อนของและสามีของเพื่อนแกให้ไปอยู่ด้วยเพราะ เขอาอยู่กันแค่ 2 คนแล้วรู้สึกเหงา ลูกก็ยังไม่มี แต่หลังจากนั้นก็ไม่ค่อยได้คุยกันมากนัก เนื่องจากแกต้องทำงานหนักมาก เพราะว่านอกจากเลี้ยงเด็กแล้ว แกก็ออกไปหางานอื่นทำด้วยค่ะ แกเคยเล่าให้เราฟังว่า แกไปทำงานที่ร้านสตาร์บัคส์ ร้านอาหารไทย เอาของเก่าที่เค้าทิ้งแล้ว มาทำใหม่แล้วก็เอามาขายในอีเบย์ พอได้เงินมาแกก็จะเก็บเงินเป็นก้อนใหญ่ๆ แล้วส่งมาให้แม่ที่เมืองไทยเอามาเป็นค่าใช้จ่ายในบ้านและชำระหนี้ที่ติดค้างไว้ เราเคยถามแกว่า ไปอยู่ที่นั่นทำงานหนักมั้ย ? ได้พักผ่อนไปเที่ยวบ้างรึเปล่า ? แกบอกเราว่า งานที่นี่หนักพอสมควร แล้วแกก็ไม่ค่อยได้ไปเที่ยวหรอก เพราะแกต้องทำงานตลอด 7 วัน เราก็เลยบอกแกว่า หากเหนื่อยก็หาเวลาพักบ้างนะพี่บี เป็นห่วง แกก็ตอบเรามาแค่ โอเคจร้า พี่จะลองหาเวลาว่างดูน้า (แต่เรารู้ว่าแกไม่ยอมหยุดพักหรอก เลยได้แต่เป็นห่วงอยู่ห่างๆ)

    หลังจากที่คุยกับแกตอนนั้น เรากับแกก็ห่างกันไปไม่ได้คุยกันนานพอสมควร จนกระทั่งวันนึงแกคอลมาหาเรา ด้วยน้ำเสียงที่ดีใจสุดๆ นั่นก็คือ แกทำงานเก็บเงินปลดหนี้ 3 ล้านให้กับที่บ้านได้แล้ว !!! เรานี่แบบกรี๊ดเสียงดังมาก ผสมร้องไห้ดีใจไปกับแกด้วย อีกใจก็ดีใจที่แกจะได้กลับมาเมืองไทยซักที แต่แกบอกว่าคงยังไม่กลับตอนนี้เพราะว่าจะขออยู่ทำงานเก็บเงินที่นี้ อีกซักก้อนนึง  

    และวันที่เราเฝ้ารอคอยก็มาถึง…วันที่พี่บีจะได้บินกลับมาเมืองไทย เราตื่นเต้นมากถึงมากที่สุด รีบไปรอรับแกพร้อมกับแม่ของแกที่สนามบิน พอแกเดินออกมาจากเกทเท่านั้นหล่ะ เรากับแม่พี่บีเข้าไปกอดแกพร้อมกันเลย มานั่งคิดๆ ดูแล้ว มันคงเป็นภาพที่ตลกไม่ใช่น้อย ที่ผู้หญิง 3 คน ยืนกอดกันร้องไห้กลางสนามบิน ก็ทำไงได้ ผ่านทุกข์ สุข มาด้วยกันนี่ ถึงแม้พี่บีจะไม่ได้เป็นญาติพี่น้องเรา เราก็รักแกเหมือนพี่สาวจริงๆ นะ

    หลังจากที่พี่บีกลับมา นอกเหนือจากแกจะปลดหนี้ให้กับที่บ้านได้แล้ว แกยังมีเงินเก็บติดตัวมาอีก 2 ล้าน เพื่อเอามาลงทุนทำกิจการร้านซักรีดที่บ้าน ซึ่งตอนนี้กิจการซักรีดของแกกำลังไปได้ดีมาก ขยายไปหลายสาขาเลย นี่แกก็มีแพลนหาซื้อที่ดินมาลงทุนทำเป็นตึกให้เค้าเช่าอีกด้วย เพราะอีกไม่นานแกมีแพลนกำลังจะแต่งงานกับแฟนแกค่ะ พี่ผู้ชายที่เป็นแฟนแกก็เป็นคนขยันเหมือนกันกับพี่บีเลย เรามองดูแกสองคนแล้วก็มีความสุขแทนค่ะ ในใจก็พลางคิดว่าขอให้พี่บีแกมีความสุขแบบนี้ตลอดไป เพราะแกเหนื่อยมามากแล้ว ควรได้พักบ้าง ยิ้ม

    สุดท้าย…เราบอกพี่บีไปว่า เราขอเอาเรื่องราวชีวิตของพี่บีไปแชร์ให้คนอื่นฟังนะ เพราะเราคิดว่ามันน่าจะมีประโยชน์กับคนอื่นๆ ที่เค้ากำลังทุกข์ใจเพราะหนี้สินหาทางออกไม่เจอ หากเค้าบังเอิญเข้ามาอ่านเรื่องราวชีวิตของพี่บีเค้าจะได้มีกำลังใจในการต่อสู้ชีวิต ไม่ย่อท้อต่อปัญหาเหมือนที่พี่บีทำ พี่บีบอกว่า ได้สิ แชร์ได้เลย แต่พี่อยากให้เราใส่คำพูดนี้ของพี่ลงไปด้วย “คนเราหากชีวิตยังไม่สิ้น ก็ต้องดิ้นรนกันต่อไป” (ใส่ให้แล้วนะ พี่บี อิอิ) ท้ายสุด…สำหรับคนที่กำลังประสบปัญหามีหนี้สินติดตัว สู้ๆ กันนะคะ ทุกคน เราเชื่อว่าทุกปัญหามีทางออกค่ะ เรากับพี่บีเอาใจช่วยนะคะ ยิ้ม
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่