[Spoil] เรื่องของ “คนรัก” และ “ความรัก” ในรีวิว The Danish Girl ช่างมัน ฉันไม่แคร์ แม้โลกไม่สวย แต่ฉันจะสวย

ข้อควรรู้ก่อนไปดูภาพยนตร์ The Danish Girl ก็คือ ไอนาร์ เวเนเกอร์/ลิลี่ เอลบี(ซึ่งจริงๆแล้ว ชื่อที่ ไอนาร์ เปลี่ยนคือ Lili Ilse Elvenes ไม่ใช่ Lili Elbe นะ แต่คนจะรู้จักเธอในชื่อหลังมากกว่า) และเกอร์ด้า เวเนเกอร์ ทั้งสองสามีภรรยาเป็นบุคคลที่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์

ทว่า ถึงแม้ว่า การตลาดของหนังเรื่องเน้นโปรโมตว่า สร้างจากเรื่องจริง(true story) สร้างจาก true love story แต่อันที่จริง ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างมาจาก “หนังสือนิยาย” ชื่อเดียวกันที่ได้แรงบันดาลใจ(เพียง)บางส่วนมาจากชีวิตของสองจิตรกรเดนมาร์ก คือ ไอนาร์ เวเนเกอร์/ลิลี่ เอลบี และเกอร์ด้า เวเนเกอร์ โดยหนังสือดังกล่าวแต่งโดย David Ebershoff โดยผู้แต่งไม่ได้พยายามบอกเล่า “เรื่องจริง” ฉะนั้น เนื้อเรื่องส่วนใหญ่ในหนังสือ(จนถึง “ภาพยนตร์เรื่องนี้” ที่สร้างตามหนังสืออีกที)จึงเป็นเพียงเรื่องแต่ง และตัวละครหลายตัวก็ไม่มีตัวตนอยู่จริงนะคะ

The Danish Girl เป็นผลงานกำกับของทอม ฮูเปอร์ ผู้กำกับที่เคยพีคสุดใน The King’s Speech แอบเป๋ไปบ้างกับ Les Miserables แล้วก็กลับมาเข้ารูปเข้ารอยในที่สุดในผลงานเรื่องล่าสุด The Danish Girl แต่ผลงานเรื่องนี้ก็ไม่ได้ถึงขั้นดีเลิศเลอตราตรึงหัวใจมากนัก ทั้งที่วัตถุดิบที่มีน่าจะสามารถทำให้หนังไปถึงจุดนั้นได้ ทั้งเนื้อเรื่อง ตัวละคร โลเกชั่น ดังนั้น จึงให้คะแนนอยู่ที่ B ละกัน

ในขณะที่ในเรื่องการเดิน ถ้าเป็นผลงานเรื่อง The King’s Speech จะเดินเรื่องแบบไม่ช้าไม่เร็วไปเรื่อยๆ ก่อนถึงไคลแม๊กซ์ตอนท้ายเรื่องที่ทำให้คนดูลุ้นตัวโก่งว่า พระเจ้าจอร์จที่หกจะสามารถเอาชนะอุปสรรคได้สำเร็จหรือไม่ นับว่าเป็นการค่อยๆเพิ่มระดับความเข้มข้นของเรื่องราวไปเรื่อยๆจนถึงตอนจบ แต่เรื่องของการเดินเรื่องคือปัญหาสำคัญที่ทำให้ The Danish Girl ไปได้ไม่สุด คือ เป็นหนังดีนะแต่ไม่ได้ดีตราตรึงใจขนาดนั้น เพราะหนังเดินเรื่องเร็วในช่วงต้น ไปอืดอาดตอนกลาง ก่อนจะรีบจบแบบรวบรัดในตอนท้าย

งานกำกับภาพในเรื่องนี้ก็ดูละมุนละไมเหมือนภาพวาด คงเพราะหนังสร้างจากเรื่องจริงของจิตรกร จึงพยายามทำงานภาพให้ได้ความรู้สึกไปในแบบนั้น ดันติดที่ว่า งานภาพที่ว่าละมุนละไมและนุ่มนวล แต่มันไม่ถึงกับสุดยอด ซึ่งน่าเสียดายเพราะโทนหนังก็ปูมาเป็นแนวละมุนละไมอยู่แล้ว

อีกทั้งยังมีบรรยากาศความรักและการเสียสละเพื่อคนรักอบอวลอยู่ตลอดเรื่อง ไปจนถึงภาพของบ้านเมืองสมัยก่อน ทั้งในตัวเมืองที่มีสถาปัตยกรรมตึกสวยๆ หรือแถบนอกเมืองที่มีภาพวิวทิวทัศน์แบบชนบทของยุโรปอีกด้วย โดยฉากที่จับภาพได้สวยจริงๆแบบขับเน้นความรู้สึกประทับใจของคนดูได้ กลับมีอยู่แค่ไม่กี่ฉาก อย่างฉากตอนเกอร์ด้าบอกลาไอนาร์ก่อนขึ้นรถไฟ และฉากจบที่ผ้าพันคอ “โบยบิน”

ทว่า อย่างฉากตอนไอนาร์ตาย ก็ไม่ได้ชวนเศร้าหรือสะเทือนใจอะไรมากมาย หรือถ้าเป็นพวกฉากตึกรามบ้านช่องของเดนมาร์กที่มีตัดภาพให้เห็นเรื่อยๆ อันนั้นแค่ทำให้รู้สึกว่า อยากไปเที่ยวยุโรปจัง ก็แค่นั้น

ในส่วนของเนื้อเรื่องก็เป็นอีกหนึ่งปัญหาสำคัญไม่ต่างจากในแง่การเดินเรื่อง เพราะเหมือนบทหนังตัดสินใจไม่ได้ว่า จะเน้นอะไรดีระหว่าง.....

-    ความสัมพันธ์ระหว่างไอนาร์ เวเนเกอร์(ภาพมายาคติที่แสดงให้สังคมเห็น) กับ ลิลี่ เอลบี (ตัวตนจริงๆที่เก็บกดเอาไว้เพื่อปกปิดจากสังคม) แสดงโดย Eddie Redmayne ทั้งคู่

-    ความสัมพันธ์ระหว่างเกอร์ด้า เวเนเกอร์(ภรรยาที่พบว่าสามีมีหัวใจเป็นหญิง แสดงโดย Alicia Vikander) กับไอนาร์ เวเนเกอร์(สามีจิตรกรแสนดีที่ทั้งอบอุ่น อ่อนโยน และประสบความสำเร็จ)

-    ความสัมพันธ์ระหว่างเกอร์ด้า เวเนเกอร์(ภรรยาที่สับสนและเจ็บปวด) กับ ลิลี่ เอลบี (ตัวตนที่แอบเก็บซ่อนไว้ในร่างกายของสามีอันเป็นที่รัก)

ซึ่งปัญหาประการหลังนี้ทำให้ตัวหนังเหมือนหลงทาง คือแบบไปไม่ถูกและไปได้ไม่สุดสักทาง เนื่องจากบทหนังพยายามยัดเยียดเข้ามาทุกความสัมพันธ์แบบผสมปนเปกันไปหมด แต่กลับไม่เลือกที่จะตัดสินใจลงไปเจาะลึกอย่างจริงจังซักอย่างซักอันนึง


ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นแนวชีวประวัติดราม่าโรแมนติค อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่มองในแง่หนังชีวประวัติดราม่า แต่มองแค่ในแง่ความโรแมนติค คือมองเฉพาะส่วนที่เป็นหนังรัก เรื่องนี้ก็มีแง่มุมชวนซาบซึ้งกินใจอยู่เหมือนกันนะ

โดยเฉพาะโดยส่วนตัวแล้ว ทั้งขณะดูและพอดูจนจบก็สังเกตเห็นว่า หนังได้ตั้งคำถามสำคัญกับคนดูว่า “เมื่อคนที่คุณรักเปลี่ยนไป ความรักของคุณจะเปลี่ยนแปลงด้วยหรือเปล่า” และ “คุณจะไปได้ไกลแค่ไหนเพื่อคนที่คุณรัก”

เพราะอย่างกรณีของเกอร์ด้า ในท้ายที่สุด เธอก็ไปได้ไกลถึงขั้นยอมรับสิ่งที่คนรักเป็นได้ โดยที่ความรักที่เธอมีต่อคนรักก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม และเธอเองก็ยังสนับสนุนให้คนรักได้เป็นในสิ่งที่อยากเป็น แม้นั้นจะหมายความว่า ตัวเธอเองต้องเสียสละความสุขส่วนตัวไปก็ตาม.....

อันที่จริง บทบาทของ Alicia Vikander โดดเด่นตีคู่ไปกับ  Eddie Redmayne เลยนะ ทั้งในแง่ screen time และความสำคัญของตัวละครต่อเนื้อเรื่อง แต่แปลกใจว่า ทำไมเธอถึงถูกมองในแง่ว่าเป็นเพียงตัวละครสมทบ (เธอได้ชิงสมทบหญิงยอดเยี่ยมของออสการ์ปีนี้ค่ะ)

อีกทั้งถ้าสังเกตดีๆ ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ตัวละครเพียงตัวเดียวที่ถูกพูดถึงด้วยคำว่า Danish Girl จนทำให้ตอนที่ได้ยิน ก็อดไม่ได้ที่จะต้องนึกถึงชื่อภาพยนตร์เอง ตัวละครดังกล่าวก็คือ เกอร์ด้าที่แสดงโดย Alicia Vikander นะ โดยเธอถูกพูดถึงด้วยคำดังกล่าวในฉากที่เธอเดินทางไปขอพบเพื่อนในวัยเด็กของไอนาร์ที่ชื่อ ฮานส์ ค่ะ ซึ่งจากฉากดังกล่าวจึงทำให้โดยส่วนตัวอดไม่ได้ที่จะคิดว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้ แท้จริงแล้วว่าด้วยเรื่องราวของเกอร์ด้าต่างหากค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่