สวัสดีค่ะเพื่อนๆ ทุกคน
ตอนนี้ผ่านพ้นเทศกาลตรุษจีนมาแล้ว เทศกาลตรุษจีนคนจีนเรียกว่า ชุนเจี๋ย (春节) ที่แปลว่าเทศกาลฤดูใบไม้ผลิคือการขึ้นปีเพาะปลูกใหม่ ประเทศจีนเป็นประเทศเกษตรกรรม แล้วยังมีอากาศหนาวเย็น ฤดูใบไม้ผลิจึงเป็นฤดูกาลแห่งความหวัง ความงอกงาม วันตรุษจีนหรือวันขึ้นปีใหม่ของจีนจึงถือเป็นวันแรกที่ก้าวผ่านพ้นฤดูหนาว (ตงเทียน) ย่างสู่ฤดูใบไม้ผลิ (ชุนเทียน) ถือเป็นวันเริ่มต้นสิ่งดีๆ
และนี่ก็กำลังเข้าสู่เทศกาลวันแห่งความรัก เลยอยากจะเชิญชวนเพิ่อนๆ มามอบดอกไม้สวยๆ แก่กัน ซึ่งความจริงเราก็ควรทำให้ทุกวันเป็นวันแห่งความรักอยู่แล้ว ทั้งรักตัวเอง รักครอบครัว ไปจนถึงรักเพื่อนมนุษย์และสัตว์ร่วมโลก ใครมีภาพดอกไม้อะไรมาแบ่งปันกันได้เต็มที่นะคะ
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูลและภาพประกอบทั้งหลายตามที่อ้างอิงไว้ ขอบคุณ WM และขอบคุณเพื่อนๆ ทุกท่านที่เข้ามาอ่าน ไม่ว่าจะแสดงตัวหรือไม่ ขอบคุณทุกๆ กำลังใจ ทุกๆ ความคิดเห็น
โชคดีที่โลกนี้มีดอกไม้
ดอกไม้ เป็นสิ่งที่มีประโยชน์มากมายนับไม่หวาดไม่ไหว ตั้งแต่ช่วยให้ดึงดูดแมลงเพื่อให้พืชสืบพันธุ์ต่อไปได้ ช่วยคลุมดิน รักษาความชุ่มชื้นและอุณหภูมิของดิน ใช้เป็นอาหาร ยารักษาโรค ให้สีสัน กลิ่นหอม สร้างความสดชื่น ฟื้นฟูสภาพจิตใจ ฯลฯ พูดถึงดอกไม้เรามักนึกถึงสิ่งดีๆ เช่น ความอ่อนโยนสดใสของผู้หญิง คำพูดจาที่น่าฟัง การมอบเพื่อสื่อความหมายในทางบวกทั้งให้ความรัก กำลังใจ ความปรารถนาดี การแสดงความยินดี การอวยพร ฯลฯ

(ขอบคุณภาพสวยๆ จากคุณเพชรน้ำนิล)
นอกจากนี้ในระดับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศยังมีการใช้ดอกไม้เป็น
ทูตไมตรีสร้างมิตรภาพระหว่างประเทศ เช่น ประเทศเนเธอร์แลนด์มีดอกทิวลิปเป็นดอกไม้ประจำชาติ เมื่อค้นพบสายพันธุ์ใหม่นอกจากจะตั้งชื่อตามผู้ค้นพบหรือบุคคลสำคัญแล้ว เนเธอร์แลนด์ยังมีการเชิญภริยาของประมุขต่างประเทศที่ไปเยือนตั้งชื่อให้ดอกทิวลิป เป็นการสร้างความประทับใจให้สตรีหมายเลขหนึ่งของประเทศนั้นๆ อีกด้วย (ลึกซึ้งจริงๆ เอาใจภริยาผู้นำประเทศ เห็นไหม ผู้หญิงมีความสำคัญนะ) เช่น ปี 2014 นางเผิง ลี่หยวน ภริยาของประธานาธิบดีจีน สี จิ้นผิง ซึ่งอยู่ระหว่างการเยือนเนเธอร์แลนด์ตั้งชื่อให้ดอกทิวลิปพันธุ์ใหม่ ว่า "กั๋วไท่" แปลว่าบ้านเมืองสงบสุข อีกทั้งรินแชมเปญบนดอกทิวลิป
ทำไมดอกไม้จึงเปลี่ยนโลก? เมื่อถามว่าอะไรสำคัญที่สุดสำหรับโลกและสังคมของเรา ติสตูตอบว่า "สวนพฤกษชาติ"
ติสตูเป็นใคร ? ที่จริงแล้วติสตูเป็นเด็กน้อยตัวเอกในวรรณกรรมเรื่องเยี่ยมของฝรั่งเศส “ติสตูนักปลูกต้นไม้” (Tistou de l’Académie française) แต่งโดย โมรีส ดรูอง ได้รับยกย่องให้เป็น 1 ใน 50 หนังสือน่าอ่านก่อนโต (แต่ถึงโตแล้วก็อ่านได้นะ ถ้ามีโอกาส) หลายๆ คนต้องเคยอ่านวรรณกรรมเรื่องนี้แน่ๆ หนังสือเล่มนี้ว่ากันว่าใช้เป็นแนวทางให้กับลูกหลาน แม้กระทั่งเป็นแนวทางให้กับผู้นำ ทางการเมือง และการทหาร ได้เป็นอย่างดี
ผู้เขียนเรื่องนี้มีแนวคิดว่า เด็กทุกคนมีความฝัน และกระตือรือร้นที่จะสร้างประโยชน์ พวกเขาเฝ้ารอคอยที่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่เพื่อกระทำสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆ แต่เมื่อเขาโตขึ้น ส่วนใหญ่มักลืมสิ่งที่อยากจะทำ หรือไม่ก็เลิกล้มความตั้งใจนั้นเสีย ฉะนั้นจึงไม่มีอะไรเกิดขึ้น มีเพียงผู้ใหญ่เพิ่มขึ้นอีกคนบนโลกนี้เท่านั้นเอง โดยปราศจากสิ่งมหัศจรรย์ แต่ติสตูโชคดี เขาทำการใหญ่ได้ทั้งๆ ที่ยังเป็นเด็ก และเขาทำได้โดยใช้ดอกไม้ซึ่งเหมือนกับเด็กอย่างยิ่ง คือให้ทั้งคำมั่น สัญญาและความหวัง
เรื่องมีอยู่ว่ามีครอบครัวมหาเศรษฐีที่เพียบพร้อมทั้งชื่อเสียง ทรัพย์สมบัติ บริวารคนรับใช้ และยังมีบุตรชายตัวเล็กๆ น่ารักน่าเอ็นดู ชื่อว่า ‘ติสตู’ แต่ติสตูกลับเป็นเด็กที่ผู้ใหญ่เห็นว่า ‘แปลก’ และมีปัญหาด้านการศึกษา เพียงเพราะติสตูมองโลกในมุมที่ต่างจากผู้ใหญ่ เมื่อไปโรงเรียน เสียงพร่ำสอนของครูประหนึ่งเสียงร้องเพลงกล่อมเด็กอันไพเราะ ห้องเรียนก็เปรียบเหมือนห้องนอนอันแสนสบาย ติสตูจึงหลับใหลอย่างเป็นสุข (คุ้นๆ จัง ใครที่วัยเด็กเป็นแบบนี้บ้างนะ) แต่ครูไม่สุขด้วยแน่ๆ เขาแจ้งผู้ปกครองทันใดว่าเด็กคนนี้ไม่สามารถร่วมเรียนกับเพื่อนๆ ได้
หากเป็นบางครอบครัวคงลงโทษ ดุด่าติสตู แต่พ่อแม่เขากลับบอกว่าจะใช้ระบบแบบใหม่ ไม่ต้องอาศัยตำรา เพราะชีวิตเราก็คือ โรงเรียนที่ดีที่สุดนั่นเอง (หลักการเหมือนห้องเรียนคนรากหญ้าเลย “เพราะความรู้ไม่ได้อยู่แค่ในตำรา” ได้ทีโฆษณาเลย)
ติสตูเรียนเรื่องสวนกับ "มูสตาช" ที่เป็นคนสวน และค้นพบทันทีว่า หนูน้อยมีพรสวรรค์ในการปลูกต้นไม้ เขาบอกติสตูว่า...
"คุณหนูมีนิ้วหัวแม่มือ สีเขียว...มันคือคุณสมบัติวิเศษ เป็นพรจากสวรรค์โดยแท้...มีเมล็ดพันธุ์อยู่ทุกหนทุกแห่ง ไม่ใช่เพียงในดินเท่านั้น....หากนิ้วหัวแม่มือสีเขียวได้สัมผัสเมล็ดพันธุ์ เหล่านี้เมล็ดเดียว ไม่ว่ามันจะอยู่ที่ใดก็ตาม ดอกไม้จะงอกขึ้นในทันทีทันใด..."
ติสตูหวังให้โลกนี้ดีขึ้นด้วยวิธีสันติ ไม่ใช่ด้วยความรุนแรง อาทิการกักขังนักโทษไว้ในคุกสภาพน่าเกลียดน่ากลัว ติสตูคิดว่าถ้าคุกน่าอยู่กว่านี้ นักโทษย่อมกลับตัวเป็นคนดีได้ง่ายกว่าเดิม เด็กน้อยไม่รอช้าที่เนรมิตจนคุกให้เต็มไปดอกไม้ที่งดงาม
ติสตูค้นพบความลับอีกว่า "คนเราจะหายป่วย ก็ต่อเมื่อเราอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไป..." เขาจึงปลูกดอกไม้ขึ้นมากมายในห้องของเด็กหญิงที่ป่วยหนัก เธอเฝ้าชมดอกไม้ด้วยความหวังและเริ่มเคลื่อนไหวได้ในที่สุด แทนที่จะเฝ้ามองแต่เพดานและผนังอย่างสิ้นหวัง
ติสตูเชื่อว่าดอกไม้สามารถสกัดกั้นความชั่วร้ายได้ เขาจัดระเบียบเมืองโดยปลูกดอกไม้ซะจนสลัมโกโรโกโสก็กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นมา และสร้างรายได้ให้ผู้คน
ติสตูมีความสุขกับการสร้างสิ่งดีๆ เปลี่ยนแปลงโลกใกล้ตัว แม้กระทั่งปัญหาใหญ่สุดนั่นคือ กำลังจะเกิดสงครามโดยอาวุธมาจากโรงงานของคุณพ่อของเขา ติสตูตัดสินใจทำให้ปืนใหญ่ที่ยิงออกไปกลายเป็นดอกไม้ ถึงแม้จะทำให้โรงงาน คนงาน พ่อ และครอบครัว ต้องเดือดร้อน แต่แล้วผู้ใหญ่ก็คิดได้และเรียนรู้ว่าเราไม่สามารถต่อต้านพลังของธรรมชาติได้
บทสรุป
ติสตูเป็นตัวแทนความอ่อนโยน ความหวัง การมองโลกในแง่ดี การมองโลกในมุมที่ต่างออกไป การลงมือทำทันทีตั้งแต่วัยเด็กไม่ต้องรอให้เป็นผู้ใหญ่
ท่ามกลางโลกที่สับสนวุ่นวาย แก่งแย่ง ชิงดีชิงเด่น ผู้ใหญ่มักแก้ปัญหาด้วยวิธีก้าวร้าว รุนแรง แย่งชิง หวังเอาชนะโดยไม่คิดถึงผลร้ายที่จะเกิดตามมา แต่เด็กน้อยเลือกใช้วิธีปลูกต้นไม้ สร้างความสดชื่น สร้างกำลังใจ ในขณะที่ผู้ใหญ่มองว่าเป็นเรื่องไร้สาระ เป็นสิ่งไม่มีประโยชน์ แต่หากบริหารจัดการดีๆ มันกลับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ผู้ใหญ่ที่ไร้จินตนาการและขาดจิตใจที่อ่อนโยนไม่มีทางมองเห็น หากผู้ใหญ่มีหัวใจที่เหมือนเด็กน้อยติสตู อย่างน้อยโลกนี้ก็ไม่มีสงครามและน่าอยู่ขึ้นมาก
ในโลกแห่งความจริง ไม่มีใครมีนิ้วหัวแม่โป้งที่มหัศจรรย์เหมือนติสตู แต่หากทุกคนที่เป็นคนธรรมดา คิดในสิ่งที่ดี ลงมือทำในสิ่งที่ดี ด้วยจิตใจที่ดี ก็เท่ากับช่วยกันเปลี่ยนโลกได้
คลังกระทู้เดิม
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้1. **ห้องทดลองรากหญ้า: พลิกปูมประวัตินักวิทยาศาสตร์ชื่อดังของโลกกับแง่มุมด้านการเมือง (ภาคสมบูรณ์)** by ชุนเทียน
http://pantip.com/topic/32521811
2. **ห้องครัวรากหญ้า: เร่เข้ามาๆๆ ชิมของอร่อย ที่มาจากตำนานทางการเมืองกัน ** by ชุนเทียน
http://pantip.com/topic/32546985
3. **ห้องเรียนคนรากหญ้า: เพราะความรู้ไม่ได้อยู่แค่ในตำรา มาดูสิ่งประดิษฐ์ที่มีที่มาจากแวดวงทหารกัน** (ชุนเทียน)
http://pantip.com/topic/32768274
4. **ห้องเรียนคนรากหญ้า: เพราะความรู้ไม่ได้อยู่แค่ในตำรา "แซ่คนจีนในไทย" เพื่อนๆ แซ่อะไรกันบ้าง** (ชุนเทียน)
http://pantip.com/topic/32792171
5. **ห้องเรียนคนรากหญ้า:เพราะความรู้ไม่ได้อยู่แค่ในตำรา "การทดลองของมิลแกรม:การเชื่อฟังผู้มีอำนาจแม้ไม่ถูกต้อง"**(ชุนเทียน) http://pantip.com/topic/32990416
6. **ห้องเรียน คนรากหญ้า: เพราะความรู้ไม่ได้อยู่แค่ในตำรา “ถอดบทเรียนสงครามกรุงทรอย” สิ่งที่ควรเรียนรู้** (ชุนเทียน)
http://pantip.com/topic/33108585
7. **ห้องเรียน คนรากหญ้า: เพราะความรู้ไม่ได้อยู่แค่ในตำรา “ซุนปิง" ยอดนักพิชัยสงครามผู้ไม่เคยยอมแพ้** (ชุนเทียน)
http://pantip.com/topic/33837477
8. **ห้องเรียน คนรากหญ้า: “เท้าดอกบัว” ค่านิยม ความงาม ความเจ็บปวด และการสูญเสียอิสรภาพ** (ชุนเทียน)
http://pantip.com/topic/34235266
ที่มา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
http://thai.cri.cn/247/2014/05/07/121s220838.htm
http://www.taiwisdom.org/bkfch/chldrnltrvw/chldrnltrtr01
http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=maekai&date=23-04-2008&group=12&gblog=16
http://bookmoby.com/shop/recommended/-610
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=inthetime&month=04-03-2011&group=3&gblog=5
มามอบดอกไม้ให้กันเถอะค่ะ
จขกท.จะนำมาสัก 10 ดอก แต่เพื่อนๆ มาร่วมมอบดอกไม้กันได้เลย ไม่ต้องรอให้ครบ 10 เม้นท์ค่ะ จขกท. จะได้ไม่รู้สึกวังเวงและเหงานัก
(แก้ไขคำผิดและตกหล่น)
**ห้องเรียนคนรากหญ้า: “ดอกไม้ เปลี่ยนโลก” เชิญเพื่อนๆ มามอบดอกไม้แก่กันเนื่องในวันแห่งความรัก** (ชุนเทียน)
ตอนนี้ผ่านพ้นเทศกาลตรุษจีนมาแล้ว เทศกาลตรุษจีนคนจีนเรียกว่า ชุนเจี๋ย (春节) ที่แปลว่าเทศกาลฤดูใบไม้ผลิคือการขึ้นปีเพาะปลูกใหม่ ประเทศจีนเป็นประเทศเกษตรกรรม แล้วยังมีอากาศหนาวเย็น ฤดูใบไม้ผลิจึงเป็นฤดูกาลแห่งความหวัง ความงอกงาม วันตรุษจีนหรือวันขึ้นปีใหม่ของจีนจึงถือเป็นวันแรกที่ก้าวผ่านพ้นฤดูหนาว (ตงเทียน) ย่างสู่ฤดูใบไม้ผลิ (ชุนเทียน) ถือเป็นวันเริ่มต้นสิ่งดีๆ
และนี่ก็กำลังเข้าสู่เทศกาลวันแห่งความรัก เลยอยากจะเชิญชวนเพิ่อนๆ มามอบดอกไม้สวยๆ แก่กัน ซึ่งความจริงเราก็ควรทำให้ทุกวันเป็นวันแห่งความรักอยู่แล้ว ทั้งรักตัวเอง รักครอบครัว ไปจนถึงรักเพื่อนมนุษย์และสัตว์ร่วมโลก ใครมีภาพดอกไม้อะไรมาแบ่งปันกันได้เต็มที่นะคะ
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูลและภาพประกอบทั้งหลายตามที่อ้างอิงไว้ ขอบคุณ WM และขอบคุณเพื่อนๆ ทุกท่านที่เข้ามาอ่าน ไม่ว่าจะแสดงตัวหรือไม่ ขอบคุณทุกๆ กำลังใจ ทุกๆ ความคิดเห็น
โชคดีที่โลกนี้มีดอกไม้
ดอกไม้ เป็นสิ่งที่มีประโยชน์มากมายนับไม่หวาดไม่ไหว ตั้งแต่ช่วยให้ดึงดูดแมลงเพื่อให้พืชสืบพันธุ์ต่อไปได้ ช่วยคลุมดิน รักษาความชุ่มชื้นและอุณหภูมิของดิน ใช้เป็นอาหาร ยารักษาโรค ให้สีสัน กลิ่นหอม สร้างความสดชื่น ฟื้นฟูสภาพจิตใจ ฯลฯ พูดถึงดอกไม้เรามักนึกถึงสิ่งดีๆ เช่น ความอ่อนโยนสดใสของผู้หญิง คำพูดจาที่น่าฟัง การมอบเพื่อสื่อความหมายในทางบวกทั้งให้ความรัก กำลังใจ ความปรารถนาดี การแสดงความยินดี การอวยพร ฯลฯ
(ขอบคุณภาพสวยๆ จากคุณเพชรน้ำนิล)
นอกจากนี้ในระดับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศยังมีการใช้ดอกไม้เป็นทูตไมตรีสร้างมิตรภาพระหว่างประเทศ เช่น ประเทศเนเธอร์แลนด์มีดอกทิวลิปเป็นดอกไม้ประจำชาติ เมื่อค้นพบสายพันธุ์ใหม่นอกจากจะตั้งชื่อตามผู้ค้นพบหรือบุคคลสำคัญแล้ว เนเธอร์แลนด์ยังมีการเชิญภริยาของประมุขต่างประเทศที่ไปเยือนตั้งชื่อให้ดอกทิวลิป เป็นการสร้างความประทับใจให้สตรีหมายเลขหนึ่งของประเทศนั้นๆ อีกด้วย (ลึกซึ้งจริงๆ เอาใจภริยาผู้นำประเทศ เห็นไหม ผู้หญิงมีความสำคัญนะ) เช่น ปี 2014 นางเผิง ลี่หยวน ภริยาของประธานาธิบดีจีน สี จิ้นผิง ซึ่งอยู่ระหว่างการเยือนเนเธอร์แลนด์ตั้งชื่อให้ดอกทิวลิปพันธุ์ใหม่ ว่า "กั๋วไท่" แปลว่าบ้านเมืองสงบสุข อีกทั้งรินแชมเปญบนดอกทิวลิป
ทำไมดอกไม้จึงเปลี่ยนโลก? เมื่อถามว่าอะไรสำคัญที่สุดสำหรับโลกและสังคมของเรา ติสตูตอบว่า "สวนพฤกษชาติ"
ติสตูเป็นใคร ? ที่จริงแล้วติสตูเป็นเด็กน้อยตัวเอกในวรรณกรรมเรื่องเยี่ยมของฝรั่งเศส “ติสตูนักปลูกต้นไม้” (Tistou de l’Académie française) แต่งโดย โมรีส ดรูอง ได้รับยกย่องให้เป็น 1 ใน 50 หนังสือน่าอ่านก่อนโต (แต่ถึงโตแล้วก็อ่านได้นะ ถ้ามีโอกาส) หลายๆ คนต้องเคยอ่านวรรณกรรมเรื่องนี้แน่ๆ หนังสือเล่มนี้ว่ากันว่าใช้เป็นแนวทางให้กับลูกหลาน แม้กระทั่งเป็นแนวทางให้กับผู้นำ ทางการเมือง และการทหาร ได้เป็นอย่างดี
ผู้เขียนเรื่องนี้มีแนวคิดว่า เด็กทุกคนมีความฝัน และกระตือรือร้นที่จะสร้างประโยชน์ พวกเขาเฝ้ารอคอยที่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่เพื่อกระทำสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆ แต่เมื่อเขาโตขึ้น ส่วนใหญ่มักลืมสิ่งที่อยากจะทำ หรือไม่ก็เลิกล้มความตั้งใจนั้นเสีย ฉะนั้นจึงไม่มีอะไรเกิดขึ้น มีเพียงผู้ใหญ่เพิ่มขึ้นอีกคนบนโลกนี้เท่านั้นเอง โดยปราศจากสิ่งมหัศจรรย์ แต่ติสตูโชคดี เขาทำการใหญ่ได้ทั้งๆ ที่ยังเป็นเด็ก และเขาทำได้โดยใช้ดอกไม้ซึ่งเหมือนกับเด็กอย่างยิ่ง คือให้ทั้งคำมั่น สัญญาและความหวัง
เรื่องมีอยู่ว่ามีครอบครัวมหาเศรษฐีที่เพียบพร้อมทั้งชื่อเสียง ทรัพย์สมบัติ บริวารคนรับใช้ และยังมีบุตรชายตัวเล็กๆ น่ารักน่าเอ็นดู ชื่อว่า ‘ติสตู’ แต่ติสตูกลับเป็นเด็กที่ผู้ใหญ่เห็นว่า ‘แปลก’ และมีปัญหาด้านการศึกษา เพียงเพราะติสตูมองโลกในมุมที่ต่างจากผู้ใหญ่ เมื่อไปโรงเรียน เสียงพร่ำสอนของครูประหนึ่งเสียงร้องเพลงกล่อมเด็กอันไพเราะ ห้องเรียนก็เปรียบเหมือนห้องนอนอันแสนสบาย ติสตูจึงหลับใหลอย่างเป็นสุข (คุ้นๆ จัง ใครที่วัยเด็กเป็นแบบนี้บ้างนะ) แต่ครูไม่สุขด้วยแน่ๆ เขาแจ้งผู้ปกครองทันใดว่าเด็กคนนี้ไม่สามารถร่วมเรียนกับเพื่อนๆ ได้
หากเป็นบางครอบครัวคงลงโทษ ดุด่าติสตู แต่พ่อแม่เขากลับบอกว่าจะใช้ระบบแบบใหม่ ไม่ต้องอาศัยตำรา เพราะชีวิตเราก็คือ โรงเรียนที่ดีที่สุดนั่นเอง (หลักการเหมือนห้องเรียนคนรากหญ้าเลย “เพราะความรู้ไม่ได้อยู่แค่ในตำรา” ได้ทีโฆษณาเลย)
ติสตูเรียนเรื่องสวนกับ "มูสตาช" ที่เป็นคนสวน และค้นพบทันทีว่า หนูน้อยมีพรสวรรค์ในการปลูกต้นไม้ เขาบอกติสตูว่า...
"คุณหนูมีนิ้วหัวแม่มือ สีเขียว...มันคือคุณสมบัติวิเศษ เป็นพรจากสวรรค์โดยแท้...มีเมล็ดพันธุ์อยู่ทุกหนทุกแห่ง ไม่ใช่เพียงในดินเท่านั้น....หากนิ้วหัวแม่มือสีเขียวได้สัมผัสเมล็ดพันธุ์ เหล่านี้เมล็ดเดียว ไม่ว่ามันจะอยู่ที่ใดก็ตาม ดอกไม้จะงอกขึ้นในทันทีทันใด..."
ติสตูหวังให้โลกนี้ดีขึ้นด้วยวิธีสันติ ไม่ใช่ด้วยความรุนแรง อาทิการกักขังนักโทษไว้ในคุกสภาพน่าเกลียดน่ากลัว ติสตูคิดว่าถ้าคุกน่าอยู่กว่านี้ นักโทษย่อมกลับตัวเป็นคนดีได้ง่ายกว่าเดิม เด็กน้อยไม่รอช้าที่เนรมิตจนคุกให้เต็มไปดอกไม้ที่งดงาม
ติสตูค้นพบความลับอีกว่า "คนเราจะหายป่วย ก็ต่อเมื่อเราอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไป..." เขาจึงปลูกดอกไม้ขึ้นมากมายในห้องของเด็กหญิงที่ป่วยหนัก เธอเฝ้าชมดอกไม้ด้วยความหวังและเริ่มเคลื่อนไหวได้ในที่สุด แทนที่จะเฝ้ามองแต่เพดานและผนังอย่างสิ้นหวัง
ติสตูเชื่อว่าดอกไม้สามารถสกัดกั้นความชั่วร้ายได้ เขาจัดระเบียบเมืองโดยปลูกดอกไม้ซะจนสลัมโกโรโกโสก็กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นมา และสร้างรายได้ให้ผู้คน
ติสตูมีความสุขกับการสร้างสิ่งดีๆ เปลี่ยนแปลงโลกใกล้ตัว แม้กระทั่งปัญหาใหญ่สุดนั่นคือ กำลังจะเกิดสงครามโดยอาวุธมาจากโรงงานของคุณพ่อของเขา ติสตูตัดสินใจทำให้ปืนใหญ่ที่ยิงออกไปกลายเป็นดอกไม้ ถึงแม้จะทำให้โรงงาน คนงาน พ่อ และครอบครัว ต้องเดือดร้อน แต่แล้วผู้ใหญ่ก็คิดได้และเรียนรู้ว่าเราไม่สามารถต่อต้านพลังของธรรมชาติได้
บทสรุป
ติสตูเป็นตัวแทนความอ่อนโยน ความหวัง การมองโลกในแง่ดี การมองโลกในมุมที่ต่างออกไป การลงมือทำทันทีตั้งแต่วัยเด็กไม่ต้องรอให้เป็นผู้ใหญ่
ท่ามกลางโลกที่สับสนวุ่นวาย แก่งแย่ง ชิงดีชิงเด่น ผู้ใหญ่มักแก้ปัญหาด้วยวิธีก้าวร้าว รุนแรง แย่งชิง หวังเอาชนะโดยไม่คิดถึงผลร้ายที่จะเกิดตามมา แต่เด็กน้อยเลือกใช้วิธีปลูกต้นไม้ สร้างความสดชื่น สร้างกำลังใจ ในขณะที่ผู้ใหญ่มองว่าเป็นเรื่องไร้สาระ เป็นสิ่งไม่มีประโยชน์ แต่หากบริหารจัดการดีๆ มันกลับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ผู้ใหญ่ที่ไร้จินตนาการและขาดจิตใจที่อ่อนโยนไม่มีทางมองเห็น หากผู้ใหญ่มีหัวใจที่เหมือนเด็กน้อยติสตู อย่างน้อยโลกนี้ก็ไม่มีสงครามและน่าอยู่ขึ้นมาก
ในโลกแห่งความจริง ไม่มีใครมีนิ้วหัวแม่โป้งที่มหัศจรรย์เหมือนติสตู แต่หากทุกคนที่เป็นคนธรรมดา คิดในสิ่งที่ดี ลงมือทำในสิ่งที่ดี ด้วยจิตใจที่ดี ก็เท่ากับช่วยกันเปลี่ยนโลกได้
คลังกระทู้เดิม
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ที่มา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
มามอบดอกไม้ให้กันเถอะค่ะ
จขกท.จะนำมาสัก 10 ดอก แต่เพื่อนๆ มาร่วมมอบดอกไม้กันได้เลย ไม่ต้องรอให้ครบ 10 เม้นท์ค่ะ จขกท. จะได้ไม่รู้สึกวังเวงและเหงานัก
(แก้ไขคำผิดและตกหล่น)