ต้องการเรียกร้องให้น้องสามีขึ้นเงินเดือนให้สามีเป็น2แสนและรถเบนซ์ประจำตำแหน่งคิดว่าเหมาะสมไหมคะ

เนื่องจากสามีไม่ได้ความยุติธรรมมาตลอดเป็นระยะเวลายาวนาน อยู่ในครอบครัวที่มีพี่น้อง12คน แต่มาทำธุรกิจร่วมกัน7คนสามีเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทและเป็นหุ้นส่วนใหญ่ตอนนี้อายุจะ70ปีแล้ว   ทำงานมาประมาณ 50 กว่าปี  เฉพาะที่บริษัท40 ปี ก่อนเป็นบริษัททำงานให้กงสีที่บ้านไม่ได้เงินเดือนทำมาเรียกว่าน่าจะได้ประมาณ40 อาชีพมังคะ แต่งงานแล้วได้เงินเดือนประมาณ 2 หมื่น ปี2538 สามีทำงานหนักมากเหนื่อยสุดๆทั้งส่วนของเครื่องจักรและส่วนของด้านสูตรอาหาร ดูแลการก่อสร้างโรงงานใหม่ด้วยตัวเองทั้งหมดทุกจุด โรงงานแข็งแรงมาก  เลี้ยงน้องตั้งแต่เล็กๆส่งให้เรียนจบปริญญาตรี แต่ตัวเองจบป.6 โรงเรียนวัด   บริษัทใช้เครื่องจักรใหญ่เราต้องมีหนี้หลายร้อยล้าน สามีต้องติดเครดิตบูโร ซึ่งดิฉันไปสมัครบัตรโลตัสอายมากๆ   ต้องไปศาลไม่ได้หยุด  ถ้าล้มละลายครอบครัวเราลำบากสุด มีลูก2คน   เซ้นกูหนี้เพิ่ม120 ล้านดิฉันภรรยาก็ต้องเซ้นด้วย ถามทนายว่าถ้าอย่าหลอกๆทนายว่าอย่าแล้วก็ไม่มีผลคุณต้องรับใช้หนี้ด้วย ช่วงนั้นกลุ้มใจมากๆ   ย้อนไปโดยประมาณ10ปีปี2549   น้องชายนายเหนียว(ไม่มีลูก)มารับตำแหน่งผจก.รงได้เงินเดือนมากกว่าสามีประมาณ3-4หมื่น   และได้รถบีเอ็มพร้อมเติมน้ำมัน(แต่ให้เมียใช้) ตัวเองมาใช้รถตู้โตโยต้าส่วนกลางของบริษัท    แทบจะยึดใช้เป็นของตัวเองไปแล้ว    ส่วนน้องชายนายจุก(ได้รถกระบะป้ายแดงคันใหญ่สุดของรุ่นอีซูซุพร้อมเติมน้ำมัน)กับน้องสาวนางดำได้เงินเดือนเท่ากับสามี120000 หักภาษีแล้วเหลือ1แสนคะ    (ซึ่งนายจุกกับน.ส.ดำไม่มีเมียและสามี)     ซึ่งดิฉันคิดว่าไม่เหมาะสมน้องชายน้องสาวอายุห่างกว่าสามี10กว่าปีไม่สมควรเงินเดือนเท่ากันหรือมากกว่า  สามีดิฉันต่างหากที่จะต้องเงินเดือนมากกว่า 6 คนประมาณ5หมื่น   เ่ค้าทำงานตั้งแต่พวกน้องๆบางคนเป็นวุ้นยังไม่เกิดด้วยซ้ำ   ควรจะให้ความเคารพและให้เกียรติพี่ที่เป็นผู้นำผู้ก่อตั้งบริษัทนี้มา   ดิฉันสามารถพูดได้เต็มปากเลยว่า ถ้าสามีไม่นำบริษัทนี้มา พี่น้องทุกคนไม่ได้อยู่อย่างสุขสบาย มีกินมีใช้ ใช้ของแบรด์เนมหัวจรดเท้า จัดเลี้ยงกันไม่ได้หยุด ใช้มือไอโฟนกันทุกคน (ยกเว้นครอบครัวดิฉันไม่มีใช้)    ก็จนกว่าเค้าเพื่อนเพราะต้องใช้เงินไปกับลูก2คนและลืมบอกไปว่าตัวดิฉันไม่ได้ทำงานต้องให้สามีเลี้ยง  เพราะทำแล้วเค้าให้เงินเดือน4000 ซึ่งทุเรสมากๆคะ  ดิฉันเรียนไปด้วยทำงานไปด้วยยังไม่จบปริญญาได้เงินเดือน9พันกว่า เรียนจบแล้วให้เท่านี้ดูถูกกันมากๆ  แล้วดิฉันก็โดน.....กลั่นแกล้งเยอะมากๆสารพัดจนสามีบอกไม่ต้องทำเมียคนเดียวเลี้ยงได้  ถ้าใครได้เป็นสะใภ้คนจีนแล้วอยู่ในกงสีที่มีพี่น้องสามี12คนรวมเขยสะใภ้แล้วประมาณ20 กว่าคนก็จะรู้กว่าเป็นไง  บอกตรงช่วงปีแรกร้องไห้ทุกวันทุกคืน(คือไม่ใช่ตอนกลางคืนอย่างเดียว)ตอนกลางวันก็ร้อง  แสนทรมาณ นรกชัดๆ  ไม่มีสะใภ้คนไหนที่จะปริญญาตรีมีดิฉันคนเดียวหนึ่งเดียว  แต่ไม่ได้ทำงาน เค้าทำงานกันได้เงินเดือน 3หมื่นบ้าน เมียเหนียวได้ประมาณ3หมื่นกว่ากระมังเพราะเหนียวต้องมาฝากไว้เพื่อหลบภาษี
การขึ้นเงินเดือนในครั้งนี้เพื่อนเป็นของขวัญ เป็นขวัญและกำลังใจให้กับพี่ซึ่งเป็นผู้เสียสละมาตลอด  ทำงานทั้งเหนื่อยและหนักมาตลอดระยะเวลากว่า50ปี    นำพาบริษัทมาด้วยแรงกายแรงใจทีแรงกล้าสู้ๆมาตลอดจนมีบริษัที่เจริญรุ่่งเรือง มั่นคงมาได้จนถึงทุกวันนี้ ลืมความสำคัญของพี่คนนี้แล้วหรือ  น้องที่ดีควรกตัญญูต่อพี่ด้วยไม่ใช่หรือ ไม่ใช่ต่อคุณพ่อคุณแม่เท่านั้น ต่อผู้มีพระคุณทุกคนต่างหากถึงจะเจริญได้      และเรียกว่าเป็นผู้ที่เจริญแล้วนะ
ดิฉันขอความกรุณาพี่ๆเพื่อน และท่านผู้รู้กม. ช่วยให้ความคิดเห็นกับเรื่องนี้หน่อยนะคะ ดิฉันทุกข์ใจมากเลยคะ ข้อความทั้งหมดอาจใช้เวลาน้อยเล่าไม่หมด ดิฉันต้องไปทำธุระแล้ว   รบกวนขอความคิดเห็นของทุกๆท่านด้วยนะคะ  ขอบคุณล่วงหน้าคะที่สละเวลาเข้ามาตอบให้คะ
พิมพ์ด้วยความรีบร้อน ขาดตกบกพร่องต้องขออภัยด้วยนะคะ

คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 18
.             ผมเข้ามาอ่าน  กระทู้ ของ  อาเจ้    แล้ว    น่าเห็น ใจ  อาเจ้  มาก ๆ นะครับ  

                   ความจริง  เรื่องปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งหมด   มัน ไม่ควรจะมีปัญหา มากมาย  แบบนี้        ถ้า สามีของอาเจ้  เปลี่ยนบุคคลิก จากคนที่ อ่อนช้อย   เรียบร้อย    ให้เปลี่ยนเป็นคนเอาจริง เอาจัง กับงาน       กล้าได้กล้าเสีย       กล้าชน    กล้า สั่งงานน้อง ๆ  ทุกคน    รุ้จักวางแผนการทำงานอย่างเป็นขั้นเป็นตอน   ใช้ความคิดวางแผนทำงานให้มาก  ( มากกว่า ใช้แรงงาน )   ต้องทำตน เป็นผู้ยิ่งใหญ่ ในบริษัท   กล้า รู้จัก ใช้ คน ทำงาน   ไม่ใช่ให้คนอื่น (น้อง ๆ ) หลอกใช้งานอยู่เรื่อย   จนขาดความเกรงใจ  

                  ถ้าสามีของอาเจ้  ทำได้แบบนี้    ผม รับรองได้ว่า  น้อง ๆ ของสามี ทุกคน  ก็คงจะให้ความยำเกรง  และให้ความเคารพ     และเกรงใจ อาเจ้ ด้วย  ในฐานะเป็นพี่สะใภ้คนโต    แม้จะมีความรู้ต่ำกว่าก็ตาม   แต่ความมีศักดิ์ ในบรรดา เหล่าญาติทั้งหมด   ก็ยังสูงกว่าพวกเขานะครับ     สามีของอาเจ้ ก็ต้องวางตัวให้เป็นผู้นำ   สามารถชี้เป็นชี้ ตายให้น้อง ๆ  ได้ เกรงกลัวกันบ้างนะ     ไม่ใช่ทำตัวให้เป็น บ่าว ถูก น้อง ๆ  เรียก ใช้งาน ได้ทุกเวลา นาที    จนบางครั้ง  ทำให้ อาเจ้  ต้องมานั่งทุกข์ใจ กับการวางตัวตนของสามี ของอาเจ้    

                 และอีกอย่างหนึ่ง  จุดเสียของ สามี ของอาเจ้  ก็คือ  รักพี่ รักน้อง มากจน เกินไป     มาก จนลืม มอง ความมั่งคงของ ครอบครัวตัวเอง    เรื่องความเป็นพี่ เป็นน้อง  ก็ต้องรู้จักแยกแยะ    รู้จักห่วงใยกันในบางเรื่อง  แต่ไม่ใช่ทุกเรื่อง       แต่อย่าถึงกับทำให้ครอบครัวของตัวเองต้องเดือดร้อน        หลังจากแต่งงาน มีครอบครัวกันแล้ว        เรื่องครอบครัวของตัวเราเอง ต้องมาก่อนเรื่องของ น้อง ๆ     ต้องรู้จักแยกแยะ ให้ เป็น นะครับ    อย่าถึงขนาดต้องยอมเสียสละเพื่อน้อง ๆ  ไปเสียทุกเรื่อง     พวกน้อง ๆ  พวกนี้  เป็นพวกเห็นแก่ได้   สามีของอาเจ้ ต้องคิดให้หนักและรอบคอบนะครับ             งานนี้  ผม ขอฝาก ตำหนิ  สามีของอาเจ้  ไว้ด้วยนะครับ     ฝาก บอก สามี ของอาเจ้  ด้วย ว่า  ถึงเวลาแล้วนะ   ที่  สามี ของอาเจ้  ต้องปฏิวัติ ตัวเอง  ด้วยการแสดงออกถึงความเป็นผู้นำ   ต้องรู้จักใช้งานพวก น้อง ๆ  ให้มาก ๆ   คนไหน ได้เงินเดือนเยอะ  ก็มอบหมายงานทำให้มาก ๆ   ผลงานถ้าทำไม่ได้ตามเป้าหมาย   ก็ต้องหาทางลดบทบาท  ลดเงินเดือนลงกันบ้าง   หาโอกาสอย่าให้พวกเขา จับกลุ่มกันได้  ไม่อย่างนั้น  จะพังเอาง่าย ๆ  นะครับ
        
                  วิธีแก้ไข   ก็คือ   สามีของ อาเจ้  ในฐานะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่  และเป็นผู้มีอาวุโส มากที่สุด   มีตำแหน่งเป็นกรรมการผู้จัดการ  หรือ เป็นที่ปรึกษา   ก็ประกาศ  ตั้งตน เป็นประธาน บริษัทไปเลย   แล้วตั้ง  อาเจ้  เป็นรองประธาน หรือ เป็น กรรมการบริษัท   มีสิทธิ์  มีอำนาจ เซ็นเอกสารทุกอย่าง  แทนสามีอาเจ้   ในฐานะหุ้นส่วนใหญ่      จัดการหาโอกาสสับเปลี่ยนบทบาท หน้าที่การงานของ พวกน้อง ๆ  ทุกคน ใหม่หมด     โดยเฉพาะคนที่กุม การเงินการบัญชีของบริษัท  ต้องจัดการเปลี่ยนหน้าที่ก่อนเลยครับ     ส่วนเรื่องงานที่จะต้องติดต่อหน่วยงานราชการภายนอก  อย่าไปลงมือทำเอง    ควรมอบหมายให้ น้อง ๆ  คน ที่ทำหน้าที่กุมบัญชี และการเงิน ออกไปดำเนินเรื่อง แล้วกลับมารายงานให้ สามีของอาเจ้ ทราบ      เรื่องการประชุม เกี่ยวกับงาน  ทุกเรื่อง ต้องผ่านการพิจารณา และต้องผ่านการเซ็นอนุมัติและเห็นชอบ จากสามีของอาเจ้ก่อน     งานผลิต  การดู แล เครื่องจักร   ก็สับเปลี่ยนให้น้อง ๆ   ที่เป็นผู้ชายมาดูแล และรับผิดชอบ    สามีของเจ้  คอยดูอยู่ห่าง ๆ   และคอย เป็นที่ปรึกษา  อย่าไปลงเล่นเอง  ไม่อย่างนั้น จะถูกน้อง ๆ  หลอกใช้งานอีก จน ไม่มีเวลาเป็นตัวของตัวเอง   อาจจะทำให้ สุขภาพไม่แข็งแรงได้นะ  เพราะหาเวลาพักผ่อนได้น้อย  อาจจะทำให้ครอบครัวเดือดร้อนเอาได้นะ       งานใด ๆ   ที่น้อง ๆ  งุบงิบกันทำ โดยไม่ผ่านการขออนุมัติ และเห็นชอบจาก สามีของอาเจ้    ก็ไม่ต้องเซ็นอนุมัติเรื่องการจ่ายเงิน   ให้รับผิดชอบกันเอาเอง    โดย แต่งตั้ง ให้อาเจ้ เป็นผู้มีอำนาจ ตัดสินใจ เซ็นสั่งจ่ายเงิน ร่วมกับสามีของอาเจ้   จะเป็นทางออกที่ดีที่สุด   เพราะถ้าใครกุมอำนาจการเงินไว้    คนนั้น จะมีอำนาจ ครับ  โดยใช้สิทธิ์ ความเป็นหุ้นส่วนใหญ่ดำเนินการเอานะครับ  

             สุดท้าย ก็ฝากบอก สามีของอาเจ้   ให้ สนใจเรื่อง ความสุข   ความพร้อม และความมั่นคงของครอบครัวของตัวเอง  ให้มากกว่า และต้องมาก่อน  ความเป็นห่วงใยน้อง ๆ  นะครับ    ต้องรู้จักสร้างพละกำลัง ของตัวเอง  เพื่อต่อยอด การควบคุมการทำธุรกิจให้กับครอบครัวของตัวเองด้วย     เพราะ หลังจากแต่งงาน มีครอบครัว แล้ว     ต้องรู้จักแยกแยะ  ความห่วงใย น้อง ๆ นะครับ   เพราะพวกเขาก็โต ๆ  มีครอบครัวกันแล้ว      พยายาม ทำทุกอย่าง  ทุกช่องทาง   อย่าให้  น้อง ๆ  ดูหมิ่น  ดูแคลน พี่สะใภ้คนโต นะครับ   ไม่อย่างนั้น จะส่งผลกระทบ ต่อความน่าเชื่อถือของลูกๆ  ของ ตนเองด้วยนะ   และจะส่งผลเสียหาย ต่อความเป็นหุ้นส่วนใหญ่ ในอนาคต ได้นะ ครับ   ถ้า ไม่รู้จัก ว่าอะไร ควร หรือไม่ควร   เพราะมัวหลงงมงายผูกติดกับความห่วงใยน้อง ๆ  ไม่สิ้นสุด แล้วจะส่งผลร้ายต่อครอบครัวของตัวเอง ในอนาคต นะครับ     (  ฝากไว้เป็นข้อคิดนะครับ  )
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่