ออกตัวก่อนนะครับตอนที่ผมเขียนกระทู้นี้ ความรู้เรื่องยาและกฎหมายในสหรัฐผมต่ำเตี้ยมาก ผิดพลาดยังไงก็เตือนกันได้ครับ
ถ้าใครติดตามข่าวมาซักพัก ก็คงพอได้ยินชื่อ Martin. Shkreli. ชายผู้อัพราคายายี่ห้อ daraphim
ซึ่งยาตัวนี้คือ Pyrimethamine จากราคาเดิม 13.5$ (480บาท)อัพขึ้นเป็น750$(26000บาท) ขึ้นไปกว่า55เท่า หรือ. 5500%
ยา daraphim คือ ยาที่ผู้ติดเชื้อHIV กินเพื่อป้องกันโรคฉวยโอกาส ซึ่งสามารถใช้ได้ในสตรีมีครรภ์ โดยในไทยเราสามารถซื้อได้ในราคาเม็ดละบาท ซึ่งยาตัวนี้จำเป็นมากในผู้ป่วยHIV
แล้วทำไมนาย Martin ถึงได้อัพราคาได้น่าเกลียดขนาดนี้ ยาตัวนี้เดิมที ซื้อขายกันมามากกว่า60ปีแล้ว และโรงงานที่ผลิตยาตัวนี้มีแค่เจ้าเดียว นายMartinก็ได้ทำการซื้อโรงงานนี้ ซื้อสิทธิบัตรยา แล้วก็ทำการอัพราคายาตัวนี้ขึ้น 5500%
และแน่นอนครับ ไอ้หมอนี่ถูกคนทั้งสหรัฐประนามด่า ทาง Congress สหรัฐก็ได้มีการเรียกตัวนายMartinมาคุย ซึ่งหมอนี่ก็ทำหน้ากวนส้นเท้าตามคลิป
ตอนแรกที่ผมดูคลิปผมก็อารมณ์ขึ้นเช่นกันครับ แต่ซักพักผมก็ตั้งคำถามขึ้นมา
"ทำไม Congress ถึงไม่ฟ้องมันไปเลย มาคุยเรื่องศีลธรรมกับไอ้เลวนี่ทำไม"
"ทำไมไม่มีบริษัทอื่นผลิตยาตัดราคามัน"
"ทำไมนายMartinถึงได้ทำสีหน้ากวนส้นแบบนั้น มันถือไพ่อะไรเหนือกว่า"
ผมพยายามค้นหาข้อมูล ก็พบว่าที่Martin ผูกขาดยาชนิดนี้ได้ เพราะ กฎหมายของ Congress ครับ
สิ่งนี้ตอบคำถามในใจผมได้หมดเลย กฎที่เกี่ยวกับยาถูกตั้งขึ้นโดย Congress โดยกฎเกี่ยวกับการผลิตยา ขายยาในสหรัฐ หยุมหยิมมาก ใช้เวลานานมาก อาจเป็น10ปี ใช้งบประมาณในการลงทุนมากอาจถึงหลัก10ล้านUSD
ผมคิดว่าที่เค้าออกกฎหยุมหยิมเรื่องมาก อาจเพราะ ให้ยามีคุณภาพผ่านการรับรองให้เรียบร้อยก่อนถึงมือผู้บริโภค
แต่ทว่า นายMartin ใช้จุดอ่อนในเรื่องนี้ เพราะเค้ารู้ว่าไม่มีบริษัทไหนกล้ามาลงทุนแข่งกับเค้าแน่นอน เพราะ กฎอันหยุมหยิมของCongress
ผมเข้าใจเลยว่าทำไมมันทำหน้ากวนส้นเท้าแบบนั้น ทำไมCongrressถึงได้แต่คุยเรื่องศีลธรรม ไม่คุยเรื่องกฎหมาย เพราะ เป็นตัวCongress เองนี่แหละ ที่ทำให้นายMartinผูกขาดยาได้ เรียกว่าเป็นจำเลยร่วมก็ว่าได้
กรณีของนายMartinไม่ใช่ครั้งแรก มีเหตุการณ์คล้ายๆกันนี้หลายครั้งในสหรัฐ แต่ทางcongress ก็ไม่ได้แก้ไขอะไร
ฉากหน้า Congress สวมหน้ากากอัศวินขี่ม้าขาว ชี้หน้าด่าจอมมารMartin ให้คนทั้งสหรัฐเห็นว่าMartinชั่วช้า แต่เป็นตัวCongressเองนี่แหละที่ออกกฎเอื้อให้บรรษัทยายักษ์ใหญ่มาตลอด
ซึ่งผมคิดว่าต่อให้กำจัดMartin ไปได้ไม่นานก็คงมีMartin V2 V3 ในเมื่อกฎที่ออกโดยCongressยังมีช่องโหว่
จะเห็นได้ว่าMartinเป็นแค่ "ผลลัพธ์" ของปัญหา ไม่ใช่ "สาเหตุ" ของปัญหา สาเหตุที่แท้จริงคือกฎที่ไม่เอื้อให้เกิดการแข่งขันต่างหาก
กลับมาที่ไทย เราโชคดีหน่อยที่เรามีกฎหมายเหนือสิทธิบัตรยา แปลง่ายๆ คือ. เราสามารถผลิตยาที่เราเห็นว่าจำเป็นได้โดยไม่ต้องขอลิขสิทธิ์ยา แต่ถ้าจำไม่ผิดช่วงซัก3ปีก่อนสหรัฐ พยายามให้เรายกเลิกกฎนี้ แต่ก็โดนแรงต้านไปพอสมควรจนรัฐบาลในขณะนั้นต้องพับโครงการ ไม่งั้นเราอาจจะโดนแบบสหรัฐก็ได้
บทสรุป
ยา สิ่งนี้ผมว่ามันคือพื้นที่สีเทานะ เวลาเราป่วยก็อยากได้ยาดีที่สุด แต่ก็ไม่อยากได้ยาแพง กลับกันบริษัทขายยา ก็ไม่ใช่มูลนิธิ เค้าลงทุนวิจัย พัฒนายาไปหลายล้าน จะแจกให้ถูกๆ ไม่เอากำไร ก็คงไม่ใช่
ผมไม่คิดว่า การควบคุมราคายา คือทางออกในการแก้ปัญหานี้ เพราะ ถ้าคุณเอาแต่ควบคุม นักธุรกิจ นักลงทุนก็ไม่อยากลงทุน เมื่อไม่มีเงินลงทุนก็ไม่มีการวิจัยยาใหม่ๆ การวิจัยยาซบเซา ผมว่าสิ่งนี้เป็นปัญหายิ่งกว่าการขายยาแพงซะอีก
ผมคิดว่าเราควรให้มีการเปิดให้มีการแข่งขันเสรี แต่รัฐแค่กำกับยาขั้นพื้นฐานที่จำเป็นก็พอ ยาที่ดีหน่อยก็ให้เอกชนแข่งกัน เพื่อจะได้เป็นไปตามกลไกตลาด จะได้มีการพัฒนายาดีๆสู่ท้องตลาดเรื่อยๆ ในราคาที่สมเหตุสมผล
วิเคราะห์ การขึ้นราคายา5500% ในสหรัฐ ของคนที่ทั้งสหรัฐเกลียด
ถ้าใครติดตามข่าวมาซักพัก ก็คงพอได้ยินชื่อ Martin. Shkreli. ชายผู้อัพราคายายี่ห้อ daraphim
ซึ่งยาตัวนี้คือ Pyrimethamine จากราคาเดิม 13.5$ (480บาท)อัพขึ้นเป็น750$(26000บาท) ขึ้นไปกว่า55เท่า หรือ. 5500%
ยา daraphim คือ ยาที่ผู้ติดเชื้อHIV กินเพื่อป้องกันโรคฉวยโอกาส ซึ่งสามารถใช้ได้ในสตรีมีครรภ์ โดยในไทยเราสามารถซื้อได้ในราคาเม็ดละบาท ซึ่งยาตัวนี้จำเป็นมากในผู้ป่วยHIV
แล้วทำไมนาย Martin ถึงได้อัพราคาได้น่าเกลียดขนาดนี้ ยาตัวนี้เดิมที ซื้อขายกันมามากกว่า60ปีแล้ว และโรงงานที่ผลิตยาตัวนี้มีแค่เจ้าเดียว นายMartinก็ได้ทำการซื้อโรงงานนี้ ซื้อสิทธิบัตรยา แล้วก็ทำการอัพราคายาตัวนี้ขึ้น 5500%
และแน่นอนครับ ไอ้หมอนี่ถูกคนทั้งสหรัฐประนามด่า ทาง Congress สหรัฐก็ได้มีการเรียกตัวนายMartinมาคุย ซึ่งหมอนี่ก็ทำหน้ากวนส้นเท้าตามคลิป
ตอนแรกที่ผมดูคลิปผมก็อารมณ์ขึ้นเช่นกันครับ แต่ซักพักผมก็ตั้งคำถามขึ้นมา
"ทำไม Congress ถึงไม่ฟ้องมันไปเลย มาคุยเรื่องศีลธรรมกับไอ้เลวนี่ทำไม"
"ทำไมไม่มีบริษัทอื่นผลิตยาตัดราคามัน"
"ทำไมนายMartinถึงได้ทำสีหน้ากวนส้นแบบนั้น มันถือไพ่อะไรเหนือกว่า"
ผมพยายามค้นหาข้อมูล ก็พบว่าที่Martin ผูกขาดยาชนิดนี้ได้ เพราะ กฎหมายของ Congress ครับ
สิ่งนี้ตอบคำถามในใจผมได้หมดเลย กฎที่เกี่ยวกับยาถูกตั้งขึ้นโดย Congress โดยกฎเกี่ยวกับการผลิตยา ขายยาในสหรัฐ หยุมหยิมมาก ใช้เวลานานมาก อาจเป็น10ปี ใช้งบประมาณในการลงทุนมากอาจถึงหลัก10ล้านUSD
ผมคิดว่าที่เค้าออกกฎหยุมหยิมเรื่องมาก อาจเพราะ ให้ยามีคุณภาพผ่านการรับรองให้เรียบร้อยก่อนถึงมือผู้บริโภค
แต่ทว่า นายMartin ใช้จุดอ่อนในเรื่องนี้ เพราะเค้ารู้ว่าไม่มีบริษัทไหนกล้ามาลงทุนแข่งกับเค้าแน่นอน เพราะ กฎอันหยุมหยิมของCongress
ผมเข้าใจเลยว่าทำไมมันทำหน้ากวนส้นเท้าแบบนั้น ทำไมCongrressถึงได้แต่คุยเรื่องศีลธรรม ไม่คุยเรื่องกฎหมาย เพราะ เป็นตัวCongress เองนี่แหละ ที่ทำให้นายMartinผูกขาดยาได้ เรียกว่าเป็นจำเลยร่วมก็ว่าได้
กรณีของนายMartinไม่ใช่ครั้งแรก มีเหตุการณ์คล้ายๆกันนี้หลายครั้งในสหรัฐ แต่ทางcongress ก็ไม่ได้แก้ไขอะไร
ฉากหน้า Congress สวมหน้ากากอัศวินขี่ม้าขาว ชี้หน้าด่าจอมมารMartin ให้คนทั้งสหรัฐเห็นว่าMartinชั่วช้า แต่เป็นตัวCongressเองนี่แหละที่ออกกฎเอื้อให้บรรษัทยายักษ์ใหญ่มาตลอด
ซึ่งผมคิดว่าต่อให้กำจัดMartin ไปได้ไม่นานก็คงมีMartin V2 V3 ในเมื่อกฎที่ออกโดยCongressยังมีช่องโหว่
จะเห็นได้ว่าMartinเป็นแค่ "ผลลัพธ์" ของปัญหา ไม่ใช่ "สาเหตุ" ของปัญหา สาเหตุที่แท้จริงคือกฎที่ไม่เอื้อให้เกิดการแข่งขันต่างหาก
กลับมาที่ไทย เราโชคดีหน่อยที่เรามีกฎหมายเหนือสิทธิบัตรยา แปลง่ายๆ คือ. เราสามารถผลิตยาที่เราเห็นว่าจำเป็นได้โดยไม่ต้องขอลิขสิทธิ์ยา แต่ถ้าจำไม่ผิดช่วงซัก3ปีก่อนสหรัฐ พยายามให้เรายกเลิกกฎนี้ แต่ก็โดนแรงต้านไปพอสมควรจนรัฐบาลในขณะนั้นต้องพับโครงการ ไม่งั้นเราอาจจะโดนแบบสหรัฐก็ได้
บทสรุป
ยา สิ่งนี้ผมว่ามันคือพื้นที่สีเทานะ เวลาเราป่วยก็อยากได้ยาดีที่สุด แต่ก็ไม่อยากได้ยาแพง กลับกันบริษัทขายยา ก็ไม่ใช่มูลนิธิ เค้าลงทุนวิจัย พัฒนายาไปหลายล้าน จะแจกให้ถูกๆ ไม่เอากำไร ก็คงไม่ใช่
ผมไม่คิดว่า การควบคุมราคายา คือทางออกในการแก้ปัญหานี้ เพราะ ถ้าคุณเอาแต่ควบคุม นักธุรกิจ นักลงทุนก็ไม่อยากลงทุน เมื่อไม่มีเงินลงทุนก็ไม่มีการวิจัยยาใหม่ๆ การวิจัยยาซบเซา ผมว่าสิ่งนี้เป็นปัญหายิ่งกว่าการขายยาแพงซะอีก
ผมคิดว่าเราควรให้มีการเปิดให้มีการแข่งขันเสรี แต่รัฐแค่กำกับยาขั้นพื้นฐานที่จำเป็นก็พอ ยาที่ดีหน่อยก็ให้เอกชนแข่งกัน เพื่อจะได้เป็นไปตามกลไกตลาด จะได้มีการพัฒนายาดีๆสู่ท้องตลาดเรื่อยๆ ในราคาที่สมเหตุสมผล