เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับจขกท.ตั้งแต่ตอนเด็กค่ะ มันอาจไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรมากมาย
แต่มันก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ติด/กระทบจนถึงตอนโตเลยค่ะ
ตั้งแต่เด็กเราค่อนข้างจะชอบแต่งตัวเป็นเด็กผู้หญิงน่ารัก ๆ ตามที่แม่ชอบ ประมาณ อนุบาล-ป.5 จะใส่กระโปรงฟรุ้งฟริ้งสีชมพู ใส่เสื้อสายเดี่ยวลายน่ารักตามประสาเด็กทั่วไป เอาง่าย ๆ ว่าเมื่อก่อนแม่ชอบแบบไหนก็จัดเราให้แต่งจนเสร็จสรรพ ที่แน่ ๆ คือต้องมี 1กระโปรงบานยาวประมาณเข่า 2เสื้อสายเดี่ยว/แขนสั้นสีน่ารัก แพทเทิร์นจะเป็นประมาณนี้ ด้วยความที่เด็กเลยไม่ได้ใส่ใจการแต่งตัวของตัวเอง จนกระทั่งช่วง ป.4 ย้ายบ้านไปอยู่เป็นหมู่บ้านทาวน์เฮ้าส์ ทีนี้ก็เริ่มมีเพื่อนแถวบ้านแล้ว เป็นช่วงเวลาที่ดีมาก ๆ ค่ะ เป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่ได้มีเพื่อนบ้าน(555)
แถวบ้านเราจะมีเพื่อนผู้ชายค่อนข้างเยอะ ชวนเที่ยวเล่นบ้าง เล่นเกมบ้างตามประสาเด็กผู้ชาย จนกระทั่งไปเจอกับเด็กผู้ชายคนนึงที่ก็รู้จักกับเพื่อนกลุ่มนี้ของเราอยู่แล้ว ขอเรียกเด็กผู้ชายคนนี้ว่า เด็กชาย ก. ในกลุ่มที่เราสนิทจะมีผู้หญิง 2 คือเรากะเพื่อนรุ่นพี่ นอกนั้นเป็นเพื่อนผู้ชาย 4-5 คน เด็กชาย ก. ไม่ได้เชิงอยู่กลุ่มนี้ แค่รู้จักกันและบางทีก็แวะมาเล่นด้วยกันบ้าง เราเจอเด็กชาย ก. ครั้งแรกตอนเพื่อนในกลุ่มพาไปแนะนำแต่ละคนให้รู้จัก แค่ครั้งแรกเราก็รู้สึกไม่ค่อยถูกชะตากับเด็กชาย ก. แล้ว เรารู้สึกไม่ชอบสายตาเขา มองเหมือนถ้ามีช้อนกับส้อมนี่คงจะเดินมาตักเรากินแล้ว แต่ก็ไม่ได้อะไร เฉย ๆ ตอนนั้นดวยความเป็นเด็กและแม่ชอบจับแต่งตัวก็ยังออกไปเล่นกับเพื่อนด้วยสภาพแบบเสื้อแขนสั้น สายเดี่ยว มีกางเกงบ้างกระโปรงบ้างว่าไป เราเริ่มเจอเด็กชาย ก. หลายครั้งขึ้น เขาก็ยังมองเราด้วยสายตาเหมือนเดิม มองหัวจรดเท้า มองหน้า มองขา มองหน้าอก(ป.4 ป.5 ก็เริ่มมีหน้าอกบ้างแล้ว) เราก็ยิ่งไม่ค่อยชอบใจมากขึ้นกว่าเดิม คือผิดกับเพื่อนในกลุ่มคนอื่นลิบลับที่ไม่เคยพูดจาและหรือทำท่าทีแบบนี้ พวกนี้ปฏิบัติกับเราเหมือนเพื่อนชายเลยค่ะ ซึ่งผิดกับเด็กชาย ก. ที่พอได้อยู่ใกล้หน่อยก็ชอบแอบจับแขนบ้าง ขอโดนนิด โดนหน่อย นานวันเข้าเราก็เริ่มไม่โอเค เวลาเพื่อนบอกเด็กชาย ก. มาด้วย เราเริ่มไม่อยากไปแล้ว จนกระทั่งวันนึงเพื่อนมาบอกว่า เด็กชาย ก. ถามถึงว่าทำไมไม่ค่อยออกมาเล่นด้วยกันบ้างเลย มันชอบแกนะ ชอบแบบชอบจริง ๆ เท่านั้นแหละ ประกอบกับสายตาองเขาที่เราเห็นจนจำติดตา คิดภาพไม่ออกก็ลองนึกถึงคนที่มองแบบหื่น ๆ สายตาโลมเลียน่ะค่ะ เราเลยกลัวและยิ่งไม่กล้าออกไปเจอเขาหนักกว่าเดิม
พอเริ่มเลี่ยงเด็กชาย ก. ได้แล้วสภาพจิตใจเราก็เริ่มโอเคขึ้นค่ะ ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องห่วงอะไรอีกเท่าไร จนไปโรงเรียน ตอนนั้นขึ้น ป.5 แล้ว โรงเรียนเป็นสห ชายหญิง ตอนนั่งเรียนอยู่ในห้องเราโดนจัดให้นั่งอยู่แถว 2 จากหน้ากระดานดำ ตอนนั้นไม่ค่อยมีเพื่อนสนิทที่โรงเรียนเท่าไร เน้นไปเรียนมากกว่าแล้วกลับมาเล่นกะเพื่อนที่บ้าน โต๊ะเรียนข้างหน้าเราเป็นเด็กผู้ชายผิวขาว ๆ ขอเรียกว่า เด็กชาย ข. เขาก็คุยกับเราเหมือนเพื่อนปกติทั่วไป แต่สิ่งหนึ่งที่เรารู้สึกได้คือ สายตา สายตาของเด็กชาย ข. มองเราเหมือนเด็กชาย ก. ไม่มีผิด แต่ด้วยความที่เป็นเพื่อนร่วมห้องก็เลยไม่ได้อะไร จนกระทั่งวันนึง เป็นช่วงพักเบรค 15 นาที เพื่อนบางคนก็ออกไปเข้าห้องน้ำ กินขนม เล่นกันหน้าห้อง มีคนอยู่ในห้องกันไม่กี่คน เราเองกับเด็กชาย ข. ก็เป็นหนึ่งในนั้นค่ะ โต๊ะเรียนจะถูกจัดให้เป็นคู่ ๆ คู่เราไม่อยู่ คู่เด็กชาย ข. ก็ไม่อยู่ เท่ากับใกล้ ๆ กันนี้เหลือแค่เราสองคนค่ะ เรากำลังนั่งเขียนการบ้านอยู่ เด็กชาย ข. จู่ ๆ ก็หันมาตอนไหนเราไม่แน่ใจเพราะมัวแต่ก้มมองโต๊ะ รู้สึกอีกทีคือมีใครสักคนล้วงมือเข้ามาใต้กระโปรงเราแล้วลูบที่ต้นขาไปมา เราตกใจสะดุ้งแล้วรีบถอยตัวหนีเลย พอเงยหน้ามองก็เห็นเด็กชาย ข. หัวเราะด้วยสีหน้าหื่น ๆ ตอนนั้นเรากลัวมากแต่ทำอะไรไม่ถูกค่ะ ในใจคือ เฮ้ย นี่มันอะไร ทำไมทำแบบนี่กับเรา? สุดท้ายเด็กชาย ข. ก็หันกลับไปที่โต๊ะของตัวเองและครูก็เข้ามาสอนในคาบต่อไป เราจำรายละเอียดไม่ค่อยได้แล้วว่าสุดท้ายมีการย้ายโต๊ะเกิดขึ้นหรือเปล่า ด้วยเราขอย้ายเองหรือไม่ก็ครูเป็นคนย้าย(ที่โรงเรียนตอนประถมจะมีการเปลี่ยนคู่นั่งกันทุก 2-3 เดือนค่ะ)
เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้เรารู้สึกไม่ปลอดภัย และเราเริ่มเปลี่ยนการแต่งตัวจากตอนนั้นมา ชุดเดรส กระโปรง สายเดี่ยว ทิ้งหมดเลยค่ะ คือเหตุผลตอนนั้นของเราที่ยังเด็กเราไม่รู้หรอกว่ามันเกิดจากอะไร แต่เราโทษการแต่งตัว ณ ตอนนั้นทั้งหมดเลย มันทำให้เรากลัว และกลายเป็นแต่งตัวเหมือนเด็กผู้ชายไปเลย จนกระทั่งตอนนี้ใกล้วัยเพญจเพศแล้วเรายังรู้สึกมีอคติกลัวการใส่กระโปรงหรือชุดที่ทำให้ดูเป็นผู้หญิง ๆ อยู่เลยค่ะ นอกจากกระโปรงนักเรียนกับกระโปรงนักศึกษา ชีวิตนี้แทบนับครั้งได้เลยว่าใส่กระโปรงกี่ครั้ง ถ้าไม่ใช่เคสบังคับจริง ๆ ขอเลือกไม่ใส่ใจเลย บางทีเห็นผู้หญิงแต่งตัวน่ารัก ใส่กระโปรง ใส่เดรส เรารู้สึกว่ามันไม่เข้ากับเราขึ้นมาทันที ยังนึกถึงตอนถูกมองแบบนั้นจนทุกวันนี้เลยค่ะ
มาเล่าเรื่องตอนเด็ก ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อจิตใจถึงตอนโตกันค่ะ
แต่มันก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ติด/กระทบจนถึงตอนโตเลยค่ะ
ตั้งแต่เด็กเราค่อนข้างจะชอบแต่งตัวเป็นเด็กผู้หญิงน่ารัก ๆ ตามที่แม่ชอบ ประมาณ อนุบาล-ป.5 จะใส่กระโปรงฟรุ้งฟริ้งสีชมพู ใส่เสื้อสายเดี่ยวลายน่ารักตามประสาเด็กทั่วไป เอาง่าย ๆ ว่าเมื่อก่อนแม่ชอบแบบไหนก็จัดเราให้แต่งจนเสร็จสรรพ ที่แน่ ๆ คือต้องมี 1กระโปรงบานยาวประมาณเข่า 2เสื้อสายเดี่ยว/แขนสั้นสีน่ารัก แพทเทิร์นจะเป็นประมาณนี้ ด้วยความที่เด็กเลยไม่ได้ใส่ใจการแต่งตัวของตัวเอง จนกระทั่งช่วง ป.4 ย้ายบ้านไปอยู่เป็นหมู่บ้านทาวน์เฮ้าส์ ทีนี้ก็เริ่มมีเพื่อนแถวบ้านแล้ว เป็นช่วงเวลาที่ดีมาก ๆ ค่ะ เป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่ได้มีเพื่อนบ้าน(555)
แถวบ้านเราจะมีเพื่อนผู้ชายค่อนข้างเยอะ ชวนเที่ยวเล่นบ้าง เล่นเกมบ้างตามประสาเด็กผู้ชาย จนกระทั่งไปเจอกับเด็กผู้ชายคนนึงที่ก็รู้จักกับเพื่อนกลุ่มนี้ของเราอยู่แล้ว ขอเรียกเด็กผู้ชายคนนี้ว่า เด็กชาย ก. ในกลุ่มที่เราสนิทจะมีผู้หญิง 2 คือเรากะเพื่อนรุ่นพี่ นอกนั้นเป็นเพื่อนผู้ชาย 4-5 คน เด็กชาย ก. ไม่ได้เชิงอยู่กลุ่มนี้ แค่รู้จักกันและบางทีก็แวะมาเล่นด้วยกันบ้าง เราเจอเด็กชาย ก. ครั้งแรกตอนเพื่อนในกลุ่มพาไปแนะนำแต่ละคนให้รู้จัก แค่ครั้งแรกเราก็รู้สึกไม่ค่อยถูกชะตากับเด็กชาย ก. แล้ว เรารู้สึกไม่ชอบสายตาเขา มองเหมือนถ้ามีช้อนกับส้อมนี่คงจะเดินมาตักเรากินแล้ว แต่ก็ไม่ได้อะไร เฉย ๆ ตอนนั้นดวยความเป็นเด็กและแม่ชอบจับแต่งตัวก็ยังออกไปเล่นกับเพื่อนด้วยสภาพแบบเสื้อแขนสั้น สายเดี่ยว มีกางเกงบ้างกระโปรงบ้างว่าไป เราเริ่มเจอเด็กชาย ก. หลายครั้งขึ้น เขาก็ยังมองเราด้วยสายตาเหมือนเดิม มองหัวจรดเท้า มองหน้า มองขา มองหน้าอก(ป.4 ป.5 ก็เริ่มมีหน้าอกบ้างแล้ว) เราก็ยิ่งไม่ค่อยชอบใจมากขึ้นกว่าเดิม คือผิดกับเพื่อนในกลุ่มคนอื่นลิบลับที่ไม่เคยพูดจาและหรือทำท่าทีแบบนี้ พวกนี้ปฏิบัติกับเราเหมือนเพื่อนชายเลยค่ะ ซึ่งผิดกับเด็กชาย ก. ที่พอได้อยู่ใกล้หน่อยก็ชอบแอบจับแขนบ้าง ขอโดนนิด โดนหน่อย นานวันเข้าเราก็เริ่มไม่โอเค เวลาเพื่อนบอกเด็กชาย ก. มาด้วย เราเริ่มไม่อยากไปแล้ว จนกระทั่งวันนึงเพื่อนมาบอกว่า เด็กชาย ก. ถามถึงว่าทำไมไม่ค่อยออกมาเล่นด้วยกันบ้างเลย มันชอบแกนะ ชอบแบบชอบจริง ๆ เท่านั้นแหละ ประกอบกับสายตาองเขาที่เราเห็นจนจำติดตา คิดภาพไม่ออกก็ลองนึกถึงคนที่มองแบบหื่น ๆ สายตาโลมเลียน่ะค่ะ เราเลยกลัวและยิ่งไม่กล้าออกไปเจอเขาหนักกว่าเดิม
พอเริ่มเลี่ยงเด็กชาย ก. ได้แล้วสภาพจิตใจเราก็เริ่มโอเคขึ้นค่ะ ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องห่วงอะไรอีกเท่าไร จนไปโรงเรียน ตอนนั้นขึ้น ป.5 แล้ว โรงเรียนเป็นสห ชายหญิง ตอนนั่งเรียนอยู่ในห้องเราโดนจัดให้นั่งอยู่แถว 2 จากหน้ากระดานดำ ตอนนั้นไม่ค่อยมีเพื่อนสนิทที่โรงเรียนเท่าไร เน้นไปเรียนมากกว่าแล้วกลับมาเล่นกะเพื่อนที่บ้าน โต๊ะเรียนข้างหน้าเราเป็นเด็กผู้ชายผิวขาว ๆ ขอเรียกว่า เด็กชาย ข. เขาก็คุยกับเราเหมือนเพื่อนปกติทั่วไป แต่สิ่งหนึ่งที่เรารู้สึกได้คือ สายตา สายตาของเด็กชาย ข. มองเราเหมือนเด็กชาย ก. ไม่มีผิด แต่ด้วยความที่เป็นเพื่อนร่วมห้องก็เลยไม่ได้อะไร จนกระทั่งวันนึง เป็นช่วงพักเบรค 15 นาที เพื่อนบางคนก็ออกไปเข้าห้องน้ำ กินขนม เล่นกันหน้าห้อง มีคนอยู่ในห้องกันไม่กี่คน เราเองกับเด็กชาย ข. ก็เป็นหนึ่งในนั้นค่ะ โต๊ะเรียนจะถูกจัดให้เป็นคู่ ๆ คู่เราไม่อยู่ คู่เด็กชาย ข. ก็ไม่อยู่ เท่ากับใกล้ ๆ กันนี้เหลือแค่เราสองคนค่ะ เรากำลังนั่งเขียนการบ้านอยู่ เด็กชาย ข. จู่ ๆ ก็หันมาตอนไหนเราไม่แน่ใจเพราะมัวแต่ก้มมองโต๊ะ รู้สึกอีกทีคือมีใครสักคนล้วงมือเข้ามาใต้กระโปรงเราแล้วลูบที่ต้นขาไปมา เราตกใจสะดุ้งแล้วรีบถอยตัวหนีเลย พอเงยหน้ามองก็เห็นเด็กชาย ข. หัวเราะด้วยสีหน้าหื่น ๆ ตอนนั้นเรากลัวมากแต่ทำอะไรไม่ถูกค่ะ ในใจคือ เฮ้ย นี่มันอะไร ทำไมทำแบบนี่กับเรา? สุดท้ายเด็กชาย ข. ก็หันกลับไปที่โต๊ะของตัวเองและครูก็เข้ามาสอนในคาบต่อไป เราจำรายละเอียดไม่ค่อยได้แล้วว่าสุดท้ายมีการย้ายโต๊ะเกิดขึ้นหรือเปล่า ด้วยเราขอย้ายเองหรือไม่ก็ครูเป็นคนย้าย(ที่โรงเรียนตอนประถมจะมีการเปลี่ยนคู่นั่งกันทุก 2-3 เดือนค่ะ)
เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้เรารู้สึกไม่ปลอดภัย และเราเริ่มเปลี่ยนการแต่งตัวจากตอนนั้นมา ชุดเดรส กระโปรง สายเดี่ยว ทิ้งหมดเลยค่ะ คือเหตุผลตอนนั้นของเราที่ยังเด็กเราไม่รู้หรอกว่ามันเกิดจากอะไร แต่เราโทษการแต่งตัว ณ ตอนนั้นทั้งหมดเลย มันทำให้เรากลัว และกลายเป็นแต่งตัวเหมือนเด็กผู้ชายไปเลย จนกระทั่งตอนนี้ใกล้วัยเพญจเพศแล้วเรายังรู้สึกมีอคติกลัวการใส่กระโปรงหรือชุดที่ทำให้ดูเป็นผู้หญิง ๆ อยู่เลยค่ะ นอกจากกระโปรงนักเรียนกับกระโปรงนักศึกษา ชีวิตนี้แทบนับครั้งได้เลยว่าใส่กระโปรงกี่ครั้ง ถ้าไม่ใช่เคสบังคับจริง ๆ ขอเลือกไม่ใส่ใจเลย บางทีเห็นผู้หญิงแต่งตัวน่ารัก ใส่กระโปรง ใส่เดรส เรารู้สึกว่ามันไม่เข้ากับเราขึ้นมาทันที ยังนึกถึงตอนถูกมองแบบนั้นจนทุกวันนี้เลยค่ะ