แชร์ประสบการณ์: สมัครทุนเรียนต่อ ป.โท ต่างประเทศ (ทุนรัฐบาลต่างประเทศ, ทุนของ U ต่างๆ) การเขียน SOP การสมัคร TOP U

สวัสดีค่ะ เราเป็นอีกคนหนึ่งที่มีความใฝ่ฝันอยากจะไปเรียนต่อ ป.โท ที่ต่างประเทศเหมือนกับใครหลายๆ คน แต่อย่างทีทราบว่าค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปเรียนต่อต่างประเทศจะค่อนข้างแพง ดังนั้นเราจึงตัดสินใจที่จะขอทุน

หลังจากที่ผ่านประสนการณ์การขอทุนมาอย่าง เป็นเวลาเกือบ 2 ปี ถ้ารวมทั้งทุนที่เคยเกือบจะสมัคร เคยสมัครเอาไว้จนลืม เคยโดดไม่ไปสอบสัมภาษณ์ เคยไปสอบสัมภาษณ์ และทุนที่ได้จริงๆ ก็คิดว่าประมาณ 15-20 ทุนเห็นจะได้ (และมหาวิทยาลัยที่เคยสมัครและได้ตอบรับ ไม่ว่าจะสมัครเอง หรือผ่านเอเจนซี่ก็เยอะอยู่เหมือนกัน 555) วันนี้ก็เลยอยากจะมาแชร์วิธีการสมัครทุนต่างๆให้กับเพื่อนๆอย่างละเอียด เผื่อจะพอเป็นประโยชน์กับใครหลายๆคนที่กำลังสนใจอยากจะขอทุนแต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มยังไงดีค่ะ

ประเภทของทุน
เริ่มแรกขอว่ากันด้วยเรื่องประเภทของทุนต่างๆ ที่มีให้เราได้สมัครนะคะ เราขอแบ่งประเภทของทุนออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ดังนี้
1.    ทุนที่มีภาระผูกพัน คือทุนที่มีเงื่อนไขกำหนดให้เรากลับมาทำงานใช้ทุนในหน่วยงานผู้ให้ทุน (ทั่วไปจะให้ใช้เป็นระยะเวลา 2 เท่า เช่นไปเรียน ป.โท 2 ปี ก็กลับมาใช้ทุน 4 ปี) สำหรับทุนประเภทนี้ที่คนไทยอย่างเราๆนิยมไปสมัครก็เช่น ทุน ก.พ.
2.    ทุนที่ไม่มีภาระผูกพัน คือทุนให้เปล่า ให้แบบฟรีๆ ซึ่งเราก็ขอแบ่งทุนประเภทนี้ลงไปอีกเป็น 3 ประเภทย่อยๆ

2.1  ทุนสนับสนุนค่าเล่าเรียนบางส่วน (Bursary) มักจะเป็นทุนออกโดยมหาวิทยาลัย จ่ายเงินในลักษณะที่ให้เป็นส่วนลดค่าเล่าเรียน ดังนั้น การสมัครทุนประเภทนี้ก็จะต้องได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยกันก่อน แล้วค่อยไปสมัครทุนอีกที ส่วนมูลค่าที่ได้ก็แตกต่างกันไปตามแต่ละมหาวิทยาลัย ตามที่เคยเห็นมาก็มีตั้งแต่ 3000 – 10000 ปอนด์กันเลยทีเดียว ส่วนตัวอย่างของมหาวิทยาลัยที่ให้ทุนนี้ก็คงจะยกตัวอย่างกันไม่หมด เพราะมีแทบทุกที่ทีเดียว

2.2 ทุนสนับสนุนค่าเล่าเรียนทั้งหมด เป็นทุนที่ผู้ได้รับทุนจะได้รับการยกเว้นค่าเล่าเรียนทั้งหมด ดังนั้นค่าใช้จ่ายส่วนที่เหลือที่เราต้องเสียก็จะมี ค่าเดินทาง ค่าหอพัก ค่ากินอยู่ ค่าวีซ่า ฯลฯ ซึ่งก็นับว่าประหยัดค่าใช้จ่ายของเราลงไปกว่าครึ่ง เพราะค่าเล่าเรียนของมหาวิทยาลัย ยิ่งเป็นระดับ TOP U ด้วยแล้ว ยิ่งแพงทีเดียว ตัวอย่างของมหาวิทยาลัยที่ให้ทุนประเภทนี้ เช่น Westminster (UK)

2.3 ทุนสนับสนุนค่าเล่าเรียนและค่าใช้จ่ายทั้งหมด ทุนประเภทนี้เป็นทุนในฝันของใครหลายๆคนเลยทีเดียว เพราะทุนประเภทนี้จะออกค่าเล่าเรียน และค่าใช้จ่ายให้เราทั้งหมด เรียกกันว่ามีแต่ตัวกับหัวใจก็สามารถไปเรียนได้แล้ว แถมเป็นทุนให้เปล่าอีกต่างหาก ตัวอย่างของทุนประเภทนี้ มักจะเป็นทุนของรัฐบาลต่างๆ เช่น Chevening (UK), Erasmus Mundus (EU), Endeavour (AUS), Fullbright (US), Monbukagakusho (JP), New Zealand ASEAN Scholars Awards (NZL)

ทีนี้ก่อนที่จะมาว่ากันด้วยทุนต่างๆ ที่น่าสนใจสำหรับนักเรียนไทยอย่างเราๆ เราก็ขอมาพูดเรื่องการเขียนเรียงความตอบคำถามเพื่อการขอทุนสักหน่อย เพราะที่ผ่านมามีเพื่อนถามเราเสมอว่าเราจะเขียนคำตอบอย่างไรให้โดนใจกรรมการ โดยเฉพาะเมื่อมีการจำกัดจำนวนคำ เราจึงขอนำเทคนิควิธีการเขียนตอบมาฝากกันนะคะ ซึ่งเพื่อนๆก็สามารถนำเทคนิคนี้ไปใช้กับการเขียนตอบได้แทบจะในทุกๆทุนเลยค่ะ เพราะทุนส่วนใหญ่ก็จะกำหนดให้เราเขียนตอบในลักษณะนี้ด้วย และบางครั้งก็มักจะเป็นคำถามคล้ายๆกัน เช่น ทำไมเราอยากเรียนหลักสูตรนี้ หลักสูตรนี้จะช่วยสนับสนุนงานของเรา และช่วยประเทศชาติอย่างไร ดังนั้น เราเขียนจริงๆแค่ครั้งเดียว แต่สามารถนำมาปรับแก้ไข และใช้ได้กับหลายทุน

ทั้งนี้ วิธีการเขียนที่จะกล่าวต่อไปนี้เป็นวิธีการส่วนตัวของเรานะคะ เพราะฉะนั้นถ้าใครมีวิธีอะไรดีๆเพิ่มเติม หรือมี comment อะไรก็มาแชร์ๆกันนะคะ
สำหรับเรา เริ่มแรกจะดูเกณฑ์การให้คะแนนของทุนนั้นๆ ยกตัวอย่างเช่น ทุน Endeavour ของออสเตรเลีย เขาจะมีการบอกเกณฑ์การคิดคะแนนไว้ใน guildeline ที่ download มาจากเว็บไซด์เลยว่า

40% - ผลการศึกษา และประสบการณ์ทำงานที่เกี่ยวข้องกับหลักสูตรที่เราจะศึกษา
20% - หลักสูตรที่จะเรียน
20% - หลักสูตรที่เลือกจะช่วยสนับสนุนผู้สมัครในด้านการศึกษาและการงานในอนาคต
10%  - หลักสูตรที่เลือกจะช่วยสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศของเราและออสเตรเลีย
10%  - การให้บริการสังคม หรือทำกิจกรรมที่ไม่ได้รับค่าตอบแทน
ทีนี้พอรู้วิธีการคิดคะแนนแล้ว เราก็จะรู้ว่าเราควรจะให้ความสำคัญกับส่วนไหนมากเป็นพิเศษ

เราจะเห็นได้ว่าทุนส่วนใหญ่นอกจากที่เราจะต้องมีผลการศึกษาที่ดี และเลือกหลักสูตรให้สอดคล้องกับประสบการณ์ทำงานที่ผ่านมาและอนาคตแล้ว จุดสำคัญที่จะตัดสินว่าเราจะได้ทุนหรือไม่ได้ก็คือเรียงความค่ะ จะเห็นว่าแทบทุกข้อที่เขานำมาคิดคะแนน เขาจะได้ข้อมูลมาจากคำตอบของคำถามที่ถามเรานั่นเอง ดังนั้น เราต้องให้ความสำคัญกับการตอบคำถามทุกข้อ โดยเฉพาะการบรรยายอย่างชัดเจนเกี่ยวกับหลักสูตรที่เราจะศึกษาต่อ และประโยชน์ที่จะได้รับ

โดยขณะที่เขียนคำตอบของทุนต่างๆ เราจะมีวิธีการในการเขียน ดังนี้ค่ะ

1.    อ่านคำถามอย่างละเอียด อันนี้เป็นหัวใจสำคัญของการเขียน บางคนจะสนใจกับว่าเราจะเขียนอะไรมาก ตั้งหน้าตั้งตาจะเขียน จนทำให้เราอ่านคำถามโดยรีบเร่ง แค่ scan เท่านั้น ดังนั้นจะทำให้เราตอบคำถามไม่ครบ เพราะคำถามของบางทุนเขาจะถามเราหลายอย่างใน 1 คำถาม
เช่น ทุน NZL “A 500 word statement describing the specific skills and knowledge you want to gain from your proposed study and how this will contribute to your current and/or future job” อันนี้มองออกง่ายๆค่ะ เขาถาม 2 อย่างคือ 1. statement describing the specific skills and knowledge you want to gain from your proposed study และ 2 how this will contribute to your current and/or future job

อีกสักทุนนะคะ ซับซ้อนอีกหน่อยนะคะ “Outline the details of your future aspirations and how your degree will help you achieve your vision. You can explain how previous leadership roles or community activities have informed this vision. This statement should not focus on your academic achievements or the financial benefit of the scholarship.” ลองอ่านอันนี้ดูว่าเขาถามกี่อย่าง พออ่านจบรอบแรกบางคนอาจจะงงๆ เพราะคำถามมันยาวพอสมควร ดังนั้นสำคัญมากค่ะ เราต้องตีโจทย์ให้แตก อย่างอันนี้เราต้องตอบเขาทั้งหมด 3 ประเด็น คือ 1. your future aspirations 2. how your degree will help you achieve your vision 3. how previous leadership roles or community activities have informed this vision และที่สำคัญเราต้องไม่พูดถึงเรื่อง academic achievements or the financial benefit of the scholarship นะคะ

2.    วางแผนการเขียนว่าในคำ 500 คำ หรือ 1000 คำที่เขากำหนด เราจะเขียนอะไรบ้าง มีกี่ paragraph โดยเราต้องพิจารณาด้วยว่าเราจะให้น้ำหนักของคำตอบเราอย่างไร เช่น ทุน NZL ข้างต้น ถาม 2 คำถามย่อยดังนั้นถ้าเราเขียนเราควรให้น้ำหนักคำตอบเท่าๆกัน เช่น ตอบอย่างละ 1 paragraph ไม่ใช่ว่าเราบรรยายคำตอบเกี่ยวกับหลักสูตรที่เราจะเรียนจะช่วยให้เรามี skill อะไรแค่ 50 คำ ส่วนอีก 450 คำที่เหลือพูดแต่ว่าหลักสูตรจะ contribute ให้อนาคตเราอย่างไร แบบนี้จะทำให้เราเสียคะแนนนะคะ

อย่างไรก็ตาม เราไม่จำเป็นต้องให้น้ำหนักคำถามย่อยทุกคำถามเท่าๆกันนะคะ ให้พิจารณาตามความเหมาะสม เช่น กรณีที่ 2 จะเห็นว่าเราควรเน้นตอบข้อ 1 และข้อ 2 ส่วนข้อ 3 เราอาจเขียนโดยใช้จำนวนคำที่น้อยกว่า 2 อันแรกก็ได้ แต่ก็ไม่ควรสั้นจนเกินไปนะคะ หรือเราอาจลองพิจารณาดูว่าใน 3 ข้อย่อย ส่วนไหนที่เราสามารถอธิบายได้น่าสนใจ และมีประเด็นมากกว่าก็ให้เขียนยาวหน่อยก็ได้ แต่อย่ายืดนะคะ คือเอาแต่เนื้อๆเท่านั้น เรามีจำนวนคำจำกัดค่ะ

3.    เลือกเขียนแต่ส่วนที่เป็นจุดเด่นของเรา อะไรที่คิดว่าเขาอยากรู้ ไม่ใช่อะไรที่เราอยากบอก สำคัญมากเลยนะคะ บางทีเวลาเขียนเรารู้สึกว่าเรามีเรื่องที่อยากจะพูดเยอะแยะ แต่ปรากฏว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เขาถาม เมื่อเขาไม่ได้ถาม เราบอกไปก็ไม่มีผลกับการพิจารณา เราก็จะเสียจำนวนคำของเราไปฟรีๆ

4.    อันนี้ย้ำไปเมื่อตอนต้นแล้วค่ะ เนื่องจากเขามีการจำกัดจำนวนคำ ดังนั้น เราไม่ควรเขียนบรรยายยาวยืดโดยไม่จำเป็น  ทีนี้เราจะเขียนอย่างไรให้ประหยัดคำให้ได้มากที่สุด เพื่อที่เราจะได้ใส่เนื้อหาที่น่าสนใจของเราลงไปได้มากที่สุด อันนี้เราขอยกตัวอย่าง เช่น I wish to study the Master’s of Accounting and Finance program at XXX University สมมติเราขึ้นประโยคแบบนี้ไปแล้ว ต่อมาเวลาเราจะกล่าวถึงหลักสูตรที่เราจะเรียนซ้ำใน essay ของเรา เราก็ไม่ควรเขียน the Master’s of Accounting and Finance program ซ้ำไป ซ้ำมา ลองนับจำนวนคำดูนะคะ มันสิ้นเปลืองมาก สมมติเขาให้จำกัด 500 คำ ถ้าเราพูดถึงหลักสูตรนี้ 10 รอบ เราจะขาดทุนไปเลย 60 คำทันที แต่เราอาจใช้ใช้ this program หรืออะไรก็ตามที่สั้นๆแทน เพราะยิ่งเราประหยัดคำได้มาก เราก็มีโอกาสมากขึ้นที่จะได้เขียนเนื้อหาอื่นๆได้ อย่างกรณีนี้ เราประหยัดได้ 60 คำ เราก็สามารถเขียนเพิ่มได้อีก 1 paragraph เลยนะคะ


5.    เลือกเขียนโดยการสวมวิญญาณเป็นคณะกรรมการ เช่น เราขอทุนให้เปล่าของรัฐบาลประเทศหนึ่ง ให้เราลิงคิดดูว่าการที่รัฐบาลหนึ่งจะให้เงินทุนสนับสนุนนักศึกษาต่างชาติให้เรียนต่อรวมๆแล้วหลายล้านนั้นเพื่ออะไร นอกจากเขาจะคาดหวังว่าเราจะนำความรู้ที่ได้ไปใช้พัฒนาประเทศเรา เขาก็ต้องหวังอีกว่าเราจะช่วยประสานความร่วมมือกับประเทศของเขาในอนาคต หรือในขณะศึกษาเราจะช่วยสนับสนุนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ให้กับนักเรียน Resident ชาติเขาได้ เพราะคงไม่มีใครที่จะยอมให้เงินใครฟรีๆ โดยที่ไม่หวังว่าจะได้อะไรกลับมาเลย ดังนั้น เวลาเขียนเราควรคำนึงถึงว่า เราอยากไม่ใช่แค่อยากจะได้ความรู้ ความเจริญก้าวหน้าในอนาคต แต่ควรชี้ให้เห็นว่าเรา concern ในเรื่องการสร้างความร่วมมือ และ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้วย

6.    ควรตรวจทานการเขียนของเราหลายรอบ และใช้เวลากับการอ่านอย่างตั้งใจ อย่างของเราในการเขียนครั้งหนึ่งจะใช้เวลาร่าง ตรวจทานแล้วตรวจทานอีกเป็น 10 รอบ แม้จะรู้สึกว่า OK แล้วก็ยังหยิบมาอ่านใหม่ และลองคิดไปด้วยว่าเราให้น้ำหนักกับเนื้อหาเหมาะสมไหม มีคำไหนที่ฟุ่มเฟือยไปไหม โดยเราอาจขอให้เพื่อนๆ ญาติพี่น้อง ช่วยอ่านตรวจทานการเขียนของเราว่ามีจุดไหนที่ควรเพิ่ม ลด แบบนี้ก็จะช่วยให้เราได้รับมุมมองใหม่ๆที่น่าสนใจได้ค่ะ


7.    ควรเขียนด้วยภาษาที่สละสลวย เนื่องจาก กรรมการไม่เคยรู้จักเรามาก่อน และบางทุนก็ไม่มีการสัมภาษณ์ ดังนั้น เขาจะรู้จักเราก็จากเรียงความที่เราเขียน ดังนั้น แม้เขาไม่ได้มีการให้คะแนนไวยากรณ์ หรือระดับภาษา แต่ภาษาที่ดีถูกต้อง อ่านแล้วลื่นไหล ก็จะช่วยสร้างความประทับใจ และทำให้คณะกรรมการอยากอ่านงานเขียนของเราจนจบค่ะ สำหรับใครที่อ่อนภาษา เขียนเรียงความไม่เก่ง หรืออ่อนแกรมม่า ก็ลองพยายามเขียนให้ได้มากที่สุด แล้วให้เพื่อนๆที่เก่งภาษาช่วยให้คำแนะนำในการเขียนก็ได้นะคะ

แล้วทั้งหมดนี้ก็จะเป็นจุดหลักๆเวลาที่เราเขียนเรียงความสำหรับของทุนค่ะ

ทีนี้ในส่วนที่อยากจะนำเสนอต่อไปก็คือวิธีการสมัครทุนประเภทต่างๆ กันแบบละเอียดทีละทุนกันเลยค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่