ห่างหายไปนานกับการบอกเล่าเรื่องราวการเดินทางเพราะติดนิสัยทำอะไรแล้วปล่อยผ่าน มองย้อนกลับไปให้รู้สึกเสียดายเพราะหลายทริปที่ผ่านมาได้พบเจอเรื่องราวไม่คาดฝัน ทั้งรถเสียจนต้องนอนกลางถนนทางหลวงรถขับผ่านมาทีก็เย็นวูบเสียวสันหลังที ถูกอัดในรถขนผักเพราะเดินทางข้ามประเทศกว่า 24 ชั่วโมง หรือแม้แต่ไม่มีข้าวตกถึงท้องสักเม็ดเป็นวันๆ และอีกมากมาย แต่ความทรงจำเหล่านั้นกลับค่อยเลือนหายไปตามกาลเวลา
จึงเป็นที่มาของการเขียนบันทึกเล่มเล็ก อาจบ่นเพ้อไร้สาระออกอ่าวออกทะเล แต่เมื่อได้กลับมาอ่าน ก็อาจช่วยกระตุ้นให้ภาพความทรงจำที่เคยได้ประสบ ผุดขึ้นมาในเศษเสี้ยวของสมองบ้าง
จุดหมายปลายทางของการเดินทางในครั้งนี้อยู่ที่ ภูกระดึง จังหวัดเลย สถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตที่คงไม่มีใครไม่รู้จัก นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมมาเยือนภูกระดึง แต่ครั้งล่าสุดก็นานมาแล้ว แม้หลายสิ่งหลายอย่างจะเปลี่ยนไป แต่ความหฤโหดหฤหรรษ์ของการไต่ยอดเขาแห่งนี้ ก็ยังยืนหยัดท้าทายรอให้นักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ได้มาพิชิตสักครั้ง
เริ่มต้นการเดินทางด้วยใจที่มุ่งมั่นจากสถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเป็นศูนย์รวมผู้เดินทางจากภาคอีสานไปทั่วทุกสารทิศ สอยตั๋วโดยสารของบริษัทนครชัยขนส่งไปลงที่ผานกเค้าในราคาสบายกระเป๋าเพียง 207 บาทเท่านั้น ออกเดินทางเวลา 24.00 น.
สำหรับเที่ยวรถบริการมีแทบทุกชั่วโมง เพราะเป็นรถสายยิงยาวโคราช-เชียงคานแวะรับคนตลอดรายทาง ที่ผมเลือกออกเดินทางในเวลา 24.00 น. เพราะจะไปถึงผานกเค้าในเวลาประมาณตีห้าพอดี จริงๆแล้วคือนัดเพื่อนไว้ วางตารางเวลาไว้ว่าไปถึงเช้าทำธุระล้างหน้าล้างตากินข้าวก่อนอุทยานเปิดในเวลา 7.00 น. จะเริ่มปีนกันเลย
และเหมือนลางร้ายจะเริ่มมาเยือนเพราะหลังจากขึ้นรถผู้โดยสารข้างเคียงก็ทำเอาผมหัวหมุนติ้วจากกลิ่นแอลกอฮอร์ฉุนกึก สารภาพตามตรงว่าเป็นคนไม่ชอบกลิ่นบุหรี่และเครื่องดื่มมึนเมา แต่ถามว่าสูบมั้ย...ไม่ ถามว่าดื่มมั้ย...บ้าง
บวกกับอาการพะวงหน้าพะวงหลังว่าจะหลับเลยถึงปลายทางเชียงคาน แม้จะแจ้งพนักงานประจำรถไว้แล้วว่าให้เรียกด้วย แต่ความกังวลบวกกลิ่นฉุนตลบอบอวลก็ทำให้ผมหลับๆตื่นๆตลอดทาง แว๊บเดียวเท่านั้นก็มาถึงผานกเค้าในเวลาตีสี่ อุทานในใจว่า
'แม่เจ้า มาถึงเร็วกว่าที่คิดตั้ง 1 ชั่วโมง'
และ
'ตายหองงแน่ตรู ได้หลับไปราวสองชั่วโมงเศษเอง'
จุดลงรถที่ผานกเค้าซึ่งเป็นศูนย์รวมรถโดยสารประจำทางจากทุกที่ไม่ว่าคุณจะมาจากที่ไหน เหนือใต้ ตะวันออกตะวันตก จะต้องมาลงที่นี่ 'ร้านเจ๊กิม'
ร้านเจ๊กิมถือว่าเจริญรุ่งเรื่องขึ้นมากจากครั้งล่าสุดที่ผมได้มาเยือน จำได้ว่าในสมัยนั้นเป็นเพียงร้านมีเพิงเล็กๆให้นั่งพักเท่านั้น แต่เมื่อเวลาผ่านไป เพื่อรองรับและอำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยวที่หิวโหย ห้องน้ำพร้อม! อาหารพร้อม! ของฝากพร้อม!
บางทีผมก็แอบคิดว่า ผมชอบร้านเจ๊กิมในสมัยนั้นมากกว่า แม้จะเป็นเพียงร้านเล็กๆ แต่ก็มีมนต์เสน่ห์บางอย่างที่ชวนหลงไหล
ร้านเจ๊กิมยังเป็นจุดจำหน่ายตั๋วโดยสารเที่ยวกลับโดยมีจุดหมายเพียงสองที่คือโคราชและกรุงเทพ ผมก็ไม่ลืมที่จะจับตั๋วเที่ยวกลับโคราชในเวลา 17.45 น. ซึ่งเป็นรถเที่ยวสุดท้ายไว้เพื่อความอุ่นใจ
หลังจากนั่งรอหัวโจกและกลุ่มก้อนที่จะตามมาสมทบซึ่งได้ทราบภายหลังว่าเดินทางด้วยความเร็วแบบเรื่อยๆมาเรียงๆราว 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทรมาณสังขารยิ่งนัก ในราวเกือบหกโมงเศษพวกเขาเหล่านั้นก็ปรากฎตัวพร้อมๆกับฟ้าที่เริ่มสางให้มองเห็นหน้าผาตั้งตระหง่านสูงชันอยู่อีกฝั่งฟากของร้านเจ๊กิม และเดากันไปว่าคงเป็นที่มาของชื่อ 'ผานกเค้า' หรือเปล่า
เอ้อระเหยลอยชายกันพอสมควร จนนักท่องเที่ยวที่คราคร่ำอยู่เต็มร้านค่อยทยอยออกไปจนใกล้เกลี้ยงร้านและเราดูเหมือนจะเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มท้ายๆ ก็ได้จับรถสองแถวเที่ยวสุดท้าย เป็นสองแถวสีแดงที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อครั้งก่อน เพื่อไปยังอุทยานค่าโดยสารคนละ 30 บาทถ้วน แต่สำหรับผู้ที่มาในวันธรรมดาหรือไม่ใช่ช่วง High Season อาจประสบปัญหานักท่องเที่ยวน้อยก็สามารถขอเหมาได้ในราคา 300 บาท ในกรณีที่กลุ่มก้อนที่มาไม่ถึง 10 คน
[บันทึกเล่มเล็ก] แบกเป้สะพายกล้อง ท่องภูกระดึง ฉบับ 3 วัน 2 คืน
ห่างหายไปนานกับการบอกเล่าเรื่องราวการเดินทางเพราะติดนิสัยทำอะไรแล้วปล่อยผ่าน มองย้อนกลับไปให้รู้สึกเสียดายเพราะหลายทริปที่ผ่านมาได้พบเจอเรื่องราวไม่คาดฝัน ทั้งรถเสียจนต้องนอนกลางถนนทางหลวงรถขับผ่านมาทีก็เย็นวูบเสียวสันหลังที ถูกอัดในรถขนผักเพราะเดินทางข้ามประเทศกว่า 24 ชั่วโมง หรือแม้แต่ไม่มีข้าวตกถึงท้องสักเม็ดเป็นวันๆ และอีกมากมาย แต่ความทรงจำเหล่านั้นกลับค่อยเลือนหายไปตามกาลเวลา
จึงเป็นที่มาของการเขียนบันทึกเล่มเล็ก อาจบ่นเพ้อไร้สาระออกอ่าวออกทะเล แต่เมื่อได้กลับมาอ่าน ก็อาจช่วยกระตุ้นให้ภาพความทรงจำที่เคยได้ประสบ ผุดขึ้นมาในเศษเสี้ยวของสมองบ้าง
จุดหมายปลายทางของการเดินทางในครั้งนี้อยู่ที่ ภูกระดึง จังหวัดเลย สถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตที่คงไม่มีใครไม่รู้จัก นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมมาเยือนภูกระดึง แต่ครั้งล่าสุดก็นานมาแล้ว แม้หลายสิ่งหลายอย่างจะเปลี่ยนไป แต่ความหฤโหดหฤหรรษ์ของการไต่ยอดเขาแห่งนี้ ก็ยังยืนหยัดท้าทายรอให้นักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ได้มาพิชิตสักครั้ง
เริ่มต้นการเดินทางด้วยใจที่มุ่งมั่นจากสถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเป็นศูนย์รวมผู้เดินทางจากภาคอีสานไปทั่วทุกสารทิศ สอยตั๋วโดยสารของบริษัทนครชัยขนส่งไปลงที่ผานกเค้าในราคาสบายกระเป๋าเพียง 207 บาทเท่านั้น ออกเดินทางเวลา 24.00 น.
สำหรับเที่ยวรถบริการมีแทบทุกชั่วโมง เพราะเป็นรถสายยิงยาวโคราช-เชียงคานแวะรับคนตลอดรายทาง ที่ผมเลือกออกเดินทางในเวลา 24.00 น. เพราะจะไปถึงผานกเค้าในเวลาประมาณตีห้าพอดี จริงๆแล้วคือนัดเพื่อนไว้ วางตารางเวลาไว้ว่าไปถึงเช้าทำธุระล้างหน้าล้างตากินข้าวก่อนอุทยานเปิดในเวลา 7.00 น. จะเริ่มปีนกันเลย
และเหมือนลางร้ายจะเริ่มมาเยือนเพราะหลังจากขึ้นรถผู้โดยสารข้างเคียงก็ทำเอาผมหัวหมุนติ้วจากกลิ่นแอลกอฮอร์ฉุนกึก สารภาพตามตรงว่าเป็นคนไม่ชอบกลิ่นบุหรี่และเครื่องดื่มมึนเมา แต่ถามว่าสูบมั้ย...ไม่ ถามว่าดื่มมั้ย...บ้าง
บวกกับอาการพะวงหน้าพะวงหลังว่าจะหลับเลยถึงปลายทางเชียงคาน แม้จะแจ้งพนักงานประจำรถไว้แล้วว่าให้เรียกด้วย แต่ความกังวลบวกกลิ่นฉุนตลบอบอวลก็ทำให้ผมหลับๆตื่นๆตลอดทาง แว๊บเดียวเท่านั้นก็มาถึงผานกเค้าในเวลาตีสี่ อุทานในใจว่า
'แม่เจ้า มาถึงเร็วกว่าที่คิดตั้ง 1 ชั่วโมง'
และ
'ตายหองงแน่ตรู ได้หลับไปราวสองชั่วโมงเศษเอง'
จุดลงรถที่ผานกเค้าซึ่งเป็นศูนย์รวมรถโดยสารประจำทางจากทุกที่ไม่ว่าคุณจะมาจากที่ไหน เหนือใต้ ตะวันออกตะวันตก จะต้องมาลงที่นี่ 'ร้านเจ๊กิม'
ร้านเจ๊กิมถือว่าเจริญรุ่งเรื่องขึ้นมากจากครั้งล่าสุดที่ผมได้มาเยือน จำได้ว่าในสมัยนั้นเป็นเพียงร้านมีเพิงเล็กๆให้นั่งพักเท่านั้น แต่เมื่อเวลาผ่านไป เพื่อรองรับและอำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยวที่หิวโหย ห้องน้ำพร้อม! อาหารพร้อม! ของฝากพร้อม!
บางทีผมก็แอบคิดว่า ผมชอบร้านเจ๊กิมในสมัยนั้นมากกว่า แม้จะเป็นเพียงร้านเล็กๆ แต่ก็มีมนต์เสน่ห์บางอย่างที่ชวนหลงไหล
ร้านเจ๊กิมยังเป็นจุดจำหน่ายตั๋วโดยสารเที่ยวกลับโดยมีจุดหมายเพียงสองที่คือโคราชและกรุงเทพ ผมก็ไม่ลืมที่จะจับตั๋วเที่ยวกลับโคราชในเวลา 17.45 น. ซึ่งเป็นรถเที่ยวสุดท้ายไว้เพื่อความอุ่นใจ
หลังจากนั่งรอหัวโจกและกลุ่มก้อนที่จะตามมาสมทบซึ่งได้ทราบภายหลังว่าเดินทางด้วยความเร็วแบบเรื่อยๆมาเรียงๆราว 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทรมาณสังขารยิ่งนัก ในราวเกือบหกโมงเศษพวกเขาเหล่านั้นก็ปรากฎตัวพร้อมๆกับฟ้าที่เริ่มสางให้มองเห็นหน้าผาตั้งตระหง่านสูงชันอยู่อีกฝั่งฟากของร้านเจ๊กิม และเดากันไปว่าคงเป็นที่มาของชื่อ 'ผานกเค้า' หรือเปล่า
เอ้อระเหยลอยชายกันพอสมควร จนนักท่องเที่ยวที่คราคร่ำอยู่เต็มร้านค่อยทยอยออกไปจนใกล้เกลี้ยงร้านและเราดูเหมือนจะเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มท้ายๆ ก็ได้จับรถสองแถวเที่ยวสุดท้าย เป็นสองแถวสีแดงที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อครั้งก่อน เพื่อไปยังอุทยานค่าโดยสารคนละ 30 บาทถ้วน แต่สำหรับผู้ที่มาในวันธรรมดาหรือไม่ใช่ช่วง High Season อาจประสบปัญหานักท่องเที่ยวน้อยก็สามารถขอเหมาได้ในราคา 300 บาท ในกรณีที่กลุ่มก้อนที่มาไม่ถึง 10 คน