SET50 จะลงไป -20% และ SET จะเหลือ 988 จุดได้แค่ไหน

กระทู้สนทนา
ผมได้ทำตารางราคาหุ้น ณ SET50 764 จุด SET 1235 จุด            
หากราคาหุ้นทุกตัวใน SET50 ลดลง -20% SET50/SET จะอยู่ที่ 611/988 ถ้าหุ้นแต่ละตัวมีราคาลดลง20% P/E แต่ละตัวจะเหลือเท่าไหร่
และถ้าสมมติว่าปีนี้กำไรของบริษัทเหล่านี้ลดลง -20% แล้ว P/E จะเหลือเท่าไหร่ เหมาะสมกับการลงทุนหรือไม่(อันที่จริง P/E เป็นตัวชี้ที่บอกอะไรได้ลำบากถ้าไม่ใช่ P/E ที่เกิดจากการดำเนินงานปกติ)
        
โดยเฉพาะ BANK ที่ตลาดกังวล แล้วหุ้นอยู่ในระดับที่น่าสนใจหรือไม่
        
ความเห็นนี้อยู่บนพื้นฐานที่ว่าไม่มีวิกฤติเศรษฐกิจที่รุนแรง แต่อาจจะมี NPL ในระดับสูงขึ้นซึ่งอาจจัดการได้ภายในเวลา 2 ปี(ปลาย2559-2561)            
แม้ว่าการลดลงของราคาหุ้นคงต้องแตกต่างกันไปไม่ใช่ -20% ทุกตัว แต่เพื่อสะดวกจะใช้เท่าๆกัน
    
    


ในตาราง P/E หมายถึง P/E = Market Cap/กำไร 4 ไตรมาสล่าสุด(Q4ปี2557+(Q1+Q2+Q3)ปี2558)             
P/E2  หมายถึง P/E ณ ตำแหน่งที่หุ้นลดราคา20% = (Market Capที่ราคาปรับลด20%)/กำไร 4 ไตรมาสล่าสุด(Q4ปี2557+(Q1+Q2+Q3)ปี2558)             
P/E3  หมายถึง P/E ณ ตำแหน่งที่หุ้นราคาปัจจุบัน = Market Cap/กำไรที่คาดการณ์ในปีหน้า            
P/E4  หมายถึง P/E คาดการณ์หากหุ้นลดราคา20%และกำไรลดลง = (Market Capที่ราคาปรับลด20%)/กำไรที่คาดการณ์ในปีหน้า            
- กำไร 4 ไตรมาสล่าสุด(Q4ปี2557+(Q1+Q2+Q3)ปี2558) บางตัวถูกปรับแก้ให้เหมาะสม เช่น JAS/BTS
- %Profit Change = คากการณ์กำไรในทางลบจะกำหนดเป็นเปอร์เซนต์ที่ลดลง แต่อาจจะมีบางธุรกิจที่มีกำไรเพิ่มขึ้น และธนาคารบางแห่งอาจจะมีกำไรที่ลดลงไม่เท่ากัน        
- ความเห็นต่างๆไม่ใช่เกิดจากความรู้แต่เกิดจากสมมติฐานทางลบและคาดการณ์จากงบการเงินย้อนหลังบางส่วน
- เหตุผลที่กำหนดให้ธนาคารมีคากการณ์กำไรลดลงมากถึง -25% เพื่อสะท้อนถึงความกังวลของนักลงทุนและปัญหา NPL ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต            
- กำหนดให้คากการณ์กำไรของ RATCH เพิ่มขึ้น 2,400 ล้านบาท เพื่อสะท้อนความคาดหวังจากการเริ่ม COD รวมถึงกำไรของ BANPU ด้วย            


สำหรับกลุ่ม BANK             
    - Market Cap ที่อยู่ใน SET50 รวม 1,400,000 ล้านบาท        
    - กรณีที่หุ้นจะลดลงไป -20% และผลประกอบการลดลงไป -15% ถึง -25% ในปีหน้า ทำให้หุ้นยังคงซื้อขายกันราคาไม่แพง         
    - ดังนั้นถ้าเป็นแบบนี้หุ้นจะไม่ลงไปถึง 988 จุดได้ แนวรับที่ 1,000 จึงเป็นจุดที่น่าลงทุน ยกเว้นกลุ่มธนาคารมีผลขาดทุนกว่าที่คาดการณ์ไว้        
    - กรณีที่ BANK มีผลขาดทุนอันเนื่องมาจาก NPL รวมถึงเงินสำรองมีปัญหา จะทำให้ราคาหุ้นอาจจะลงไปซื้อขายกันที่ 0.6-0.8ของ Book Value จึงจะทำให้ราคากลุ่มธนาคารลงไปซื้อขายกันที่ระดับ 65%-70% ของราคาปัจจุบันและจะมีผลต่อ SET50เป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงความอ่อนแอของเศรษฐกิจของไทยและมันจะฉุดราคาหุ้นทั้งกระดานลงมาด้วย กรณีนี้อาจจะทำให้ SET หลุด 1,000 จุดลงมาอย่างง่ายกว่าที่คิดไว้        
    *** โดยส่วนตัวเชื่อว่าธนาคารจะไม่ขาดทุน เลวร้ายที่สุดคือกำไรหายไป 100%ของกำไรในปี 2558(ราวๆ 1.7แสนล้านบาท ไม่รวมธนาคารนอกSET50และธนาคารนอกตลาดหุ้น) ที่จะเกิดในปี 2559และ2560 รวมกัน        
    - ดังนั้นหุ้น BANK จะไม่ใช่ตัวฉุด SET50/SET ลงไปต่ำ ถึง 611/988 ได้ ยกเว้นวิกฤติเศรษฐกิจไทยเกิดขึ้น(นอกเหนือสมมติฐานของเรา)

        
สำหรับพลังงานและเคมี
       - Market Cap ที่อยู่ใน SET50 รวม 1,830,000 ล้านบาท        
    - บ้านปูจะไม่ขาดทุนในปีหน้า        
    - PTT/PTTEP ถ้าหากราคาน้ำมัน $25-$40 คาดการณ์ว่า PTTEP จะมีการทำ impairment loss อีกครั้งหนึ่งน่าจะราวๆ 4หมื่น-1แสนล้านบาท        
    และจะทำให้ราคาหุ้นกลุ่มนี้กดดัน SET50/SET จึงมีน้ำหนักพอที่จะพา SET50/SET ลงไปต่ำกว่า 611/988 ได้        
    - หุ้นโรงกลั่นจะไม่ขาดทุนจาก inventory เพราะระดับราคาน้ำมัน ณ วันนี้คือ $25 ไม่อาจจะลดลงไปได้มากกว่านี้แล้ว และเมื่อนำค่าการกลั่นมาชดเชยทำให้หุ้นโรงกลั่นมีผลกำไรเป็นบวกได้        
    - ถ้าหาก PTTEP ทำ impairment loss ในระดับ 2แสนล้านภายในปีนี้และราคาหุ้นตอบสนองความสูญเสียนี้ ราคา PTTEP ณ ตอนนี้นั้นก็น่าซื้อ        


กลุ่มสื่อสาร
    - Market Cap ที่อยู่ใน SET50 รวม 841,000 ล้านบาท        
    - จะยังคงรักษาระดับกำไรเอาไว้ได้และกรณีเลวร้ายที่สุดคือกำไรลดลงสำหรับ ADVANC -10% ส่วน TRUE/JAS จะมีผลขาดทุนค่อนข้างแน่นอน        
    - ถ้า SET50/SET ลงไปต่ำ ถึง 611/988 ได้ จะเป็นจุดซื้อเพื่อลงทุน หุ้นกลุ่มนี้จึงไม่ใช่กลุ่มที่จะดึง SET50/SET ให้ต่ำกว่า 611/988         

            
หุ้นกลุ่มพาณิชย์    
        - Market Cap ที่อยู่ใน SET50 รวม 701,000 ล้านบาท        
    - ถ้าจะมีผลกระทบน่าจะเกิดจาก HMPRO+CPN+ROBINS มากกว่า CPALL ที่น่าจะมีกำไรเพิ่มขึ้นแต่อาจจะเกิดปัญหาได้กับ MAKRO ที่ CPALL ถือ        
    - หากราคาหุ้นกลุ่มนี้ลดลง -20% จะเป็นจุดที่นักลงทุนสถาบันเข้าซื้อ P/E ของกลุ่มจะอยู่ที่ 20ต้นๆ แต่หากตลาดมองว่าเศรษฐกิจไม่ดีประชาชนรัดเข็มขัด        
    - ราคาหุ้นอาจจะลงมาซื้อขายกันที่ต่ำกว่า 20 เท่าได้แต่ไม่น่าจะต่ำกว่า 15 เท่า        

            
กลุ่มอื่นๆที่มี P/E สูงๆ(เกิน 25 เท่า)    
        - ราคาหุ้นอาจจะลดลงตามสภาวะตลาดได้ ขึ้นอยู่กับความร้ายแรงของเศรษฐกิจ และหุ้นที่มี P/E 30 เท่าขึ้นไป จะลงไปซื้อขายกันที่ 20-25 เท่า        
กลุ่มอื่นๆที่มิได้กล่าวถึง
    - กำหนดให้มีกำไรลดลงโดยประมาณจากความเห็นส่วนตัว
            
บทสรุป            
- ถ้าหากจะมองความเลวร้ายของตลาดหุ้นในปีนี้ ให้มองที่กลุ่มธนาคารซึ่งที่ผ่านมาราคาหุ้นดูไม่ดีเอามากๆ รวมถึงสภาวะแวดล้อมของธุรกิจต่างประเทศ หุ้นที่ยังได้รับแรงหนุนอยู่    น่าจะเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับภาคก่อสร้างของโครงการรัฐ/โรงไฟฟ้าที่ยังมีรายได้สม่ำเสมอ/สิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็น/โรงพยาบาล            
- ความร้ายแรงจะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับ NPL ซึ่งเป็นตัวชี้วัดว่าเศรษฐกิจไทยอ่อนแอแค่ไหน ดังนั้นในระยะสั้นตลาดหุ้นไม่อาจจะลงไปถึง 611/988 ได้ คงต้องรอดูงบการเงินธนาคารออกมาก่อนใน Q1 และไปลุ้นอีกใน Q2-Q4 ปีนี้ ถ้าออกมาแล้วมันแย่เอามากๆ SET อาจจะลงต่ำกว่า 988 จุดไปเป็นร้อยก็ได้            
- พระเอกคือ ราคาน้ำมันที่ลดลงอย่างแรงรวมถึงราคาสินค้าทุน(Raw Material)แม้จะเป็นผลร้ายต่อ SET50/SET แต่ถ้ามองอีกแง่หนึ่งก็คือจะเป็นตัวช่วยให้ธุรกิจต่างๆมีต้นทุนต่ำลงพอสมควร ลดรายจ่าย เพิ่มอำนาจซื้อหรือชำระหนี้ของประชาชน อาจจะทำให้ปัญหาหนี้ระดับสูงผ่อนคลายลงไปได้            
- ตัวร้ายอาจจะปรากฎขึ้นได้หากดอกเบี้ยของไทยเพิ่มสูงขึ้นตาม US จะทำให้หุ้นที่แบกหนี้มีภาระเมื่อครบกำหนดไถ่ถอนหุ้นกู้            
*** ถ้าจะเล่นสั้นก็ให้เล่นแบบเก็งกำไร ไม่ว่าหุ้นจะดีหรือไม่ต้องมีจุด CUT LOSS เพราะหากคุณอ่านงบการเงินไม่ขาดคุณจะไม่มีทางรู้เลยว่าหุ้นมันลงเพราะปัจจัยทางธุรกิจหรือไม่            
*** ถ้าลงทุนระยะยาวก็ต้องหาจังหวะที่ตลาด panic และจงดีใจว่าเรามี short sell ช่วยให้ราคาหุ้นถูกลง จะทำให้มีผลกำไรที่ดีในอนาคต            
            
สำหรับผม ถ้ามันแย่ถึงขั้น SET เหลือ 800 จุด ก็น่าจะเป็นจุดซื้อที่สำคัญอีกครั้งของการลงทุน ตอนนั้นเราคงเห็นข่าว NPL ค่อยข้างหนาหู            
แต่ถึงแค่ 1,000 จุดและธนาคารไม่ได้เป็นอะไรมากก็ไม่ได้ทำให้ตลาดหุ้นถูกจนน่าซื้อแบบน้ำลายไหล            
1,000 จุดจึงไม่ใช่จุดแข็งอะไรมาก แต่ก็ไม่ได้แย่มากถึงขึ้นลงทุนไม่ได้ มันเป็นจุดพอดิบพอดีสำหรับการสะสมหุ้นสำหรับนักลงทุนระยะยาว            
ผมจึงเห็นว่าปัญหาธนาคารจึงเป็นเรื่องที่น่าติดตาม มันจะเป็น indicator ที่สำคัญในการชี้ชะตาเศรษฐกิจไทยและหุ้นไทย            
*** ถ้าหากตลาดหุ้นถึง 800 จุด สถาบันน่าจะได้แต่นั่งดูและรายย่อยผู้ถือหน่วยก็จะเป็นผู้เสียหายมากที่สุด และผมเชื่อว่ายิ่งวิกฤตินักลงทุนระยะยาวยิ่งเติบโต            
หากมีอะไรผิดพลาด ขอน้อมรับคำติชมมา ณ ที่นี้ด้วย    และหากมีความเห็นที่เป็นประโยชน์อย่าได้ช้าเขียนความเห็นแบ่งๆกันครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่