The Big Short (2015)
"เล่าเรื่องได้โคตรเจ๋ง"
The Big Short เป็นหนังที่ว่าด้วยกลุ่มคนเชื่อว่าว่าเศรษฐกิจโลกกำลังจะล่มในปี 2008 เพราะความโลภและการกอบโกยกำไรอยากไม่นึกคิดของเหล่าธนาคาร
หนังเต็มไปด้วยความซับซ้อนทางธุรกิจที่อาจจะทำให้คนดูทั่วไปต้องนั่งงงไปตามๆกัน แต่ทว่ามีการเล่าเรื่องที่กลับเข้าใจง่ายขึ้นกว่าเดิมเยอะ อธิบายให้คนดูอย่างมีเรียบง่ายและทำให้เห็นภาพของระบบเศรษฐกิจได้อย่างชัดเจน มีทั้งการเล่นมุขหันหน้าคุยกับคนดู หนังดำเนินเรื่องไปเรื่อยๆพร้อมกับอารมณ์ขัน และแทรกดราม่าในตอนท้ายได้อย่างลงตัว
นักแสดงทุกคนเล่นกันได้อย่างโดดเด่นตามที่บทหนังแบ่งการดำเนินเรื่องสลับไปมาระหว่างตัวละคร 4 ตัว Michael Burry (Christian Bale), Mark Baum (Steve Carrel), Jared Vennet (Ryan Gosling), Ben Rickert (Brad Pitt) แต่ละคนต่างมีบทบาทในการกอบโกยเงินในช่วงที่ผู้คนกำลังหลงระเริงในเศรษฐกิจที่กำลังพุ่งกระฉูด
เราได้เห็นความคิดของตัวละครแต่ละตัวที่มีต่อสิ่งที่ตัวเองทำลงไปในครั้ง นี้ คนบางคนอย่าง Michael Burry และ Jared Vennet ก็ทำไปเพื่อเงิน ในขณะที่ Ben Rickert และ Mark Baum ก็เป็นคนที่เกลียดระบบการเอาเปรียบคนธรรมดา ที่สุดท้ายแล้วคนชนชั้นทั่วๆไปก็ต้องมารับผล ทั้งๆที่เหตุทั้งหมดเกิดจาก ความสะเพร่าเห็นแก่ได้ของเหล่าธนาคาร
หนังมีช่วงที่ดรอปเล็กน้อยก่อนการเข้าสู่จุดพีคของเรื่อง(เศรษฐกิจล่ม) แต่จุดพีคก็ดึงเราเข้าสู่ดราม่าและจุดสรุปของเรื่องได้อย่างน่าพึงพอใจ
พอหนังจบแล้วรู้สึกอยากศึกษาข่าวเศรษฐกิจเพื่อไม่ให้ใครมาเอาเปรียบเราได้ และก็รู้สึกเศร้าที่ต้องเห็นพนักงานที่ทำงานมาหลายปีแต่ก็เป็นผู้รับกรรมต้องถูกไล่ออกเพราะบริษัทจำต้องปลดพนักงานในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ
ตกใจว่านี่จะเป็นงานดราม่าเรื่องแรกของ ผกก.Adam McKay ซึ่งเคยทำแต่หนังตลกมาก่อน ทำให้หนังเรื่องนี้มีการผสมผสานระหว่างตลกและดราม่าได้
โอเคเลยครับ
จากความรู้สึก"ไม่ค่อยหวังอะไรเท่าไหร่" เปลี่ยนเป็น "หนัง
เจ๋งอะ" หลังออกจากโรง
เพจหนังเล็กๆของผมนะครับ :
https://www.facebook.com/FilmsAspects/
[มองมุมหนัง]The Big Short :สุดยอดบทหนังเศรษฐกิจ!!!
The Big Short (2015)
"เล่าเรื่องได้โคตรเจ๋ง"
The Big Short เป็นหนังที่ว่าด้วยกลุ่มคนเชื่อว่าว่าเศรษฐกิจโลกกำลังจะล่มในปี 2008 เพราะความโลภและการกอบโกยกำไรอยากไม่นึกคิดของเหล่าธนาคาร
หนังเต็มไปด้วยความซับซ้อนทางธุรกิจที่อาจจะทำให้คนดูทั่วไปต้องนั่งงงไปตามๆกัน แต่ทว่ามีการเล่าเรื่องที่กลับเข้าใจง่ายขึ้นกว่าเดิมเยอะ อธิบายให้คนดูอย่างมีเรียบง่ายและทำให้เห็นภาพของระบบเศรษฐกิจได้อย่างชัดเจน มีทั้งการเล่นมุขหันหน้าคุยกับคนดู หนังดำเนินเรื่องไปเรื่อยๆพร้อมกับอารมณ์ขัน และแทรกดราม่าในตอนท้ายได้อย่างลงตัว
นักแสดงทุกคนเล่นกันได้อย่างโดดเด่นตามที่บทหนังแบ่งการดำเนินเรื่องสลับไปมาระหว่างตัวละคร 4 ตัว Michael Burry (Christian Bale), Mark Baum (Steve Carrel), Jared Vennet (Ryan Gosling), Ben Rickert (Brad Pitt) แต่ละคนต่างมีบทบาทในการกอบโกยเงินในช่วงที่ผู้คนกำลังหลงระเริงในเศรษฐกิจที่กำลังพุ่งกระฉูด
เราได้เห็นความคิดของตัวละครแต่ละตัวที่มีต่อสิ่งที่ตัวเองทำลงไปในครั้ง นี้ คนบางคนอย่าง Michael Burry และ Jared Vennet ก็ทำไปเพื่อเงิน ในขณะที่ Ben Rickert และ Mark Baum ก็เป็นคนที่เกลียดระบบการเอาเปรียบคนธรรมดา ที่สุดท้ายแล้วคนชนชั้นทั่วๆไปก็ต้องมารับผล ทั้งๆที่เหตุทั้งหมดเกิดจาก ความสะเพร่าเห็นแก่ได้ของเหล่าธนาคาร
หนังมีช่วงที่ดรอปเล็กน้อยก่อนการเข้าสู่จุดพีคของเรื่อง(เศรษฐกิจล่ม) แต่จุดพีคก็ดึงเราเข้าสู่ดราม่าและจุดสรุปของเรื่องได้อย่างน่าพึงพอใจ
พอหนังจบแล้วรู้สึกอยากศึกษาข่าวเศรษฐกิจเพื่อไม่ให้ใครมาเอาเปรียบเราได้ และก็รู้สึกเศร้าที่ต้องเห็นพนักงานที่ทำงานมาหลายปีแต่ก็เป็นผู้รับกรรมต้องถูกไล่ออกเพราะบริษัทจำต้องปลดพนักงานในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ
ตกใจว่านี่จะเป็นงานดราม่าเรื่องแรกของ ผกก.Adam McKay ซึ่งเคยทำแต่หนังตลกมาก่อน ทำให้หนังเรื่องนี้มีการผสมผสานระหว่างตลกและดราม่าได้
โอเคเลยครับ
จากความรู้สึก"ไม่ค่อยหวังอะไรเท่าไหร่" เปลี่ยนเป็น "หนัง
เพจหนังเล็กๆของผมนะครับ :https://www.facebook.com/FilmsAspects/