สัมภาษณ์: ลูกค้า12ล.รายไม่หลุดมือแน่ 'สมประสงค์ บุญยะชัย'ลั่น! เอไอเอสไม่ชนะ 900 ไม่ได้แปลว่าไม่สู้

กระทู้ข่าว

สัมภาษณ์: ลูกค้า12ล.รายไม่หลุดมือแน่ 'สมประสงค์ บุญยะชัย'ลั่น! เอไอเอสไม่ชนะ 900 ไม่ได้แปลว่าไม่สู้
ฐานเศรษฐกิจ ฉบับวันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2559

          ปลายปีที่ผ่านมาการประมูลโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ 4 จีย่านความถี่ 900 เมกะเฮิรตซ์ บริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด หรือ เอดับบลิวเอ็น บริษัทลูกของ เอไอเอส หรือ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) ไม่ชนะการประมูลในครั้งนั้น

          หลายคนประหลาดใจและตั้งคำถาม ทำไมและเพราะอะไร เอไอเอส ถึงถอยไม่ยอมสู้ต่อทั้งๆ ที่มีเงินหน้าตักมากกว่าผู้ประกอบการรายอื่นๆ แต่ทว่าเมื่อผลการประมูลออกมาทำให้ราคาหุ้นของ เอไอเอส ปรับตัวลดลงจากราคาหุ้นที่สูงสุด 230 บาท แต่ปรากฏว่าราคาปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 128 บาท (ราคา ณ วันที่ 6 ม.ค. 59) นั้นจึงกลายเป็นคำถามว่าทำไมและเพราะอะไร ค่ายมือถือเบอร์หนึ่งอย่าง เอไอเอส ถึงไม่สู้ราคาแข่ง ฟังคำตอบจาก "สมประสงค์ บุญยะชัย" ประธานคณะกรรมการบริหารและที่ปรึกษาประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมที่เข้าร่วมประมูลคลื่นความถี่ 900 เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2558 ติดตามอ่านได้จากบรรทัดถัดจากนี้

          ราคาคลื่นเกินมาตรฐาน
          "สมประสงค์ เปิดเผยว่า กรณีที่ เอดับบลิวเอ็น บริษัทในเครือของ เอไอเอส ไม่ต่อสู้ราคาประมูลคลื่นความถี่ 900 เมกะเฮิรตซ์ในครั้งนั้น เนื่องจากว่ากลุ่มอินทัช เห็นว่าราคาประมูลคลื่นความถี่ 900 เมกะเฮิรตซ์ (หมายเหตุ: ราคาประมูล 2 ใบอนุญาตมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 2.327 แสนล้านบาท) ดังนั้นการลงทุนของกลุ่มอินทัชแต่ละครั้งต้องคำนึงถึงเหตุและผล และการที่บริษัทไม่ต่อสู้ราคาในครั้งนั้น เนื่องจากมีทางเลือกอื่นๆ ที่สามารถลงทุนต่อเนื่องเพื่อเพิ่มส่วนแบ่งทางด้านการตลาดสามารถชนะคู่แข่งได้ บริษัทก็จะเลือกทางเลือกอันนั้น ซึ่งการลงทุนแต่ละครั้งของกลุ่มบริษัทคำนึงถึงผู้ถือหุ้นและจะต้องเป็นประโยชน์ต่อนักลงทุน

          "ใครจะมองว่าเป็นวิกฤติแต่ผมถือว่าเป็นโอกาสเราจะต้องทำให้ชนะใจลูกค้า และบริษัทมีสถานะทางการเงินเหนือกว่าคู่แข่ง บริษัทไม่ได้มองว่าการไม่ได้คลื่นความถี่ 900 ในครั้งนี้จะเป็นปัญหาแต่เราคิดว่าเป็นโอกาส เพราะการเคาะราคาประมูลในแต่ละครั้งต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ของบริษัทและนักลงทุน การทำงานของกลุ่มบริษัทมีระบบ มีการวิเคราะห์จึงตัดสินใจกล้าที่จะออกมา"

          การตัดสินใจต้องมีเหตุมีผล
          "สมประสงค์" บอกต่ออีกว่าการประมูลในครั้งนั้นมีด้วยกัน 3 ทางเลือก ทางเลือกที่ 1 หลักวิทยาศาสตร์ การมีแบนด์วิดธ์จำนวน 3 แบนด์ก่อให้เกิดเน็ตเวิร์กที่ประหยัดกว่า หมายถึงคลื่นความถี่ 2100-900 และ 1800 เมกะเฮิรตซ์ การลงทุนจะประหยัด ซึ่งความถี่ในแต่ละคลื่นนั้นไม่ได้มาฟรีๆ ดังนั้นนอกจากหลักวิทยาศาสตร์แล้ว ต้องคำนึงถึงหลักวิศวกรรมเช่นเดียวกัน ไม่ใช่มีคลื่นเท่าไหร่ก็จะต้องได้ทั้งหมด

          ทางเลือกที่ 2 คือ หลักเศรษฐศาสตร์ ต้องดูต้นทุนค่าใช้จ่าย (additional cost) เท่าไหร่ และต้องคำนึงถึงต้นทุนรายได้ (additional revenue) อีกด้วย และทางเลือกที่ 3 คือ หลักธรรมาภิบาลเพราะผมและทีมผู้บริหารอยู่ในห้องประมูลทุกๆ ครั้งที่คีย์หรือเคาะราคาต้องเคาะและจ่ายจริงๆ  ไม่ใช่พอประมูลได้คลื่นความถี่ไปแล้ว 3-4 ปีไม่จ่ายค่าใบอนุญาต ทำอย่างนั้นไม่ได้เสียศักดิ์ศรี เสียหน้า เพราะฉะนั้นการตัดสินใจต้องมีเหตุผลและผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นและนักลงทุน

          ลั่นไม่แพ้ประมูล
          นอกจากนี้ นายสมประสงค์ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า "เราไม่แพ้ประมูลในครั้งนี้ เราไม่เอาเพราะราคาสูงเกินไป" จำนวนเงินที่ไม่ต้องจ่ายค่าใบอนุญาติในครั้งนี้ นำไปซื้ออุปกรณ์ขยายเครือข่ายและดูแลลูกค้าผู้ใช้บริการของเอไอเอส เพราะฉะนั้นทั้ง 2 ส่วน คือ วิศวกรรมศาสตร์และมาร์เก็ตติ้ง

          "ผมกำหนดและตัดสินใจอยู่บนหลักวิศวกรรมศาสตร์และมาร์เก็ตติ้งเพราะการตัดสินใจต้องคุ้มค่าและได้ประโยชน์เพราะเราไม่ใช่เจ้าของ มั่นใจบริษัทเดินมาถูกทางและเป็นที่เห็นพ้องต้องกันของผู้บริหารทั้ง 10 คนที่ตัดสินใจไม่เคาะราคาต่อเพราะการลงทุนต้องมีระยะยาว"

          สงครามราคาเกิดยาก
          แม้จะมีผู้ประกอบการรายที่ 4 (หมายถึงบริษัท แจส โมบายบรอดแบนด์ จำกัด) เข้ามาในตลาดโทรคมนาคมนั้น แล้วจะทำให้เกิดการตัดราคาค่าบริการลงไป ไม่ได้ดูบริบทในขณะนี้เพราะผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่เกิน 100% และ ผู้ใช้บริการโน้มเอียงไปใช้บริการด้านดาต้า (ข้อมูล) เพราะเร็วกว่าเสียง (voice) เนื่อง จากการให้บริการดาต้าเร็วขึ้นกว่าเดิม จะดำเนินธุรกิจได้ต้องเรื่องเครือข่ายมีความจำเป็นค่อนข้างสูงในระดับที่แข่งขันได้ เพราะฉะนั้นผู้เข้ามาใหม่ต้องพิจารณาค่าใบอนุญาต และการสร้างเครือข่ายเมื่อไหร่แล้วเสร็จ เพราะการติดตั้งเน็ตเวิร์กต้องหาสถานที่เพราะเป็นงานด้านวิศวกรรมไม่ใช่ทำบนกระดาษ ปัจจุบัน เอไอเอสมีสถานีฐานจำนวน 3 หมื่นสถานีมีการติดตั้งเครือข่ายแต่ละครั้งต้องสำรวจพื้นที่ ต้องเดินสายระบบสื่อสัญญาณไฟเบอร์ออพติก สิ่งเหล่านี้รายใหม่จะเอามาจากไหน

          นอกเหนือจากการติดตั้งสถานีฐานแล้ว เรื่องการลงทุนนั้นใช้เงินที่ค่อนข้างมาก นอกจากราคาใบอนุญาตที่จะต้องจ่ายในปีแรกแล้ว เงินทุนที่ต้องลงทุนโครงข่ายและอื่นๆ ระหว่างทางที่จะต้องจ่ายค่าใบอนุญาตอีกครั้งในปีที่ 4 นั้น บริษัทจะต้องสร้างรายได้ด้วย ดังนั้นการตัดราคาค่าบริการในตลาดคงทำได้ยาก ส่วนสภาพหลังการประมูลคลื่น 4จี ทำให้หุ้นของทุกค่ายลดลง ไม่ใช่แค่กลุ่มอินทัช แต่ยังเชื่อว่าเป็นไปตามสภาวะของตลาดหุ้นทั่วโลกที่ผันผวนในระยะสั้น ไม่ได้เกี่ยวกับบริษัท ในอดีตเคยเกิดปัญหาหุ้นตกมาก่อน และผมเคยแก้ปัญหาด้วยการซื้อหุ้นคืน และ คาดว่าตลาดน่าจะกลับมาฟื้นตัวได้

          ลูกค้า 12 ล.ราย ไม่หลุดมือแน่
          สำหรับผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่จำนวน 12 ล้านรายซึ่งอยู่ในคลื่นความถี่ 900 เมกะเฮิรตซ์จำนวน 1 ล้านราย และส่วนที่เหลืออยู่ในบริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด หรือ เอดับบลิวเอ็น นั้น ลูกค้าในกลุ่มนี้ ซิมการ์ดรองรับระบบ 3 จี แต่อุปกรณ์โทรศัพท์ยังไม่รองรับนั้น เอไอเอส รู้จักฐานลูกค้าในกลุ่มนี้เป็นอย่างดี และได้จัดรายการส่งเสริมการขายให้กับลูกค้ากลุ่มนี้ด้วยการแจกเครื่องฟรี ซึ่งทำได้เร็วกว่าผู้ประกอบการรายอื่น เพราะได้มีการสื่อสารด้วยการส่งข้อความสั้นหรือ SMS ไปหากลุ่มลูกค้ากลุ่มนี้แล้ว และ อีกไม่นานลูกค้ากลุ่มนี้จะเข้ามาในระบบของเอไอเอส อย่างแน่นอน

"เราไม่แพ้ประมูลในครั้งนี้เหตุผลที่บริษัทไม่เอาเพราะราคาสูงเกินไป"


แหล่งข่าว
หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับวันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2559 (หน้า 24)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่