สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 7
น้ำมูกกับเสมหะ มันเป็นญาติใกล้ชิดกัน
เกิดมาเพื่อให้ความชุ่มชื้นกับท่อทางเดินหายใจ
แล้วทำไมมันต้องชุ่มชื้นด้วยหล่ะ
คนเราหายใจเพื่อเอาอากาศเข้าปอด เพื่อแลกเปลี่ยนแก๊สออกซิเจน และคาร์บอนไดออกไซด์
การแลกเปลี่ยน เกิดขึ้นที่ถุงลมปอด โดยออกซิเจนจะแพร่จากอากาศผ่านเยื่อบุถุงลม ผ่านผนังหลอดเลือดฝอย เข้าสู่เม็ดเลือดแดง ไปเกาะกับฮีโมโกลบิน ในขณะที่คาร์บอนไดออกไซด์ (ส่วนใหญ่) ที่ละลายอยู่ในพลาสม่า ก็จะแพร่สวนทางออกไป
ซึ่งต้องอาศัยน้ำเป็นตัวกลางในการแพร่ทั้งกระบวนการ
ถุงลมจึงต้องเปียกชื้นอยู่ตลอดเวลา ถึงจะแลกเปลี่ยนแก๊สได้
อากาศที่จะเข้าไปถึงถุงลม จึงต้องมีความชื้นสูง เพื่อไม่ให้ไปดึงความชื้นออกจากถุงลมจนถุงลมแห้งได้
เยื่อบุทางเดินหายใจจึงต้องเปียกชื้น เพื่อเพิ่มความชื้นในอากาศที่หายใจเข้า ให้มากที่สุด
หน้าที่รองของน้ำมูกกับเสมหะก็คือ คอยดักจับฝุ่นละออง และสิ่งแปลกปลอมต่างๆไว้
ตามเยื่อบุท่อทางเดินหายใจ จะมีเซลที่มีหน้าที่สร้างสารคัดหลั่ง ผลิตเสมหะ
และมีเซลที่ผิวมีขนเล็กๆ ทำหน้าที่โบกให้เสมหะไหลขึ้นไปที่คอหอย กันไม่ให้เสมหะไหลย้อนกลับไปที่ปอด
ผสมกับการไอ เป็นกลไกกำจัดสิ่งแปลกปลอมไม้ให้เข้าไปถึงปอดได้
ในเสมหะก็จะมีเม็ดเลือดขาวออกมาคอยตรวจจับสิ่งแปลกปลอมอยู่ด้วย
เมื่อมีการติดเชื้อ เซลบุทางเดินหายใจจะเกิดความผิดปกติ อาจเกิดการตายของเซล
เซลที่ผิดปกติ หรือเซลที่ตาย จะหลั่งสารเพื่อส่งสัญญาณให้ร่างกายส่วนอื่นรู้ว่า มีความผิดปกติที่นี่
สารกลุ่มนี้จะทำให้เส้นเลือดบริเวณนี้นคลายตัว ทำให้มีเลือดมาเลี้ยงมากขึ้น และมีพลาสม่าซึมออกจากเส้นเลือดฝอยได้มากขึ้น
ทำให้เกิดอาการบวม แดง ร้อน มีการหลั่งสารคัดหลั่งมากขึ้น
มันยังกระตุ้นปลายประสาท ทำให้รู้สึกเจ็บ แล้วยังไปกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้ทำงาน เรียกเม็ดเลือดขาวให้มาชุมนุมกันมากขึ้น
ซึ่งเป็นอาการ "อักเสบ" ทำให้รู้ว่ามีปัญหาแล้วนะ และเริ่มกระบวนการต่อสู้กับสิ่งแปลกปลอม
ถ้ามากจนแพร่ไปทั่วตัว ก็จะทำให้เกิดอาการไข้ได้ เพื่อเพิ่มอุณหภูมิไปที่อุณหภูมิที่ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดี
สารคัดหลังที่มากขึ้น ก็เพื่อให้มีการดักจับสิ่งแปลกปลอม และมีการกำจัดสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาแล้วได้ดีขึ้น
ถ้าสิ่งแปลกปลอมเป็นแบคทีเรีย ก็จะเกิดการต่อสู้กันระหว่างเม็ดเลือดขาวกับแบคทีเรีย โดยเม็ดเลือดขาวจะกินแบคทีเรีย แล้วก็ทำลายตัวมันเอง กลายเป็นหนอง จึงเป็นเหตุว่าถ้าเสมหะมีสีเหลือง แสดงว่าน่าจะติดเชื้อแบคทีเรีย
ถ้าติดเชื้อไวรัส หรือเกิดการระคายเคืองจากเหตุอื่น เสมหะมักจะเป็นสีขาว หรือใส
ปล. สารที่เซลหลั่งเมื่อเกิดการอักเสบ มีมากหลายชนิดครับ เช่น Bradykinin, Serotonin สารกลุ่ม Progtaglandin สารกลุ่ม Interleukin ฯลฯ แต่ละชนิดก็มีหน้าที่ของมันเอง
Histamine เป็นหนึ่งในสารกลุ่มนั้น
เกิดมาเพื่อให้ความชุ่มชื้นกับท่อทางเดินหายใจ
แล้วทำไมมันต้องชุ่มชื้นด้วยหล่ะ
คนเราหายใจเพื่อเอาอากาศเข้าปอด เพื่อแลกเปลี่ยนแก๊สออกซิเจน และคาร์บอนไดออกไซด์
การแลกเปลี่ยน เกิดขึ้นที่ถุงลมปอด โดยออกซิเจนจะแพร่จากอากาศผ่านเยื่อบุถุงลม ผ่านผนังหลอดเลือดฝอย เข้าสู่เม็ดเลือดแดง ไปเกาะกับฮีโมโกลบิน ในขณะที่คาร์บอนไดออกไซด์ (ส่วนใหญ่) ที่ละลายอยู่ในพลาสม่า ก็จะแพร่สวนทางออกไป
ซึ่งต้องอาศัยน้ำเป็นตัวกลางในการแพร่ทั้งกระบวนการ
ถุงลมจึงต้องเปียกชื้นอยู่ตลอดเวลา ถึงจะแลกเปลี่ยนแก๊สได้
อากาศที่จะเข้าไปถึงถุงลม จึงต้องมีความชื้นสูง เพื่อไม่ให้ไปดึงความชื้นออกจากถุงลมจนถุงลมแห้งได้
เยื่อบุทางเดินหายใจจึงต้องเปียกชื้น เพื่อเพิ่มความชื้นในอากาศที่หายใจเข้า ให้มากที่สุด
หน้าที่รองของน้ำมูกกับเสมหะก็คือ คอยดักจับฝุ่นละออง และสิ่งแปลกปลอมต่างๆไว้
ตามเยื่อบุท่อทางเดินหายใจ จะมีเซลที่มีหน้าที่สร้างสารคัดหลั่ง ผลิตเสมหะ
และมีเซลที่ผิวมีขนเล็กๆ ทำหน้าที่โบกให้เสมหะไหลขึ้นไปที่คอหอย กันไม่ให้เสมหะไหลย้อนกลับไปที่ปอด
ผสมกับการไอ เป็นกลไกกำจัดสิ่งแปลกปลอมไม้ให้เข้าไปถึงปอดได้
ในเสมหะก็จะมีเม็ดเลือดขาวออกมาคอยตรวจจับสิ่งแปลกปลอมอยู่ด้วย
เมื่อมีการติดเชื้อ เซลบุทางเดินหายใจจะเกิดความผิดปกติ อาจเกิดการตายของเซล
เซลที่ผิดปกติ หรือเซลที่ตาย จะหลั่งสารเพื่อส่งสัญญาณให้ร่างกายส่วนอื่นรู้ว่า มีความผิดปกติที่นี่
สารกลุ่มนี้จะทำให้เส้นเลือดบริเวณนี้นคลายตัว ทำให้มีเลือดมาเลี้ยงมากขึ้น และมีพลาสม่าซึมออกจากเส้นเลือดฝอยได้มากขึ้น
ทำให้เกิดอาการบวม แดง ร้อน มีการหลั่งสารคัดหลั่งมากขึ้น
มันยังกระตุ้นปลายประสาท ทำให้รู้สึกเจ็บ แล้วยังไปกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้ทำงาน เรียกเม็ดเลือดขาวให้มาชุมนุมกันมากขึ้น
ซึ่งเป็นอาการ "อักเสบ" ทำให้รู้ว่ามีปัญหาแล้วนะ และเริ่มกระบวนการต่อสู้กับสิ่งแปลกปลอม
ถ้ามากจนแพร่ไปทั่วตัว ก็จะทำให้เกิดอาการไข้ได้ เพื่อเพิ่มอุณหภูมิไปที่อุณหภูมิที่ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดี
สารคัดหลังที่มากขึ้น ก็เพื่อให้มีการดักจับสิ่งแปลกปลอม และมีการกำจัดสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาแล้วได้ดีขึ้น
ถ้าสิ่งแปลกปลอมเป็นแบคทีเรีย ก็จะเกิดการต่อสู้กันระหว่างเม็ดเลือดขาวกับแบคทีเรีย โดยเม็ดเลือดขาวจะกินแบคทีเรีย แล้วก็ทำลายตัวมันเอง กลายเป็นหนอง จึงเป็นเหตุว่าถ้าเสมหะมีสีเหลือง แสดงว่าน่าจะติดเชื้อแบคทีเรีย
ถ้าติดเชื้อไวรัส หรือเกิดการระคายเคืองจากเหตุอื่น เสมหะมักจะเป็นสีขาว หรือใส
ปล. สารที่เซลหลั่งเมื่อเกิดการอักเสบ มีมากหลายชนิดครับ เช่น Bradykinin, Serotonin สารกลุ่ม Progtaglandin สารกลุ่ม Interleukin ฯลฯ แต่ละชนิดก็มีหน้าที่ของมันเอง
Histamine เป็นหนึ่งในสารกลุ่มนั้น
แสดงความคิดเห็น
เวลาคนเราไม่สบาย เช่น เจ็บคอ ไอ เป็นไข้หวัด ทำไมต้องสร้าง"เสมหะหรือเสลด"ขึ้นมาด้วยครับ
ขอบคุณครับ