=================
นิทานกลางใจ
เรื่อง ธุลีในสายลม
=================
Psycho G.
กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว....
เขาไม่ทราบไม่เคยสนใจว่าตนเองก่อเกิดขึ้นมาได้อย่างไรและทำไม แต่เขารับรู้ตัวเองได้ว่าเป็นเศษเสี้ยวธุลีดินฝุ่นผงกลุ่มหนึ่งพัดพาไปตามสายลมอย่างไร้ค่าท่ามกลางสายธารของกาลเวลา
เคยพัดผ่านผืนดินระอุร้อนวุ่นวายสับสน เคยไปเยือนโลกเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวอ้างว้างเยือกเย็น บางครั้งนอนสัมผัสความบันเทิงเริงรื่นจากบทเพลงธรรมชาติ บางครารับรู้สายลมโรยเพ้อพิไรเหงาเศร้าคร่ำครวญ เขาเก็บเกี่ยวประสบการณ์เรื่องราวมากมายหลายหลากไว้ในลิ้นชักความทรงจำ วันใดไร้แรงลม เขาเพียงพักใจสงบนิ่งรอคอยอย่างเยือกเย็นไม่กังวลทุกข์ร้อน
วันนี้เขาได้ยินเสียงกระซิบแผ่วแว่วมาจากสุดฟากฟ้าไกลในสายลมอ่อนล้า ราวเสียงครวญจากสิ่งกำลังจะแตกดับลับสลาย เขาเคยได้ยินเสียงมากมายหลายหลาก แต่ไม่มีครั้งใดจะรู้สึกว่าถูกกระทบส่วนลึกล้ำบอบบางที่สุดของความรู้สึกอย่างนี้มาก่อน
เขาถามสายลมผู้พัดพามาเยือน วานสายลมหอบธุลีดินบินไปหา
เธอเป็นกุหลาบต้นหนึ่ง
กุหลาบเพียงต้นเดียวขึ้นอยู่ในดินแดนเงียบเหงาอ้างว้างเยือกเย็น ใครกันนะใจร้ายนำเธอมาทิ้งไว้กลางทุ่งหญ้ากว้างเปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง
เธอกำลังอ่อนระโหยโรยแรงกับทุกสิ่งทุกอย่างกิ้งก้านกลีบดอกบอบบางไหวสั่นราวจะปลิดปลิวลิ่วหลุดลอย
หรือกุหลาบจำเป็นต้องเกิดมาเพื่อมีคนดูแลเท่านั้น
สายลมแสนดีหอบพัดพาเขามาหากุหลาบแสนเศร้าผู้อยู่กลางทุ่งกว้างอันแห้งแล้งอย่างไม่น่าเชื่อว่าจะมีกุหลาบเกิดขึ้นได้ คำตอบเรื่องนี้คงวางอยู่กลางอากาศ
“ทำไมคุณมาอยู่ที่นี่ต้นเดียวล่ะ”
เขาถามขณะลอยวนเวียนไปรอบตัวเธอตามสายลมหวนดูท่าทีพักหนึ่ง ก่อนโรยรายปรายโปรยตัวเองลงกับพื้นรอบต้นกุหลาบ
“ไม่ทราบค่ะ” เธอร้องอย่างดีใจ
“โอ...ฉันนึกว่าต้องอยู่ต้นเดียวตลอดไปไม่มีใครมาทักทายเสียอีก”
“ความจริงมีผืนป่าเต็มไปด้วยดอกไม้มากมาย มีดินแดนสวยงามอุดมสมบูรณ์ไกลออกไปทางทิศตะวันออก” เขาบอก
“แต่ฉันไปไม่ได้หรอกค่ะ ไม่มีสิ่งใดสามารถพัดพาไปได้แม้แต่สายลม”
“อืม….”
“และก็ไม่มีสิ่งใดอยากมาที่นี่….มันอ้างว้างเยือกเย็นเกินไปค่ะ”
“น่าสงสารจัง….แต่เชื่อเถอะสักวันคุณต้องได้อยู่ในดินแดนสวยงามแน่นอน...บางทีโอกาสและเวลาก็รอจังหวะเหมาะสมของมันเหมือนกันนะ”
กุหลาบต้นนี้โดดเดี่ยวจริงๆ อยู่ในดินแดนแสนอ้างว้าง สายฝนหมางเมินขาดหายไปนาน เพียงมีสายลมใจดีพยายามหอบไอน้ำมากลั่นตัวเป็นหยดน้ำค้างยามเช้าน้อยนิดพอประทังชีวิตไปในแต่ละวัน
“อยู่เป็นเพื่อนกันนะคะ อย่าเพิ่งหนีไปไหน”
“ผมจะอยู่เป็นเพื่อนคุณตลอดไป”
เขาเพียรเฝ้าปลอบใจคอยพูดคุยกุหลาบให้อดทนรอวันฟ้ากระจ่างสดใสที่มีสายลมเฉื่อยฉิวมวลหมู่พฤกษานานาพันธุ์งอกงามขึ้นมาร่ายรำกระซิบสายลมโชยพัดสะบัดกิ่งใบท่ามกลางหมู่ภมรโบยบิน
แต่กุหลาบดูอ่อนล้าลงทุกวัน
กิ่งก้านและใบของเธอนับวันดูซีดเซียวลงทุกที แม้สายลมพยายามพัดหยอกเย้าเธอยังซึมเซาเหงาหงอย แม้ว่าเขาพยายามให้กำลังใจ
“เธอเป็นอะไร” เขาแอบถามสายลมในวันหนึ่ง
“เธอกำลังจะตายเพราะขาดปุ๋ย...ดินแดนแห่งนี้ไม่เพียงเหงาเหงาอ้างว้างเท่านั้น พื้นกินยังขาดธาตุอาหารเพราะขาดน้ำ”
เขาใจหายวาบ
มันน่าเศร้าเหลือเกินเมื่อรับรู้ความจริงว่ากุหลาบสวยต้นหนึ่งกำลังจะตาย ยิ่งเป็นการตายอันเงียบเหงาเพียงลำพังยิ่งกระทบกระเทือนจิตใจมากเป็นพิเศษ อย่าว่าแต่สายใยแห่งมิตรภาพสวยงามกำลังก่อตัวขึ้นมาอย่างแช่มช้ามั่นคงทำให้ความอ่อนไหวรุนแรงมากขึ้น
เขาวานวอนอ้อนสายลมว่าพรุ่งนี้เช้าช่วยพาไอน้ำมาให้มากเป็นพิเศษ ตัดสินใจทำให้ตัวเองมีประโยชน์มีคุณค่าสักครั้งในชีวิตของการเป็นธุลีในสายลม
สนธยามาเยือน กุหลาบกำลังจะหลับใหลเช่นทุกคืน เพราะเธอเป็นกุหลาบยามขาดแสงจำเป็นต้องพักผ่อนหลับนอน
“คืนนี้ผมจะไปไกลแสนไกล จะไม่ได้มาคุยกับคุณอีกแล้ว”
เขาบอกต้นกุหลาบ พยายามบังคับจิตใจไม่ให้อารมณ์ร้าวรานออกมาจากการสะกดกลั้น
“ทำไมล่ะคะ”
“มันเป็นความจำเป็นของเศษธุลีกองหนึ่ง บางครั้งไม่ว่าใครก็ต้องมีเรื่องจำเป็นของตนเอง”
“คุณผิดสัญญา...ไหนบอกจะอยู่คุยกับฉันตลอดไป”
กุหลาบคล้ายกำลังหลั่งน้ำตา แต่เพราะเป็นกุหลาบจึงไม่สามารถมีน้ำตา แต่บางครั้งการไม่ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมากลับดูเจ็บช้ำขมขื่นมากกว่าหลั่งธารน้ำตาเสียอีก
“สัญญาไม่เป็นสัญญา”
“สายลมบอกว่าอีกไม่นานฤดูกาลอันอุดมสมบูรณ์จะมาเยือนที่นี่ ผมสัมผัสได้ถึงจิตวิญญานของบรรพบุรุษของคุณฝังตัวอยู่ใต้พื้นดิน เพียงคุณรอไปอีกสักระยะรับรองดินแดนในฝันจะมาเยือนแน่นอนรับรอง”
“แต่คุณผิดสัญญา” ต้นกุหลาบเฝ้าตัดพ้อต่อว่ากระทั่งเหนื่อยหมดแรงหลับไปในที่สุด
“ผมไม่ได้ผิดสัญญาหรอก”
เขากระซิบด้วยความหม่นเศร้าแต่ต้นกุหลาบไม่ได้รับรู้ประโยคสุดท้ายอันสะท้านไปด้วยความรู้สึก
รุ่งขึ้นกุหลาบตื่นขึ้นมาก็ไม่ได้สัมผัสความคุ้นเคยของธุลีดินอีกแล้ว หรือว่าธุลีในสายลมพัดพาลาหายไป ณ ดินแดนแสนไกล
“ทำไมไม่รักษาสัญญา ทิ้งฉันอยู่เดียวดาย” เธอคร่ำครวญกับสายลมอย่างเศร้าสร้อยหดหู่ สายลมเพียงปลอบใจให้เธอรอคอย
ดังนั้นกุหลาบจึงเฝ้ารอ หวังว่าจะได้สัมผัสความรู้สึกคุ้นเคยปลอบประโลมของธุลีในสายลม หวังว่าตื่นเช้ามาจะได้รับรู้การทักทายอย่างที่เคยผ่านมา
วันเวลาผ่านไป ข่าวของธุลีในสายลมยังว่างเปล่า
กุหลาบยังไม่ตาย หรือเป็นเพราะการตั้งใจรอคอย บางทีมีสายลมเท่านั้นที่รู้
ในที่สุดฤดูกาลอันอุดมสมบูรณ์ก็มาถึง สายลมพัดพาเมฆฝนสร้างสายน้ำใสไหลเย็นฉ่ำมาฝาก สายฝนพร่างพรมยาวนานช่วยสร้างความอุดมสมบูรณ์ของแร่ธาตุกลับคืนมาให้มวลพฤกษานานาพันธ์ที่เริ่มพลิกฟื้นขึ้นมาจากพื้นดิน…ไม่นานทุ่งกว้างก็กลับกลายเป็นดินแดนในฝันของต้นกุหลาบ มีเพื่อนใหม่มากมายหลายหลาก มีเรื่องพูดคุยกันไม่รู้จักจบสิ้นความสดใสมีชีวิตชีวากระจายอยู่ทั่วทุกพื้นที่
แต่ธุลีในสายลมไปไหนแล้ว
…….
ธุลีดินไม่ได้ผิดสัญญา
วันนั้นเขาวานให้ลมหอบเขาไปกองฝุ่นธุลีดินบริเวณโคนต้นของกุหลาบ ย่อยสลายตัวเองลงเป็นองค์ประกอบพื้นฐานแห่งความเป็นธุลีดินกลายเป็นปุ๋ยผสมน้ำค้างยามเช้าหล่อเลี้ยงเติมต่อชีวิตของต้นกุหลาบให้ยืนยงต่อไปจนถึงวันเวลาดินแดนในฝันมาเยือน
เขาอยู่กับเธอจนวาระสุดท้ายของความเป็นธุลีในสายลม การการสละตนเองอย่างไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ ไม่เรียกร้องความถูกต้อง ไม่อธิบาย ยอมให้ถูกเข้าใจผิดว่าไม่รักษาสัญญา โดยไม่จำเป็นต้องแก้ตัว
สายลมไม่ได้บอกเรื่องนี้กับต้นกุหลาบ ไม่ว่าช่วงใดก็ไม่เหมาะไม่ควรจะบอกความจริง...ความจริงบางครั้งโหดร้ายเกินไป และบางครั้งก็ไร้ประโยชน์ ไม่ว่าอย่างไรมันก็จะผ่านไป
เป็นเวลาเช้างดงาม
ทะเลบุปผาไหวเอนเริงร่าร่ายระบำ หมู่ผีเสื้อโบยบินท่ามกลางกลิ่นจรุงปรุงแต่งจากธรรมชาติ วิหคขับขานเจื้อยแจ้วแว่วบทเพลงธรรมชาติขับกล่อม สรรพสิ่งสามารถเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาไม่มีทุกข์สุขใดจีรังยั่งยืน สายลมพัดพาผ่านทะเลบุปผาวันนั้นคล้ายการสั่งลาแต่กุหลาบได้ยินหรือไม่
ไม่ทราบว่าเธอยังคงคิดถึงธุลีในสายลมหรือไม่ แต่ไม่สำคัญอะไรอีกต่อไป โลกใหม่ของกุหลาบสวยงามเกินกว่าจะหวนย้อนคิดถึงความหลังอันแสนเศร้าให้เสียเวลา
เช้าวันนั้น...น้ำค้างลงจับพื้นที่ในทุ่งสวยมากเป็นพิเศษ หรือว่าเป็นน้ำตาของสายลมผู้รับเอาสุขทุกข์มวลหมู่สรรพสิ่งตลอดมา
และวันนั้นเอง สายลมพัดพาลาจากทุ่งกว้างสวยงาม...ออกไปยังดินแดนสุดสายปลายฝันอันแสนไกล

จบนิทานเรื่องที่ 1
นิทานกลางใจ......เรื่อง ธุลีในสายลม
นิทานกลางใจ
เรื่อง ธุลีในสายลม
=================
Psycho G.
กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว....
เขาไม่ทราบไม่เคยสนใจว่าตนเองก่อเกิดขึ้นมาได้อย่างไรและทำไม แต่เขารับรู้ตัวเองได้ว่าเป็นเศษเสี้ยวธุลีดินฝุ่นผงกลุ่มหนึ่งพัดพาไปตามสายลมอย่างไร้ค่าท่ามกลางสายธารของกาลเวลา
เคยพัดผ่านผืนดินระอุร้อนวุ่นวายสับสน เคยไปเยือนโลกเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวอ้างว้างเยือกเย็น บางครั้งนอนสัมผัสความบันเทิงเริงรื่นจากบทเพลงธรรมชาติ บางครารับรู้สายลมโรยเพ้อพิไรเหงาเศร้าคร่ำครวญ เขาเก็บเกี่ยวประสบการณ์เรื่องราวมากมายหลายหลากไว้ในลิ้นชักความทรงจำ วันใดไร้แรงลม เขาเพียงพักใจสงบนิ่งรอคอยอย่างเยือกเย็นไม่กังวลทุกข์ร้อน
วันนี้เขาได้ยินเสียงกระซิบแผ่วแว่วมาจากสุดฟากฟ้าไกลในสายลมอ่อนล้า ราวเสียงครวญจากสิ่งกำลังจะแตกดับลับสลาย เขาเคยได้ยินเสียงมากมายหลายหลาก แต่ไม่มีครั้งใดจะรู้สึกว่าถูกกระทบส่วนลึกล้ำบอบบางที่สุดของความรู้สึกอย่างนี้มาก่อน
เขาถามสายลมผู้พัดพามาเยือน วานสายลมหอบธุลีดินบินไปหา
เธอเป็นกุหลาบต้นหนึ่ง
กุหลาบเพียงต้นเดียวขึ้นอยู่ในดินแดนเงียบเหงาอ้างว้างเยือกเย็น ใครกันนะใจร้ายนำเธอมาทิ้งไว้กลางทุ่งหญ้ากว้างเปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง
เธอกำลังอ่อนระโหยโรยแรงกับทุกสิ่งทุกอย่างกิ้งก้านกลีบดอกบอบบางไหวสั่นราวจะปลิดปลิวลิ่วหลุดลอย
หรือกุหลาบจำเป็นต้องเกิดมาเพื่อมีคนดูแลเท่านั้น
สายลมแสนดีหอบพัดพาเขามาหากุหลาบแสนเศร้าผู้อยู่กลางทุ่งกว้างอันแห้งแล้งอย่างไม่น่าเชื่อว่าจะมีกุหลาบเกิดขึ้นได้ คำตอบเรื่องนี้คงวางอยู่กลางอากาศ
“ทำไมคุณมาอยู่ที่นี่ต้นเดียวล่ะ”
เขาถามขณะลอยวนเวียนไปรอบตัวเธอตามสายลมหวนดูท่าทีพักหนึ่ง ก่อนโรยรายปรายโปรยตัวเองลงกับพื้นรอบต้นกุหลาบ
“ไม่ทราบค่ะ” เธอร้องอย่างดีใจ
“โอ...ฉันนึกว่าต้องอยู่ต้นเดียวตลอดไปไม่มีใครมาทักทายเสียอีก”
“ความจริงมีผืนป่าเต็มไปด้วยดอกไม้มากมาย มีดินแดนสวยงามอุดมสมบูรณ์ไกลออกไปทางทิศตะวันออก” เขาบอก
“แต่ฉันไปไม่ได้หรอกค่ะ ไม่มีสิ่งใดสามารถพัดพาไปได้แม้แต่สายลม”
“อืม….”
“และก็ไม่มีสิ่งใดอยากมาที่นี่….มันอ้างว้างเยือกเย็นเกินไปค่ะ”
“น่าสงสารจัง….แต่เชื่อเถอะสักวันคุณต้องได้อยู่ในดินแดนสวยงามแน่นอน...บางทีโอกาสและเวลาก็รอจังหวะเหมาะสมของมันเหมือนกันนะ”
กุหลาบต้นนี้โดดเดี่ยวจริงๆ อยู่ในดินแดนแสนอ้างว้าง สายฝนหมางเมินขาดหายไปนาน เพียงมีสายลมใจดีพยายามหอบไอน้ำมากลั่นตัวเป็นหยดน้ำค้างยามเช้าน้อยนิดพอประทังชีวิตไปในแต่ละวัน
“อยู่เป็นเพื่อนกันนะคะ อย่าเพิ่งหนีไปไหน”
“ผมจะอยู่เป็นเพื่อนคุณตลอดไป”
เขาเพียรเฝ้าปลอบใจคอยพูดคุยกุหลาบให้อดทนรอวันฟ้ากระจ่างสดใสที่มีสายลมเฉื่อยฉิวมวลหมู่พฤกษานานาพันธุ์งอกงามขึ้นมาร่ายรำกระซิบสายลมโชยพัดสะบัดกิ่งใบท่ามกลางหมู่ภมรโบยบิน
แต่กุหลาบดูอ่อนล้าลงทุกวัน
กิ่งก้านและใบของเธอนับวันดูซีดเซียวลงทุกที แม้สายลมพยายามพัดหยอกเย้าเธอยังซึมเซาเหงาหงอย แม้ว่าเขาพยายามให้กำลังใจ
“เธอเป็นอะไร” เขาแอบถามสายลมในวันหนึ่ง
“เธอกำลังจะตายเพราะขาดปุ๋ย...ดินแดนแห่งนี้ไม่เพียงเหงาเหงาอ้างว้างเท่านั้น พื้นกินยังขาดธาตุอาหารเพราะขาดน้ำ”
เขาใจหายวาบ
มันน่าเศร้าเหลือเกินเมื่อรับรู้ความจริงว่ากุหลาบสวยต้นหนึ่งกำลังจะตาย ยิ่งเป็นการตายอันเงียบเหงาเพียงลำพังยิ่งกระทบกระเทือนจิตใจมากเป็นพิเศษ อย่าว่าแต่สายใยแห่งมิตรภาพสวยงามกำลังก่อตัวขึ้นมาอย่างแช่มช้ามั่นคงทำให้ความอ่อนไหวรุนแรงมากขึ้น
เขาวานวอนอ้อนสายลมว่าพรุ่งนี้เช้าช่วยพาไอน้ำมาให้มากเป็นพิเศษ ตัดสินใจทำให้ตัวเองมีประโยชน์มีคุณค่าสักครั้งในชีวิตของการเป็นธุลีในสายลม
สนธยามาเยือน กุหลาบกำลังจะหลับใหลเช่นทุกคืน เพราะเธอเป็นกุหลาบยามขาดแสงจำเป็นต้องพักผ่อนหลับนอน
“คืนนี้ผมจะไปไกลแสนไกล จะไม่ได้มาคุยกับคุณอีกแล้ว”
เขาบอกต้นกุหลาบ พยายามบังคับจิตใจไม่ให้อารมณ์ร้าวรานออกมาจากการสะกดกลั้น
“ทำไมล่ะคะ”
“มันเป็นความจำเป็นของเศษธุลีกองหนึ่ง บางครั้งไม่ว่าใครก็ต้องมีเรื่องจำเป็นของตนเอง”
“คุณผิดสัญญา...ไหนบอกจะอยู่คุยกับฉันตลอดไป”
กุหลาบคล้ายกำลังหลั่งน้ำตา แต่เพราะเป็นกุหลาบจึงไม่สามารถมีน้ำตา แต่บางครั้งการไม่ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมากลับดูเจ็บช้ำขมขื่นมากกว่าหลั่งธารน้ำตาเสียอีก
“สัญญาไม่เป็นสัญญา”
“สายลมบอกว่าอีกไม่นานฤดูกาลอันอุดมสมบูรณ์จะมาเยือนที่นี่ ผมสัมผัสได้ถึงจิตวิญญานของบรรพบุรุษของคุณฝังตัวอยู่ใต้พื้นดิน เพียงคุณรอไปอีกสักระยะรับรองดินแดนในฝันจะมาเยือนแน่นอนรับรอง”
“แต่คุณผิดสัญญา” ต้นกุหลาบเฝ้าตัดพ้อต่อว่ากระทั่งเหนื่อยหมดแรงหลับไปในที่สุด
“ผมไม่ได้ผิดสัญญาหรอก”
เขากระซิบด้วยความหม่นเศร้าแต่ต้นกุหลาบไม่ได้รับรู้ประโยคสุดท้ายอันสะท้านไปด้วยความรู้สึก
รุ่งขึ้นกุหลาบตื่นขึ้นมาก็ไม่ได้สัมผัสความคุ้นเคยของธุลีดินอีกแล้ว หรือว่าธุลีในสายลมพัดพาลาหายไป ณ ดินแดนแสนไกล
“ทำไมไม่รักษาสัญญา ทิ้งฉันอยู่เดียวดาย” เธอคร่ำครวญกับสายลมอย่างเศร้าสร้อยหดหู่ สายลมเพียงปลอบใจให้เธอรอคอย
ดังนั้นกุหลาบจึงเฝ้ารอ หวังว่าจะได้สัมผัสความรู้สึกคุ้นเคยปลอบประโลมของธุลีในสายลม หวังว่าตื่นเช้ามาจะได้รับรู้การทักทายอย่างที่เคยผ่านมา
วันเวลาผ่านไป ข่าวของธุลีในสายลมยังว่างเปล่า
กุหลาบยังไม่ตาย หรือเป็นเพราะการตั้งใจรอคอย บางทีมีสายลมเท่านั้นที่รู้
ในที่สุดฤดูกาลอันอุดมสมบูรณ์ก็มาถึง สายลมพัดพาเมฆฝนสร้างสายน้ำใสไหลเย็นฉ่ำมาฝาก สายฝนพร่างพรมยาวนานช่วยสร้างความอุดมสมบูรณ์ของแร่ธาตุกลับคืนมาให้มวลพฤกษานานาพันธ์ที่เริ่มพลิกฟื้นขึ้นมาจากพื้นดิน…ไม่นานทุ่งกว้างก็กลับกลายเป็นดินแดนในฝันของต้นกุหลาบ มีเพื่อนใหม่มากมายหลายหลาก มีเรื่องพูดคุยกันไม่รู้จักจบสิ้นความสดใสมีชีวิตชีวากระจายอยู่ทั่วทุกพื้นที่
แต่ธุลีในสายลมไปไหนแล้ว
…….
ธุลีดินไม่ได้ผิดสัญญา
วันนั้นเขาวานให้ลมหอบเขาไปกองฝุ่นธุลีดินบริเวณโคนต้นของกุหลาบ ย่อยสลายตัวเองลงเป็นองค์ประกอบพื้นฐานแห่งความเป็นธุลีดินกลายเป็นปุ๋ยผสมน้ำค้างยามเช้าหล่อเลี้ยงเติมต่อชีวิตของต้นกุหลาบให้ยืนยงต่อไปจนถึงวันเวลาดินแดนในฝันมาเยือน
เขาอยู่กับเธอจนวาระสุดท้ายของความเป็นธุลีในสายลม การการสละตนเองอย่างไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ ไม่เรียกร้องความถูกต้อง ไม่อธิบาย ยอมให้ถูกเข้าใจผิดว่าไม่รักษาสัญญา โดยไม่จำเป็นต้องแก้ตัว
สายลมไม่ได้บอกเรื่องนี้กับต้นกุหลาบ ไม่ว่าช่วงใดก็ไม่เหมาะไม่ควรจะบอกความจริง...ความจริงบางครั้งโหดร้ายเกินไป และบางครั้งก็ไร้ประโยชน์ ไม่ว่าอย่างไรมันก็จะผ่านไป
เป็นเวลาเช้างดงาม
ทะเลบุปผาไหวเอนเริงร่าร่ายระบำ หมู่ผีเสื้อโบยบินท่ามกลางกลิ่นจรุงปรุงแต่งจากธรรมชาติ วิหคขับขานเจื้อยแจ้วแว่วบทเพลงธรรมชาติขับกล่อม สรรพสิ่งสามารถเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาไม่มีทุกข์สุขใดจีรังยั่งยืน สายลมพัดพาผ่านทะเลบุปผาวันนั้นคล้ายการสั่งลาแต่กุหลาบได้ยินหรือไม่
ไม่ทราบว่าเธอยังคงคิดถึงธุลีในสายลมหรือไม่ แต่ไม่สำคัญอะไรอีกต่อไป โลกใหม่ของกุหลาบสวยงามเกินกว่าจะหวนย้อนคิดถึงความหลังอันแสนเศร้าให้เสียเวลา
เช้าวันนั้น...น้ำค้างลงจับพื้นที่ในทุ่งสวยมากเป็นพิเศษ หรือว่าเป็นน้ำตาของสายลมผู้รับเอาสุขทุกข์มวลหมู่สรรพสิ่งตลอดมา
และวันนั้นเอง สายลมพัดพาลาจากทุ่งกว้างสวยงาม...ออกไปยังดินแดนสุดสายปลายฝันอันแสนไกล
จบนิทานเรื่องที่ 1