หัวหน้าศูนย์ความเป็นเลิศด้านการทดสอบวัคซีนทางคลินิก มหาวิทยาลัยมหิดลตำบลศาลายา จังหวัด นครปฐม เผยการพัฒนาวัคซีนเอดส์ของไทยให้ผลคืบหน้าเป็นที่น่าพอใจ คาดว่าปี 59 จะสรุปผลได้ แต่ยังหวั่นเรื่องของงบประมาณที่ไม่ต่อเนื่อง อาจเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้การวิจัยพัฒนาวัคซีน ต้องชะงัก!!....
จากข้อมูลการคาดประมาณการณ์จำนวนผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ของประเทศไทย พบว่าในช่วงปี 2555-2559 จะมีผู้ติดเชื้อรายใหม่รวม 43,040 ราย โดยแยกเป็นการติดเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างชายกับชาย ร้อยละ 41 จากพนักงานขายบริการและลูกค้า ร้อยละ 11 จากผู้ใช้ยาเสพติดด้วยวิธีฉีด เข้าเส้นร้อยละ 10 จากคู่ของตนเองโดยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีเชื้อเอชไอวี ร้อยละ 32 และจากคู่นอนแบบฉาบฉวยหรือนอกสมรส ร้อยละ 6 โดยพบว่ากลุ่มที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีมากที่สุด คือ “วัยรุ่น”
ที่น่าเป็นห่วงในขณะนี้ก็คือสถานการณ์การติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่มีแนวโน้มสูงขึ้นทุกปี โดยพบว่า จากปี พ.ศ.2551 - 2554 มีอัตราป่วยต่อแสนประชากร เท่ากับ 31.76 /37.22 / 40.12 และ 45.10 ตามลำดับ และถ้านับเฉพาะประชากรในกลุ่มอายุ 15-24 ปี จากปี พ.ศ.2551 - 2554 พบว่ามีอัตราป่วยต่อแสนประชากร เท่ากับ 62.79 / 76.49 / 79.75 และ 90.06 ตามลำดับ ซึ่งมีจำนวนมากเป็น 2 เท่าของอัตราป่วยทั้งประเทศ
“วัคซีนเอดส์” จึงเป็นความหวังที่จะช่วยลดและป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีในประชากรทุกกลุ่มของประเทศ และนับเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว ที่นักวิจัยไทยได้ทำการวิจัยและพัฒนาวัคซีนเอดส์มาอย่างต่อเนื่อง
ศ.พญ.พรรณี ปิติสุทธิธรรม หัวหน้าภาควิชาอายุรศาสตร์เขตร้อน หัวหน้าศูนย์ความเป็นเลิศด้านการทดสอบวัคซีนทางคลินิก มหาวิทยาลัยมหิดล ตำบลศาลายา จังหวัดนครปฐม ได้กล่าวถึงการนำเสนอ “สถานการณ์และความก้าวหน้าการวิจัยพัฒนาวัคซีนเอดส์ในประเทศไทยและนานาชาติ ในการประชุมวิชาการวัคซีนแห่งชาติ ครั้งที่ 5 ซึ่งจัดขึ้นเมื่อกลางเดือนกรกฎาคม2556 ที่ผ่านมาว่าขณะนี้โครงการทดสอบวัคซีนป้องกันโรคเอดส์ ที่ทำในประเทศไทยมีความคืบหน้าไปมาก จากการวิจัยเมื่อปี 2552 ในมนุษย์ระยะที่ 3 หรือ อาร์วี 144 ในกลุ่มผู้ใหญ่ที่ไม่ติดเชื้อ จำนวน 16,000 คนได้ข้อสรุปว่าวัคซีนดังกล่าวมีประสิทธิภาพสามารถลดโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีได้ถึง 31.2% จึงได้มีการศึกษาต่อเนื่องในโครงการอาร์วี 305 โดยการให้วัคซีนกระตุ้นในอาสาสมัครกลุ่มเดิมจำนวน 165 ราย ที่ได้รับวัคซีนครบและไม่ติดเชื้อโดยจะทำการฉีดจำนวน 2 ครั้ง ห่างกันครั้งละ 6 เดือน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการฉีดวัคซีนและติดตามผล และได้มีการต่อยอดเป็นโครงการอาร์วี 306 เพื่อศึกษาลักษณะการตอบสนองของภูมิคุ้มกันดั้งเดิมและภูมิคุ้มกันจำเพาะ ในสารคัดหลั่งจากเยื่อบุปากมดลูกและน้ำอสุจิ ซึ่งโครงการอาร์วี 306 นี้ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในคน คณะเวชศาสตร์เขตร้อนมหาวิทยาลัยมหิดลแล้ว และได้เริ่มดำเนินการมาแล้วตั้งแต่ 28 มกราคม 2556 โดยคาดว่าทั้งโครงการอาร์วี 305 และอาร์วี 306 จะสามารถสรุปผลได้ภายในปี 2559
"ทั้งนี้ตนมีความหวังว่า หากการวิจัยประสบความสำเร็จ วัคซีนดังกล่าวจะสามารถใช้ป้องกันโรคเอดส์ได้เหมือนกับวัคซีนป้องกันโรคต่างๆทั่วไป เพียงแต่จะใช้ไม่ได้ผลกับผู้ที่ติดเชื้อแล้วเท่านั้น"
ศ.พญ.สุพรรณี กล่าวอีกว่าในวันนี้การพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคเอดส์ของประเทศไทย จัดว่าได้ผลไปในทางที่ดี แต่ยังไม่สามารถการันตีได้ว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่ ซึ่งนักวิจัยด้านวัคซีนจะทราบดีว่า ความล้มเหลวในการวิจัยวัคซีนต่างๆสามารถเกิดขึ้นได้ทุกขั้นตอน และการวิจัยพัฒนาวัคซีนแต่ละชนิดต้องใช้เวลาที่ยาวนานมาก
“อย่างไรก็ตามสิ่งที่เป็นอุปสรรคสำคัญของนักวิจัยด้านวัคซีนก็คือเงินทุนในการสนับสนุนการวิจัยด้านวัคซีนที่ต่อเนื่อง อย่างกรณีของการวิจัยวัคซีนป้องกันโรคเอดส์ที่ได้รับการสนับสนุนทุนจากประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งตนเองก็คาดหวังว่าในอนาคตรัฐบาลไทยจะมีนโยบายที่ชัดเจนและให้การสนับสนุนทุนอย่างต่อเนื่องเช่นกัน เราลงทุนในแง่ของบุคลากรส่วนภาครัฐจะต้องหาแหล่งทุนสนับสนุน
“การมีสถาบันวัคซีนแห่งชาตินับว่าเป็นเรื่องที่ดี ที่มีหน่วยงานกลางในการเป็นผู้ผลักดันให้เกิดการจัดการความรู้ด้านวัคซีน การเผยแพร่ความรู้ด้านวัคซีนแบบบูรณาการ ครอบคลุมองค์ความรู้ตลอดวงจรการพัฒนาวัคซีน ตั้งแต่การพัฒนานโยบาย การวิจัยพัฒนา การผลิตและการใช้วัคซีนในระดับชาติ ซึ่งเป็นกลไกสำคัญอย่างหนึ่งที่สามารถเชื่อมโยงการขับเคลื่อนงานด้านวัคซีนให้เดินหน้า แต่เนื่องจากการวิจัยด้านวัคซีนมีความซับซ้อน ดังนั้นการมีเพียงหน่วยงานเดียวอาจจะไม่เพียงพอ ศ.พญ.สุพรรณี กล่าว
ในขณะที่ ดร. นพ.จรุง เมืองชนะ ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ (องค์การมหาชน) กล่าวว่าด้วยความที่วัคซีนเป็นธุรกิจอย่างเต็มตัว สิ่งที่ประเทศกำลังพัฒนาจะต้องประสบคือปัญหาการขาดแคลนวัคซีน และหากไม่มีการฉีดวัคซีนก็จะมีคนเสียชีวิตในโลกนี้ไม่ต่ำกว่า 15 ล้านคนต่อปี และหนทางให้ได้มาซึ่งวัคซีนก็ไม่ใช่ทางตรง แต่เป็นทางคดเคี้ยวและมีความเสี่ยงสูง
ปัจจุบันปริมาณการใช้วัคซีนในประเทศกำลังพัฒนามีมากถึง 88% ของตลาดรวมแต่มูลค่าวัคซีนมีเพียง 12% เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นวัคซีนราคาถูก ดังนั้นจึงไม่ดึงดูดใจในแง่การค้า เป็นผลให้การผลิตวัคซีนสำหรับประเทศที่กำลังพัฒนามีทิศทางลดลงอย่างชัดเจน หากบริษัทวัคซีนต่างๆหยุดผลิตปัญหาที่ตามมาคือไทยหรือบางประเทศก็ไม่สามารถสำรองวัคซีนเป็นจำนวนมากได้ และไทยอาจไม่สามารถหาซื้อวัคซีนติดต่อกันทุกปีได้ อีกทั้งแม้ประเทศจีน อินเดีย บอกว่าผลิตวัคซีนได้ในราคาถูก ดังนั้นจึงไม่ดึงดูดใจในแง่การค้า เป็นผลให้การผลิตวัคซีนสำหรับประเทศที่กำลังพัฒนามีทิศทางลดลงอย่างชัดเจน หากบริษัทวัคซีนต่างๆหยุดผลิตปัญหาที่ตามมาคือไทยหรือบางประเทศก็ไม่สามารถสำรองวัคซีนเป็นจำนวนมากได้ และไทยอาจไม่สามารถหาซื้อวัคซีนติดต่อกันทุกปีได้ อีกทั้งแม้ประเทศจีน อินเดีย บอกว่าผลิตวัคซีนได้ในราคาถูก แต่ไทยก็ซื้อในราคาที่แพง เพราะมันเป็นเรื่องของธุรกิจ เมื่อเปรียบเทียบกับอุตสาหกรรมอื่นจะเห็นว่าต้นทุนวัคซีนเพิ่มขึ้นทุกปี ดังนั้นหากเราผลิตวัคซีนได้สำเร็จเราก็จะมีความมั่นคงเรื่องการใช้วัคซีนในประเทศมากขึ้น
“ตอนนี้มีข้อสรุปจากWHOมาว่าภายในปี2020 ประเทศที่กำลังพัฒนาอาจจะต้องพึ่งตัวเองในการผลิตวัคซีนไว้ใช้เองภายในประเทศ แต่เมื่อเปรียบเทียบแล้วประเทศไทยอยู่ในภาวะถดถอย 80% ของมูลค่าที่ใช้ในการผลิตวัคซีน ไทยต้องนำเข้าจากต่างประเทศเป็นเงินทั้งสิ้นกว่า 2,400 ล้านบาทต่อปี ปัจจุบันการผลิตวัคซีนจากต้นน้ำของประเทศไทยก็เหลือแค่ 2 ตัวเท่านั้น ซึ่งมันสะท้อนอะไรได้หลายๆอย่าง แต่หลายฝ่ายทั้งนักวิชาการ คนทำงานต่างก็ยืนยันว่า ยังไงคนไทยก็ต้องพึ่งตนเองในเรื่องการผลิตวัคซีนให้ได้” นพ.จรุง กล่าว
“วัคซีนเอดส์”ในวันนี้ยังเป็นเพียงแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ แต่ถ้าหากรัฐบาลให้ความสำคัญและหันมาให้การสนับสนุนด้านงบประมาณอย่างต่อเนื่อง เชื่อว่าในอนาคตคนไทยจะได้ใช้วัคซีนเอดส์ ที่คิดค้นและพัฒนาโดยคนไทยอย่างแน่นอน อีกทั้งยังสามารถส่งไปขายยังต่างประเทศเพื่อสร้างรายได้ให้กับประเทศไทยได้อีกด้วย
ขอขอบคุณข้อมูลจาก newsplus.co.th
Report by LIV APCO
พัฒนา “วัคซีนเอดส์” ความหวังของคนไทยที่คาดว่าปี 59 อาจได้ผลสรุป
จากข้อมูลการคาดประมาณการณ์จำนวนผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ของประเทศไทย พบว่าในช่วงปี 2555-2559 จะมีผู้ติดเชื้อรายใหม่รวม 43,040 ราย โดยแยกเป็นการติดเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างชายกับชาย ร้อยละ 41 จากพนักงานขายบริการและลูกค้า ร้อยละ 11 จากผู้ใช้ยาเสพติดด้วยวิธีฉีด เข้าเส้นร้อยละ 10 จากคู่ของตนเองโดยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีเชื้อเอชไอวี ร้อยละ 32 และจากคู่นอนแบบฉาบฉวยหรือนอกสมรส ร้อยละ 6 โดยพบว่ากลุ่มที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีมากที่สุด คือ “วัยรุ่น”
ที่น่าเป็นห่วงในขณะนี้ก็คือสถานการณ์การติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่มีแนวโน้มสูงขึ้นทุกปี โดยพบว่า จากปี พ.ศ.2551 - 2554 มีอัตราป่วยต่อแสนประชากร เท่ากับ 31.76 /37.22 / 40.12 และ 45.10 ตามลำดับ และถ้านับเฉพาะประชากรในกลุ่มอายุ 15-24 ปี จากปี พ.ศ.2551 - 2554 พบว่ามีอัตราป่วยต่อแสนประชากร เท่ากับ 62.79 / 76.49 / 79.75 และ 90.06 ตามลำดับ ซึ่งมีจำนวนมากเป็น 2 เท่าของอัตราป่วยทั้งประเทศ
“วัคซีนเอดส์” จึงเป็นความหวังที่จะช่วยลดและป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีในประชากรทุกกลุ่มของประเทศ และนับเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว ที่นักวิจัยไทยได้ทำการวิจัยและพัฒนาวัคซีนเอดส์มาอย่างต่อเนื่อง
ศ.พญ.พรรณี ปิติสุทธิธรรม หัวหน้าภาควิชาอายุรศาสตร์เขตร้อน หัวหน้าศูนย์ความเป็นเลิศด้านการทดสอบวัคซีนทางคลินิก มหาวิทยาลัยมหิดล ตำบลศาลายา จังหวัดนครปฐม ได้กล่าวถึงการนำเสนอ “สถานการณ์และความก้าวหน้าการวิจัยพัฒนาวัคซีนเอดส์ในประเทศไทยและนานาชาติ ในการประชุมวิชาการวัคซีนแห่งชาติ ครั้งที่ 5 ซึ่งจัดขึ้นเมื่อกลางเดือนกรกฎาคม2556 ที่ผ่านมาว่าขณะนี้โครงการทดสอบวัคซีนป้องกันโรคเอดส์ ที่ทำในประเทศไทยมีความคืบหน้าไปมาก จากการวิจัยเมื่อปี 2552 ในมนุษย์ระยะที่ 3 หรือ อาร์วี 144 ในกลุ่มผู้ใหญ่ที่ไม่ติดเชื้อ จำนวน 16,000 คนได้ข้อสรุปว่าวัคซีนดังกล่าวมีประสิทธิภาพสามารถลดโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีได้ถึง 31.2% จึงได้มีการศึกษาต่อเนื่องในโครงการอาร์วี 305 โดยการให้วัคซีนกระตุ้นในอาสาสมัครกลุ่มเดิมจำนวน 165 ราย ที่ได้รับวัคซีนครบและไม่ติดเชื้อโดยจะทำการฉีดจำนวน 2 ครั้ง ห่างกันครั้งละ 6 เดือน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการฉีดวัคซีนและติดตามผล และได้มีการต่อยอดเป็นโครงการอาร์วี 306 เพื่อศึกษาลักษณะการตอบสนองของภูมิคุ้มกันดั้งเดิมและภูมิคุ้มกันจำเพาะ ในสารคัดหลั่งจากเยื่อบุปากมดลูกและน้ำอสุจิ ซึ่งโครงการอาร์วี 306 นี้ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในคน คณะเวชศาสตร์เขตร้อนมหาวิทยาลัยมหิดลแล้ว และได้เริ่มดำเนินการมาแล้วตั้งแต่ 28 มกราคม 2556 โดยคาดว่าทั้งโครงการอาร์วี 305 และอาร์วี 306 จะสามารถสรุปผลได้ภายในปี 2559
"ทั้งนี้ตนมีความหวังว่า หากการวิจัยประสบความสำเร็จ วัคซีนดังกล่าวจะสามารถใช้ป้องกันโรคเอดส์ได้เหมือนกับวัคซีนป้องกันโรคต่างๆทั่วไป เพียงแต่จะใช้ไม่ได้ผลกับผู้ที่ติดเชื้อแล้วเท่านั้น"
ศ.พญ.สุพรรณี กล่าวอีกว่าในวันนี้การพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคเอดส์ของประเทศไทย จัดว่าได้ผลไปในทางที่ดี แต่ยังไม่สามารถการันตีได้ว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่ ซึ่งนักวิจัยด้านวัคซีนจะทราบดีว่า ความล้มเหลวในการวิจัยวัคซีนต่างๆสามารถเกิดขึ้นได้ทุกขั้นตอน และการวิจัยพัฒนาวัคซีนแต่ละชนิดต้องใช้เวลาที่ยาวนานมาก
“อย่างไรก็ตามสิ่งที่เป็นอุปสรรคสำคัญของนักวิจัยด้านวัคซีนก็คือเงินทุนในการสนับสนุนการวิจัยด้านวัคซีนที่ต่อเนื่อง อย่างกรณีของการวิจัยวัคซีนป้องกันโรคเอดส์ที่ได้รับการสนับสนุนทุนจากประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งตนเองก็คาดหวังว่าในอนาคตรัฐบาลไทยจะมีนโยบายที่ชัดเจนและให้การสนับสนุนทุนอย่างต่อเนื่องเช่นกัน เราลงทุนในแง่ของบุคลากรส่วนภาครัฐจะต้องหาแหล่งทุนสนับสนุน
“การมีสถาบันวัคซีนแห่งชาตินับว่าเป็นเรื่องที่ดี ที่มีหน่วยงานกลางในการเป็นผู้ผลักดันให้เกิดการจัดการความรู้ด้านวัคซีน การเผยแพร่ความรู้ด้านวัคซีนแบบบูรณาการ ครอบคลุมองค์ความรู้ตลอดวงจรการพัฒนาวัคซีน ตั้งแต่การพัฒนานโยบาย การวิจัยพัฒนา การผลิตและการใช้วัคซีนในระดับชาติ ซึ่งเป็นกลไกสำคัญอย่างหนึ่งที่สามารถเชื่อมโยงการขับเคลื่อนงานด้านวัคซีนให้เดินหน้า แต่เนื่องจากการวิจัยด้านวัคซีนมีความซับซ้อน ดังนั้นการมีเพียงหน่วยงานเดียวอาจจะไม่เพียงพอ ศ.พญ.สุพรรณี กล่าว
ในขณะที่ ดร. นพ.จรุง เมืองชนะ ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ (องค์การมหาชน) กล่าวว่าด้วยความที่วัคซีนเป็นธุรกิจอย่างเต็มตัว สิ่งที่ประเทศกำลังพัฒนาจะต้องประสบคือปัญหาการขาดแคลนวัคซีน และหากไม่มีการฉีดวัคซีนก็จะมีคนเสียชีวิตในโลกนี้ไม่ต่ำกว่า 15 ล้านคนต่อปี และหนทางให้ได้มาซึ่งวัคซีนก็ไม่ใช่ทางตรง แต่เป็นทางคดเคี้ยวและมีความเสี่ยงสูง
ปัจจุบันปริมาณการใช้วัคซีนในประเทศกำลังพัฒนามีมากถึง 88% ของตลาดรวมแต่มูลค่าวัคซีนมีเพียง 12% เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นวัคซีนราคาถูก ดังนั้นจึงไม่ดึงดูดใจในแง่การค้า เป็นผลให้การผลิตวัคซีนสำหรับประเทศที่กำลังพัฒนามีทิศทางลดลงอย่างชัดเจน หากบริษัทวัคซีนต่างๆหยุดผลิตปัญหาที่ตามมาคือไทยหรือบางประเทศก็ไม่สามารถสำรองวัคซีนเป็นจำนวนมากได้ และไทยอาจไม่สามารถหาซื้อวัคซีนติดต่อกันทุกปีได้ อีกทั้งแม้ประเทศจีน อินเดีย บอกว่าผลิตวัคซีนได้ในราคาถูก ดังนั้นจึงไม่ดึงดูดใจในแง่การค้า เป็นผลให้การผลิตวัคซีนสำหรับประเทศที่กำลังพัฒนามีทิศทางลดลงอย่างชัดเจน หากบริษัทวัคซีนต่างๆหยุดผลิตปัญหาที่ตามมาคือไทยหรือบางประเทศก็ไม่สามารถสำรองวัคซีนเป็นจำนวนมากได้ และไทยอาจไม่สามารถหาซื้อวัคซีนติดต่อกันทุกปีได้ อีกทั้งแม้ประเทศจีน อินเดีย บอกว่าผลิตวัคซีนได้ในราคาถูก แต่ไทยก็ซื้อในราคาที่แพง เพราะมันเป็นเรื่องของธุรกิจ เมื่อเปรียบเทียบกับอุตสาหกรรมอื่นจะเห็นว่าต้นทุนวัคซีนเพิ่มขึ้นทุกปี ดังนั้นหากเราผลิตวัคซีนได้สำเร็จเราก็จะมีความมั่นคงเรื่องการใช้วัคซีนในประเทศมากขึ้น
“ตอนนี้มีข้อสรุปจากWHOมาว่าภายในปี2020 ประเทศที่กำลังพัฒนาอาจจะต้องพึ่งตัวเองในการผลิตวัคซีนไว้ใช้เองภายในประเทศ แต่เมื่อเปรียบเทียบแล้วประเทศไทยอยู่ในภาวะถดถอย 80% ของมูลค่าที่ใช้ในการผลิตวัคซีน ไทยต้องนำเข้าจากต่างประเทศเป็นเงินทั้งสิ้นกว่า 2,400 ล้านบาทต่อปี ปัจจุบันการผลิตวัคซีนจากต้นน้ำของประเทศไทยก็เหลือแค่ 2 ตัวเท่านั้น ซึ่งมันสะท้อนอะไรได้หลายๆอย่าง แต่หลายฝ่ายทั้งนักวิชาการ คนทำงานต่างก็ยืนยันว่า ยังไงคนไทยก็ต้องพึ่งตนเองในเรื่องการผลิตวัคซีนให้ได้” นพ.จรุง กล่าว
“วัคซีนเอดส์”ในวันนี้ยังเป็นเพียงแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ แต่ถ้าหากรัฐบาลให้ความสำคัญและหันมาให้การสนับสนุนด้านงบประมาณอย่างต่อเนื่อง เชื่อว่าในอนาคตคนไทยจะได้ใช้วัคซีนเอดส์ ที่คิดค้นและพัฒนาโดยคนไทยอย่างแน่นอน อีกทั้งยังสามารถส่งไปขายยังต่างประเทศเพื่อสร้างรายได้ให้กับประเทศไทยได้อีกด้วย
ขอขอบคุณข้อมูลจาก newsplus.co.th
Report by LIV APCO