หลวงพี่ช่วยอธิบายนามธรรม ๔ นี้ให้ฟังดูเป็นวิทยาศาสตร์หน่อยสิครับ

ความคิดเห็นที่ 13  http://pantip.com/topic/34666666/comment9-3

เอาแค่ขันธ์ ๕
แค่รูปขันธ์ที่มองเห็นจะๆ ชัดๆ นักวิทยาศาสตร์ยังไม่มีปัญญาเข้าใจได้หมดเลย
ไม่ต้องพูดไปถึงที่เหลืออีก ๔ ขันธ์ที่เป็นนามธรรม หลวงพี่ช่วยอธิบายนามธรรม ๔ นี้ให้ฟังดูเป็นวิทยาศาสตร์หน่อยสิครับ เอาแบบที่ให้นักวิทยาศาสตร์ยอมรับด้วยนะครับ จะได้ไม่งมงาย

twentiplus+
*******************************
ขันธ์ ๕

ขันธ์ แปลว่า กอง หรือ กลุ่ม หรือ ส่วน ซึ่งชีวิตของคนเรานี้จะประกอบด้วยส่วน ๕ ส่วน ที่เรียกว่าขันธ์ ๕ อันได้แก่

๑. รูปขันธ์ คือส่วนที่เป็นร่างกายและอวัยวะต่างของร่างกาย ที่เกิดมาจากธาตุดิน (ของแข็ง), ธาตุน้ำ (ของเหลว), ธาตุไฟ (ความร้อน), และธาตุลม (ก๊าซ) ปรุงแต่งให้เกิดขึ้นมาเป็นร่างกายชายบ้าง หญิงบ้าง โดยมีรูปร่างและสีผิวแตกต่างกันไปตามกรรมพันธุ์

๒. วิญญาณขันธ์ คือส่วนที่เป็นการรับรู้ที่เกิดตามระบบประสาททั้ง ๖ ของร่างกาย

๓. สัญญาขันธ์ คือส่วนที่เป็นการจำสิ่งที่รับรู้ได้

๔. เวทนาขันธ์ คือส่วนที่เป็นความรู้สึกต่อสิ่งที่รับรู้

๕. สังขารขันธ์ คือส่วนที่เป็นการปรุงแต่ง-คิดนึกของจิตใจ

ร่างกายเกิดขึ้นมาจากธาตุดิน, น้ำ, ไฟ, ลมนั้นเป็นสิ่งที่เราพบเห็นได้ด้วยตาของเรา แต่การเกิดจิตใจนั้นเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถพบเห็นได้ แต่เรารู้สึกได้ด้วยจิตใจโดยตรง ซึ่งพื้นฐานที่เป็นเหตุมาปรุงแต่งให้เกิดจิตใจนั้นก็คือ วิญญาณ ซึ่งวิญญาณนี้หมายถึง การรับรู้ ที่เกิดขึ้นตามระบบประสาททั้ง ๖ ของร่างกาย (ส่วนวิญญาณที่เชื่อกันว่าเป็นผีออกจากร่างกายแล้วเที่ยวไปหลอกหลอนผู้คนนั้นไม่ใช่วิญญาณที่พระพุทธเจ้าสอน แต่เป็นความเชื่อนอกพุทธศาสนา ที่ปลอมปนเข้ามาในภายหลัง)

การเกิดขึ้นของขันธ์ทั้ง ๕

ร่างกายที่เหมาะสม (คือยังไม่ตาย) จะมีระบบประสาทอยู่ ๖ จุด คือตา, หู, จมูก, ลิ้น, กาย, และใจ (ที่สมอง) เพื่อเอาไว้เชื่อมต่อกับสิ่งภายนอก ๖ อย่าง ที่ตรงกัน คือรูป (ภาพ), เสียง, กลิ่น, รส, โผฏฐัพพะ (สิ่งกระทบกาย เช่น เย็น ร้อน อ่อน แข็ง), และธรรมารมณ์ (สิ่งกระทบใจ เช่น ความรู้สึก การปรุงแต่ง-คิดนึกของจิต เป็นต้น)

เมื่อมีสิ่งภายนอกมากระทบระบบประสาทที่ตรงกัน และระบบประสาทนั้นยังทำงานอยู่ (คือไม่ได้หลับหรือเสียหาย) ก็จะเกิดการปรุงแต่งให้เกิดการรับรู้ (วิญญาณ) ขึ้นมาทันทีที่ระบบประสาทนั้น เช่นเมื่อมีรูปมากระทบตา ก็จะเกิดการรับรู้รูป หรือการเห็นรูปขึ้นมาทันที เป็นต้น (วิญญาณหรือการรับรู้นี้มีลักษณะเหมือนไฟฟ้าในทางวัตถุ ที่เกิดขึ้นจากเหตุปัจจัย และดับหายไปเพราะไม่มีเหตุหรือปัจจัย ตามกฎอิทัปปัจจยตา)

เมื่อเกิดการรับรู้สิ่งภายนอกแล้ว อาศัยว่าสมองมีข้อมูลที่เป็นความทรงจำที่ยังมีอยู่ (ข้อมูลที่เป็นความทรงจำก็มาจากการรับรู้มาก่อนตลอดทั้งชีวิต ที่สมองบันทึกไว้ ถ้าสมองเสีย ข้อมูลนี้ก็จะสูญหายไปทันที) จิตก็จะนำเอาสิ่งภายนอกที่รับรู้นั้นมาเปรียบเทียบกับข้อมูลในสมอง เมื่อเปรียบเทียบแล้วพบว่าตรงกัน ก็จะจำสิ่งที่รับรู้นั้นได้ทันที แต่ถ้าเปรียบเทียบแล้วไม่ตรงกันหรือไม่มีข้อมูล ก็จะไม่รู้จักหรือจำไม่ได้

เมื่อเกิดการจำสิ่งที่รับรู้นั้นได้แล้ว ก็จะเกิดความรู้สึกต่อสิ่งที่จำได้นั้นขึ้นมาทันที ซึ่งความรู้สึกนี้ก็สรุปได้ ๓ อย่าง คือ

๑. สุขเวทนา ความรู้สึกที่ทนได้ง่ายหรือความสุข
๒. ทุกขเวทนา ความรู้สึกที่ทนได้ยาก
๓. อทุกขมสุขเวทนา ความรู้สึกที่เป็นกลางๆหรือจืดๆ

การที่จะเกิดความรู้สึกชนิดใดขึ้นมานั้น ก็ขึ้นอยู่กับว่าสมองมีความทรงจำเกี่ยวกับสิ่งที่รับรู้นั้นอย่างไร อย่างเช่น จำได้ว่ารูปที่เราเห็นนั้นเป็นรูปที่น่ารัก เมื่อเราเห็นรูปนั้นแล้วเราก็จะเกิดความรู้สึกที่ทนได้ง่ายหรือความสุขขึ้นมาทันที เป็นต้น

เมื่อเกิดความรู้สึกใดขึ้นมาแล้ว ก็จะเกิดการปรุงแต่งของจิตขึ้นมาทันที ซึ่งการปรุงแต่งนี้ก็มี ๒ อย่าง คือ

(๑) การปรุงแต่งที่ควบคุมไม่ได้ ซึ่งก็ได้แก่อาการของกิเลส (คือความพอใจ-ไม่พอใจ-ลังเลใจ) และความยึดถือ (อุปาทาน)  ที่เป็นนิสัย (ความเคยชิน) จากจิตใต้สำนึก ที่จิตได้สั่งสมมาตลอดทั้งชีวิต  

(๒) การปรุงแต่งที่ควบคุมได้ อันได้แก่เจตนา (ความจงใจ) ในการคิด คือเราจะสามารถควบคุมการคิดของเราเองได้ ว่าจะคิดเรื่องอะไรหรือไม่คิดเรื่องอะไรก็ได้ รวมทั้งยังคิดควบคุมให้ปากพูดและร่างกายเคลื่อนไหวอีกด้วย ซึ่งการคิดนี้ก็แยกได้ ๒ อย่างคือ

(๒.๑) การคิดด้วยอวิชชา คือเป็น การคิดที่ไม่มีสติปัญญาและสมาธิ ดังนั้นจึงทำให้อวิชชา (ความรู้ว่ามีตัวเรา) เกิดขึ้นมาครอบงำจิต จึงทำให้มีนิสัยจากจิตใต้สำนึก (คือกิเลส อุปาทาน) มาควบคุมอยู่ด้วยเงียบๆ ซึ่งการคิดด้วยอวิชชานี้เองที่ทำให้จิตเกิดความทุกข์ขึ้นมา

(๒.๒) การคิดด้วยปัญญา คือเป็น การคิดด้วยสติปัญญาและสมาธิ คือเป็นการคิดที่มีสติ (ความระลึกได้) คอยดึงเอาปัญญาและสมาธิออกมา จึงทำให้จิตคิดนึกโดยไม่มีอวิชชา กิเลส และอุปาทานเกิดขึ้นมาครอบงำจิต จึงทำให้จิตคิดไปด้วยความบริสุทธิ์ตามธรรมชาติพร้อมด้วยปัญญา ซึ่งการคิดด้วยปัญญานี้เองที่เป็นการปฏิบัติตามหลักอริยสัจ ๔ ที่ทำให้จิตไม่มีความทุกข์ หรือทำให้จิตนิพพาน (สงบเย็น)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่