สมัยตอนเด็กๆ
จำได้ว่าเราอยากจะโตเป็นผู้ใหญ่กันไวไว
เพราะ การเป็นผู้ใหญ่นั้นเป็นอะไรที่โก้ เก๋ และดูดีมาก
ในสายตาของเด็กตัวเล็กๆอย่างเรา
ผู้ใหญ่จะดูเก่ง ทำอะไรได้หลายอย่าง มีเงินใช้ซื้อของอะไรก็ได้ที่อยากได้
แถมหลายครั้งยังชอบซื้อขนม และของเล่นให้เราอีก
แต่พอเราเติบโตเป็นผู้ใหญ่จริงๆ
ชีวิตการเป็นผู้ใหญ่ กลับไม่ได้สวยงาม โก้เก๋ หรือดูดี
เหมือนอย่างที่เราเคยคิด หรือวาดฝันไว้ตอนเด็กๆ
แถมเวลาที่เราเจอปัญหาหนักๆ หลายครั้งเรายังแอบรู้สึก
อยากกลับไปเป็นเด็กเลยเสียด้วยซ้ำ
เพราะการเป็นเด็ก หมายถึงการไม่ต้องคิดอะไรมาก
ไม่มีเรื่องให้ต้องรับผิดชอบ ไม่มีภาระ หน้าที่ ไม่มีเรื่องให้ต้องปวดหัว
แค่คิดว่าจะตื่นมาเล่นอะไรดี เล่นจนเหนื่อย แล้วก็หลับไป
ทำไมนะ?
ตอนเป็นเด็ก เราถึงอยากรีบโตเป็นผู้ใหญ่ไวไว
แต่พอเป็นผู้ใหญ่เข้าจริงๆ เราถึงยังอยากย้อนกลับไปเป็นเด็ก
อาจเพราะการเป็นผู้ใหญ่ หมายถึงการที่เราต้องเจอกับปัญหามากขึ้น
มีเรื่องให้คาดหวังมากขึ้น และผิดหวังมากขึ้น มีเรื่องให้ต้องรับผิดชอบมากขึ้น
จึงมีโอกาสทำผิดพลาดได้มากขึ้น
แต่พอเป็นผู้ใหญ่แล้ว เรากลับไม่สามารถวิ่งร้องไห้ ไปหลบหลังพ่อแม่ หรือใครได้อีกต่อไป
การโตเป็นผู้ใหญ่
อาจหมายถึงการมีเรื่องให้เสียใจมากขึ้น
แต่ร้องไห้ได้น้อยลง
ทั้งๆที่หลายครั้ง เราก็รู้สึกอ่อนแอ และโหยหาการปลอบใจ
มากยิ่งกว่าสมัยตอนเด็กๆเสียอีก
แต่ทำไม? นิสัยที่เราเป็นตอนเด็กๆหลายอย่าง
ถึงได้หายไปเมื่อเราโตเป็นผู้ใหญ่ นิสัยหลายๆอย่างๆที่ถ้าเรามองย้อนกลับไป
มันอาจเป็นการแสดงออกที่ตรงไปตรงมา จริงใจ ใสซื่อในแบบเด็กๆ
ที่พอเราโตขึ้น เรากลับถูกความซับซ้อนของโลก และคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
ทำให้นิสัยเหล่านั้น ค่อยๆหายไป แต่มันน่าจะนิสัยบางอย่าง
ที่ผัใหญ่อย่างเรา น่าจะกลับไปเอาอย่างเด็กๆดูบ้าง
อย่างเรื่องการ "ร้องไห้" สมัยเด็กๆ เมื่อเราเสียใจ หรือเจ็บปวดมากๆ
เราก็จะร้องไห้ออกมาแบบไม่อายใคร วิ่งไปกอดพ่อแม่ และรอให้พ่อแม่
ปลอบใจเรา โอ๋เรา และบอกเราว่า "ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวก็หาย"
แล้วพอเราร้องไห้จนเหนื่อย เราก็จะหยุดร้อง พอมีเพื่อนมาชวนไปเล่นสนุก
หรือมีสิ่งน่าสนใจเรื่องใหม่ๆ หรืออะไรที่ทำให้เราหัวเราะได้อีกครั้ง
เราก็พร้อมจะปาดน้ำตา และวิ่งไปเล่นสนุกต่อได้ทันที
หลายคนอาจเถียงว่า
นั่นมันสมัยเด็กๆ พอโตเป็นผู้ใหญ่ จะให้ร้องไห้วิ่งไปหลบหลังพ่อแม่
เหมือนแต่ก่อนก็ไม่สามารถทำได้แล้ว หรือความเสียใจ ความเจ็บปวด
ในแบบของผู้ใหญ่ มันซับซ้อน และหนักหนากว่าสมัยเด็กๆมากนัก
เราจึงไม่สามารถจะลืมมันไปได้ง่ายๆ เหมือนแต่ก่อน
นั่นคือความคิดแบบผู้ใหญ่
ผมเลือกที่จะคิดในแบบเด็กๆ
ถ้าผมเจอปัญหาหนักๆ ผมอาจจะวิ่งไปหลบหลังพ่อแม่ไม่ได้
แต่ไม่ได้แปลว่าพ่อแม่ไม่พร้อมที่จะรับฟังเรา หลายครั้งพอเราโตขึ้น
เราก็คิดไปเองว่า เราต้องดูแล รับผิดชอบตัวเอง การต้องแก้ปัญหาอะไรๆด้วยตัวเอง
ทำให้เราหลงลืมไปว่า พ่อแม่ ก็ยังคงพร้อมที่จะอยู่ และรับฟังปัญหาของเรา
หลายครั้งผมเห็นเพื่อนหลายคนมาโพสต์สเตตัสอยู่ในเฟสบุ๊คว่า
เหนื่อย..ล้า แต่ไม่รู้จะไปบ่นให้ใครฟัง ถ้าคุณก็เคยมีอาการแบบนี้
ลองกลับไปบ่น ไประบายให้พ่อแม่ฟังดูสิครับ เพราะบนโลกนี้ ไม่มีใครรู้จักคุณ
ดีเท่าคนสองคนนี้อีกแล้ว
เราอาจดูแลตัวเองได้
แต่ไม่ได้แปลว่าเราต้องดูแลตัวเองได้ดีทุกครั้งเสมอไป
การบอกใครสักคนว่าเราอ่อนล้า
ไม่ได้ทำให้เราอ่อนแอ อย่าอายที่จะกลับบ้าน
ไปกอดพ่อแม่ บางครั้ง แค่คำว่า "ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวก็หาย"
ก็อาจทำให้ปัญหาที่เราเจอเบาลงไปได้กว่าครึ่ง
ส่วนเรื่องที่ว่า ความทุกข์ หรือปัญหาของผู้ใหญ่มันซับซ้อน และหนักหนา
กว่าตอนสมัยเป็นเด็กมากนัก ก็คงเป็นเรื่องจริง แต่ถ้าคิดแบบเด็กๆ
สิ่งที่ผมจะทำก็คือ พยายามมองหาอะไรที่เป็นความสุข หรือบอกตัวเอง
ให้ลุกออกไปเล่น ลุกออกไปเจอเพื่อน หาอะไรที่ดึงความสนใจเราออกไปจากเรื่องแย่ๆ
ความทุกข์อาจไม่ได้หายไปได้ง่ายๆ เหมือนสมัยเด็กๆที่แค่ปาดน้ำตา
ความเจ็บก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง แต่ผมเชื่อว่า การเอาแต่นั่งจมอยู่กับปัญหา
หรือเก็บตัวอยู่กับความเศร้าคนเดียว
ก็ไม่น่าจะเป็นวิธีการจัดการกับความทุกข์ที่ดี ในแบบที่ผู้ใหญ่ชอบทำกัน
ถ้าวันนี้มีความทุกข์ จงมองหาความสุขที่อยู่ใกล้ๆ และเอื้อมมือไปคว้ามัน
ผู้ใหญ่ อาจไม่ได้ลืมความเจ็บปวดได้ง่ายๆเหมือนกับเด็กๆ
แต่ถ้าไม่เปิดโอกาสให้ตัวเองออกไปหาความสุข แล้วเราจะลืมความทุกข์ได้ยังไง
อีกเรื่องหนึ่งที่ผมชอบนิสัยตัวเอง สมัยเด็กๆมากกว่าตอนที่เป็นผู้ใหญ่
ก็คือเวลาที่เราเล่นกับใคร แล้วถูกแกล้ง หรือทำให้ร้องไห้มา เราจะเลิกเล่นกับเด็กคนนั้น
แต่พอเราโตขึ้น เวลาที่เรามีปัญหากับใคร หรือถูกใครกลั่นแกล้ง ทำร้าย หรือทำให้เสียน้ำตา
ไม่ว่าจะต่อหน้า หรือลับหลัง สิ่งที่เราทำคือ การโกรธแค้น และเก็บเรื่องของคนๆนั้น
มาครุ่นคิด มาเล่าต่อ มาพูดต่อไม่จบไม่สิ้น เราเก็บศัตรู หรือคนที่ร้ายกับเราไว้กับตัวเรา
ในขณะที่ถ้าเราเป็นเด็ก ใครที่ร้ายกับเรา เราก็จะแค่เลิกเล่น เลิกยุ่งกับคนๆนั้นซะ
แม้ว่าพอเป็นผู้ใหญ่ การเลิกยุ่ง หรือตัดใครสักคนออกไปจากชีวิต อาจทำไม่ได้ง่ายๆ
เหมือนสมัยเด็กๆ แต่ถ้าเราจะยืมนิสัยแบบเด็กๆมาใช้ ใครไม่ดีกับเรา เราก็แค่พยายามไม่ยุ่ง
หรือไม่สนใจ อย่าปล่อยให้คนที่ทำร้ายเราครั้งหนึ่ง ได้มีโอกาสมาคอยทำร้ายเราซ้ำๆอีก
ผ่านความคิด ความแค้นที่เราไม่ยอมปล่อยวางมันไปเอง
บางที..
การเป็นผู้ใหญ่ อาจไม่ได้ดูดี โก้เก๋เหมือนอย่างที่เรานึกภาพไว้สมัยเด็กๆ
แต่การเป็นผู้ใหญ่ ก็ไม่ได้แย่นัก เราเติบโตขึ้น เราเรียนรู้อะไรมากขึ้น
เราหาเงินได้มากขึ้น เรารับผิดชอบดูแลตัวเองได้มากขึ้น แต่ก็เพราะเราโตขึ้น
และรู้จักกับคนมากขึ้น เราเลยมีโอกาสที่จะพบเจอกับปัญหา ความทุกข์ หรือความเสียใจ
ได้มากขึ้นเช่นกัน ถ้าวันไหนเสียใจ ลองใช้เวลานั่งคุยกับตัวเอง สมัยเด็กๆดู
ว่าถ้าเป็นเราตอนนั้น เราจะทำยังไง
บางครั้ง..
ที่ปัญหาของผู้ใหญ่ดูซับซ้อน ก็อาจเพราะวิธีคิดในแบบของผู้ใหญ่
ที่ทำให้มันซับซ้อน และวุ่นวายไปเอง ลองใช้ตรรกะง่ายๆ ซื่อๆในแบบของเด็กมาคิดแทนดู
มันอาจไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาได้ทั้งหมด แต่มันก็น่าจะทำให้เรา
มองเห็นปัญหานั้นในมุมที่แตกต่างออกไป หรือบางครั้ง วิธีคิดแบบเด็กๆ
ก็อาจทำให้เราแยกแยะปัญหาจริงๆ กับอารมณ์ หรือสิ่งที่เราปรุงแต่ง ต่อเติมขึ้นมา
ออกจากกันได้
ความคิดแบบเด็กๆ อาจไม่ได้เด็กเสมอไป
มีคนบอกว่า เด็กมีความสุขง่ายกว่าผู้ใหญ่
ผมคิดว่าไม่จริง แต่ผมแอบคิดว่าหลายครั้ง
ผู้ใหญ่ แค่ทำตัวเองให้มีความสุขยากกว่าเด็ก..เท่านั้น
เรื่องอะไรบ้างที่ผู้ใหญ่ ควรกลับไปคิดเหมือนเด็กๆ?
สมัยตอนเด็กๆ
จำได้ว่าเราอยากจะโตเป็นผู้ใหญ่กันไวไว
เพราะ การเป็นผู้ใหญ่นั้นเป็นอะไรที่โก้ เก๋ และดูดีมาก
ในสายตาของเด็กตัวเล็กๆอย่างเรา
ผู้ใหญ่จะดูเก่ง ทำอะไรได้หลายอย่าง มีเงินใช้ซื้อของอะไรก็ได้ที่อยากได้
แถมหลายครั้งยังชอบซื้อขนม และของเล่นให้เราอีก
แต่พอเราเติบโตเป็นผู้ใหญ่จริงๆ
ชีวิตการเป็นผู้ใหญ่ กลับไม่ได้สวยงาม โก้เก๋ หรือดูดี
เหมือนอย่างที่เราเคยคิด หรือวาดฝันไว้ตอนเด็กๆ
แถมเวลาที่เราเจอปัญหาหนักๆ หลายครั้งเรายังแอบรู้สึก
อยากกลับไปเป็นเด็กเลยเสียด้วยซ้ำ
เพราะการเป็นเด็ก หมายถึงการไม่ต้องคิดอะไรมาก
ไม่มีเรื่องให้ต้องรับผิดชอบ ไม่มีภาระ หน้าที่ ไม่มีเรื่องให้ต้องปวดหัว
แค่คิดว่าจะตื่นมาเล่นอะไรดี เล่นจนเหนื่อย แล้วก็หลับไป
ทำไมนะ?
ตอนเป็นเด็ก เราถึงอยากรีบโตเป็นผู้ใหญ่ไวไว
แต่พอเป็นผู้ใหญ่เข้าจริงๆ เราถึงยังอยากย้อนกลับไปเป็นเด็ก
อาจเพราะการเป็นผู้ใหญ่ หมายถึงการที่เราต้องเจอกับปัญหามากขึ้น
มีเรื่องให้คาดหวังมากขึ้น และผิดหวังมากขึ้น มีเรื่องให้ต้องรับผิดชอบมากขึ้น
จึงมีโอกาสทำผิดพลาดได้มากขึ้น
แต่พอเป็นผู้ใหญ่แล้ว เรากลับไม่สามารถวิ่งร้องไห้ ไปหลบหลังพ่อแม่ หรือใครได้อีกต่อไป
การโตเป็นผู้ใหญ่
อาจหมายถึงการมีเรื่องให้เสียใจมากขึ้น
แต่ร้องไห้ได้น้อยลง
ทั้งๆที่หลายครั้ง เราก็รู้สึกอ่อนแอ และโหยหาการปลอบใจ
มากยิ่งกว่าสมัยตอนเด็กๆเสียอีก
แต่ทำไม? นิสัยที่เราเป็นตอนเด็กๆหลายอย่าง
ถึงได้หายไปเมื่อเราโตเป็นผู้ใหญ่ นิสัยหลายๆอย่างๆที่ถ้าเรามองย้อนกลับไป
มันอาจเป็นการแสดงออกที่ตรงไปตรงมา จริงใจ ใสซื่อในแบบเด็กๆ
ที่พอเราโตขึ้น เรากลับถูกความซับซ้อนของโลก และคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
ทำให้นิสัยเหล่านั้น ค่อยๆหายไป แต่มันน่าจะนิสัยบางอย่าง
ที่ผัใหญ่อย่างเรา น่าจะกลับไปเอาอย่างเด็กๆดูบ้าง
อย่างเรื่องการ "ร้องไห้" สมัยเด็กๆ เมื่อเราเสียใจ หรือเจ็บปวดมากๆ
เราก็จะร้องไห้ออกมาแบบไม่อายใคร วิ่งไปกอดพ่อแม่ และรอให้พ่อแม่
ปลอบใจเรา โอ๋เรา และบอกเราว่า "ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวก็หาย"
แล้วพอเราร้องไห้จนเหนื่อย เราก็จะหยุดร้อง พอมีเพื่อนมาชวนไปเล่นสนุก
หรือมีสิ่งน่าสนใจเรื่องใหม่ๆ หรืออะไรที่ทำให้เราหัวเราะได้อีกครั้ง
เราก็พร้อมจะปาดน้ำตา และวิ่งไปเล่นสนุกต่อได้ทันที
หลายคนอาจเถียงว่า
นั่นมันสมัยเด็กๆ พอโตเป็นผู้ใหญ่ จะให้ร้องไห้วิ่งไปหลบหลังพ่อแม่
เหมือนแต่ก่อนก็ไม่สามารถทำได้แล้ว หรือความเสียใจ ความเจ็บปวด
ในแบบของผู้ใหญ่ มันซับซ้อน และหนักหนากว่าสมัยเด็กๆมากนัก
เราจึงไม่สามารถจะลืมมันไปได้ง่ายๆ เหมือนแต่ก่อน
นั่นคือความคิดแบบผู้ใหญ่
ผมเลือกที่จะคิดในแบบเด็กๆ
ถ้าผมเจอปัญหาหนักๆ ผมอาจจะวิ่งไปหลบหลังพ่อแม่ไม่ได้
แต่ไม่ได้แปลว่าพ่อแม่ไม่พร้อมที่จะรับฟังเรา หลายครั้งพอเราโตขึ้น
เราก็คิดไปเองว่า เราต้องดูแล รับผิดชอบตัวเอง การต้องแก้ปัญหาอะไรๆด้วยตัวเอง
ทำให้เราหลงลืมไปว่า พ่อแม่ ก็ยังคงพร้อมที่จะอยู่ และรับฟังปัญหาของเรา
หลายครั้งผมเห็นเพื่อนหลายคนมาโพสต์สเตตัสอยู่ในเฟสบุ๊คว่า
เหนื่อย..ล้า แต่ไม่รู้จะไปบ่นให้ใครฟัง ถ้าคุณก็เคยมีอาการแบบนี้
ลองกลับไปบ่น ไประบายให้พ่อแม่ฟังดูสิครับ เพราะบนโลกนี้ ไม่มีใครรู้จักคุณ
ดีเท่าคนสองคนนี้อีกแล้ว
เราอาจดูแลตัวเองได้
แต่ไม่ได้แปลว่าเราต้องดูแลตัวเองได้ดีทุกครั้งเสมอไป
การบอกใครสักคนว่าเราอ่อนล้า
ไม่ได้ทำให้เราอ่อนแอ อย่าอายที่จะกลับบ้าน
ไปกอดพ่อแม่ บางครั้ง แค่คำว่า "ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวก็หาย"
ก็อาจทำให้ปัญหาที่เราเจอเบาลงไปได้กว่าครึ่ง
ส่วนเรื่องที่ว่า ความทุกข์ หรือปัญหาของผู้ใหญ่มันซับซ้อน และหนักหนา
กว่าตอนสมัยเป็นเด็กมากนัก ก็คงเป็นเรื่องจริง แต่ถ้าคิดแบบเด็กๆ
สิ่งที่ผมจะทำก็คือ พยายามมองหาอะไรที่เป็นความสุข หรือบอกตัวเอง
ให้ลุกออกไปเล่น ลุกออกไปเจอเพื่อน หาอะไรที่ดึงความสนใจเราออกไปจากเรื่องแย่ๆ
ความทุกข์อาจไม่ได้หายไปได้ง่ายๆ เหมือนสมัยเด็กๆที่แค่ปาดน้ำตา
ความเจ็บก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง แต่ผมเชื่อว่า การเอาแต่นั่งจมอยู่กับปัญหา
หรือเก็บตัวอยู่กับความเศร้าคนเดียว
ก็ไม่น่าจะเป็นวิธีการจัดการกับความทุกข์ที่ดี ในแบบที่ผู้ใหญ่ชอบทำกัน
ถ้าวันนี้มีความทุกข์ จงมองหาความสุขที่อยู่ใกล้ๆ และเอื้อมมือไปคว้ามัน
ผู้ใหญ่ อาจไม่ได้ลืมความเจ็บปวดได้ง่ายๆเหมือนกับเด็กๆ
แต่ถ้าไม่เปิดโอกาสให้ตัวเองออกไปหาความสุข แล้วเราจะลืมความทุกข์ได้ยังไง
อีกเรื่องหนึ่งที่ผมชอบนิสัยตัวเอง สมัยเด็กๆมากกว่าตอนที่เป็นผู้ใหญ่
ก็คือเวลาที่เราเล่นกับใคร แล้วถูกแกล้ง หรือทำให้ร้องไห้มา เราจะเลิกเล่นกับเด็กคนนั้น
แต่พอเราโตขึ้น เวลาที่เรามีปัญหากับใคร หรือถูกใครกลั่นแกล้ง ทำร้าย หรือทำให้เสียน้ำตา
ไม่ว่าจะต่อหน้า หรือลับหลัง สิ่งที่เราทำคือ การโกรธแค้น และเก็บเรื่องของคนๆนั้น
มาครุ่นคิด มาเล่าต่อ มาพูดต่อไม่จบไม่สิ้น เราเก็บศัตรู หรือคนที่ร้ายกับเราไว้กับตัวเรา
ในขณะที่ถ้าเราเป็นเด็ก ใครที่ร้ายกับเรา เราก็จะแค่เลิกเล่น เลิกยุ่งกับคนๆนั้นซะ
แม้ว่าพอเป็นผู้ใหญ่ การเลิกยุ่ง หรือตัดใครสักคนออกไปจากชีวิต อาจทำไม่ได้ง่ายๆ
เหมือนสมัยเด็กๆ แต่ถ้าเราจะยืมนิสัยแบบเด็กๆมาใช้ ใครไม่ดีกับเรา เราก็แค่พยายามไม่ยุ่ง
หรือไม่สนใจ อย่าปล่อยให้คนที่ทำร้ายเราครั้งหนึ่ง ได้มีโอกาสมาคอยทำร้ายเราซ้ำๆอีก
ผ่านความคิด ความแค้นที่เราไม่ยอมปล่อยวางมันไปเอง
บางที..
การเป็นผู้ใหญ่ อาจไม่ได้ดูดี โก้เก๋เหมือนอย่างที่เรานึกภาพไว้สมัยเด็กๆ
แต่การเป็นผู้ใหญ่ ก็ไม่ได้แย่นัก เราเติบโตขึ้น เราเรียนรู้อะไรมากขึ้น
เราหาเงินได้มากขึ้น เรารับผิดชอบดูแลตัวเองได้มากขึ้น แต่ก็เพราะเราโตขึ้น
และรู้จักกับคนมากขึ้น เราเลยมีโอกาสที่จะพบเจอกับปัญหา ความทุกข์ หรือความเสียใจ
ได้มากขึ้นเช่นกัน ถ้าวันไหนเสียใจ ลองใช้เวลานั่งคุยกับตัวเอง สมัยเด็กๆดู
ว่าถ้าเป็นเราตอนนั้น เราจะทำยังไง
บางครั้ง..
ที่ปัญหาของผู้ใหญ่ดูซับซ้อน ก็อาจเพราะวิธีคิดในแบบของผู้ใหญ่
ที่ทำให้มันซับซ้อน และวุ่นวายไปเอง ลองใช้ตรรกะง่ายๆ ซื่อๆในแบบของเด็กมาคิดแทนดู
มันอาจไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาได้ทั้งหมด แต่มันก็น่าจะทำให้เรา
มองเห็นปัญหานั้นในมุมที่แตกต่างออกไป หรือบางครั้ง วิธีคิดแบบเด็กๆ
ก็อาจทำให้เราแยกแยะปัญหาจริงๆ กับอารมณ์ หรือสิ่งที่เราปรุงแต่ง ต่อเติมขึ้นมา
ออกจากกันได้
ความคิดแบบเด็กๆ อาจไม่ได้เด็กเสมอไป
มีคนบอกว่า เด็กมีความสุขง่ายกว่าผู้ใหญ่
ผมคิดว่าไม่จริง แต่ผมแอบคิดว่าหลายครั้ง
ผู้ใหญ่ แค่ทำตัวเองให้มีความสุขยากกว่าเด็ก..เท่านั้น