อาจจะคนละเหตุการณ์กัน แต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน นั่นคือ ความสตอเบอรี่ของดีเจหนุ่มกับสาวท้องและสามี
เคสของพี่ ผจก.แบ๊งค์ ( ซึ่งชาวเนทนาทีนั้นพยายามเรียกแกว่าป้า เพื่อให้สังคมมองแกเป็นมนุษย์ป้าเพิ่มดีกรีความมันส์ในการด่า แต่ผมเห็นว่าแกไม่ได้อายุมากขนาดนั้น เลยขอใช้คำว่าพี่ ) แกโชคร้ายตรงที่ว่า ฝั่งแกไม่มีคลิปเป็นหลักฐานในการแฉความสตอของสามีภรรยาลวงโลกผู้นั้น ( กล้องหน้ารถก็ช่วยไม่ได้ เพราะเหตุเกิดข้างๆรถ เอ๊ะ หรือว่าเรามาถึงจุดที่ต้องติดกล้องไว้รอบคันซะแล้ว ) แล้วก็ไม่มีพลเมืองดีมาถ่ายคลิปและเสียงจากเหตุการณ์จริงให้ชาวโลกรับรู้ มีแต่เพียงคลิปเบลอๆในระยะประมาณ 800 เมตร ที่ไม่มีความชัดเจนทั้งภาพและเสียงใดๆ เว้นแต่เพียงคำอธิบายแบบเข้าข้างตัวเองของสามีภรรยาคู่นั้นให้ชาวเนทมโนกันเป็นตุเป็นตะ
สังคมตอนนั้น จึงได้แต่ฟังความข้างเดียวจากสามีภรรยาจอมลวงโลก ( ที่พรหมลิขิตขีดเขี่ยให้มาเป็นเนื้อคู่กัน ) ว่าถูกรังแกจากมนุษย์ป้าเพียงแค่หลานแกเปิดประตูใส่รถเบ๊นซ์ป้ายแดงเพียงแผ่วเบา ภรรยาสาวท้องผู้น่าสงสารถูกคุณพี่ (ป้า) กระโดดถีบสองเท้า (แบบไอ้มดแดง) แต่คนถีบกลับหงายหลังก้นจ้ำเบ้าซะเอง ( ตามภาพเบลอๆในคลิป และคำอธิบายของสามีเธอ )
สังคมเนทตอนนั้น ฟังแต่ปากสามีภรรยาข้างเดียว ด้วยคะแนนสงสารเพียงเพราะคำว่า "คนท้อง" ทั้งสองคนดราม่าหลั่งน้ำตาออกทีวี เรียกความสงสารจากคนทั้งประเทศว่าเธอถูกรังแก สามีจอมโหดตีบทแตกกว่านั้นอีก พูดเสียงสะอื้นหน้ากล้องว่า " ขอแค่อย่ารังแกคนท้อง" แต่ไม่พูดเรื่องที่คนท้อง (คือภรรยาเมริง) ตั้งใจเปิดประตูกระแทกใส่รถพี่เค้าถึงสองครั้งจนรถบุบ แถมยังผลักพี่เค้าจนล้ม ( แต่บอกว่าตัวเองโดนถีบ) ส่วนตัวสามีเองก็ตั้งใจขับรถไล่ชนรถพี่เค้าอีกหลังจากที่ตัวเองตามมาทีหลัง
หลังจากที่ชาวเนทเริ่มได้สติ กระแสน้ำอันเชี่ยวกรากไหลผ่านไป หลายๆคนจึงได้มาวิเคราะห์เหตุการณ์ตามความเป็นจริง จึงได้พบพิรุธหลายๆอย่าง จนกระแสตีกลับ คุณพี่ ผจก.แบ๊งค์กลายเป็นผู้บริสุทธิที่เป็นฝ่ายถูกกระทำ
แต่กว่าสังคมส่วนหนึ่งจะรู้ความจริง คุณพี่คนนั้น (รวมถึงสามีนายทหารเรือ)ก็เสียหาย อับอาย และถูกก่นด่าฟรีไปอยู่หลายวัน ส่วนสามีภรรยาจอมลวงโลกคู่นั้นก็ใช้ชีวิตตามปรกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่ได้สำนึกผิดใดๆทั้งสิ้น
เมื่อมาดูเคสดีเจหนุ่มคนนี้ สมมุติว่าเหตุเกิดในซอยเปลี่ยว ไม่มีพยานหลักฐานหรือคลิปใดๆ ทุกท่านคงคาดเดาได้ว่า ผลลัพธ์จะออกมาอย่างไร เค้าจะให้สัมภาษณ์ยังไง จะเขียนลงเฟสยังไง จะใช้คอนเนคชั่นในฐานะที่ตัวเองอยู่ในวงการสื่อบิดเบือนปั้นข่าวให้ตัวเองดูดียังไง รับรองว่าคนขับยาริสจะกลายเป็นคนเลวและเป็นผู้ร้ายไปในทันที ( แต่ไม่ได้หมายความว่าคนขับยาริสแท้จริงเป็นคนดีนะ เลวเหมือนกันแหละ ที่ชอบขับรถปาดหน้าคนอื่น เพียงแต่เลวน้อยกว่าดีเจหน่อยนึง )
โชคดีเป็นของหนุ่มยาริส ที่ครั้งนี้มีคลิปเป็นหลักฐาน และโชคดีของสังคมไทยที่ได้เห็นความสะตอเบอรี่ของคนบางคน ทำให้คนในสังคมไม่ถูกหลอกจนหลงทางไปแสนไกลอย่างเคสสาวท้อง
ข้อดีของสองเรื่องนี้ก็คือ มันช่วยเตือนสติให้เรามีวิจารณญาณมากขึ้นในการรับฟังข่าวสาร และรับฟังคู่กรณีในทุกๆเรื่องแบบมีสติ
สังคมนี้อยู่ยากขึ้นทุกวัน คนลวงโลกปลิ้นปล้อนใส่หน้ากากเป็นคนดีมันมีอยู่เยอะ
จากกรณีดีเจหนุ่มเจ้าของไร่สตอเบอรี่ ทำให้ผมนึกไปถึงเคสสาวท้องที่เปิดประตูรถชนพี่ ผจก.แบ๊งค์
เคสของพี่ ผจก.แบ๊งค์ ( ซึ่งชาวเนทนาทีนั้นพยายามเรียกแกว่าป้า เพื่อให้สังคมมองแกเป็นมนุษย์ป้าเพิ่มดีกรีความมันส์ในการด่า แต่ผมเห็นว่าแกไม่ได้อายุมากขนาดนั้น เลยขอใช้คำว่าพี่ ) แกโชคร้ายตรงที่ว่า ฝั่งแกไม่มีคลิปเป็นหลักฐานในการแฉความสตอของสามีภรรยาลวงโลกผู้นั้น ( กล้องหน้ารถก็ช่วยไม่ได้ เพราะเหตุเกิดข้างๆรถ เอ๊ะ หรือว่าเรามาถึงจุดที่ต้องติดกล้องไว้รอบคันซะแล้ว ) แล้วก็ไม่มีพลเมืองดีมาถ่ายคลิปและเสียงจากเหตุการณ์จริงให้ชาวโลกรับรู้ มีแต่เพียงคลิปเบลอๆในระยะประมาณ 800 เมตร ที่ไม่มีความชัดเจนทั้งภาพและเสียงใดๆ เว้นแต่เพียงคำอธิบายแบบเข้าข้างตัวเองของสามีภรรยาคู่นั้นให้ชาวเนทมโนกันเป็นตุเป็นตะ
สังคมตอนนั้น จึงได้แต่ฟังความข้างเดียวจากสามีภรรยาจอมลวงโลก ( ที่พรหมลิขิตขีดเขี่ยให้มาเป็นเนื้อคู่กัน ) ว่าถูกรังแกจากมนุษย์ป้าเพียงแค่หลานแกเปิดประตูใส่รถเบ๊นซ์ป้ายแดงเพียงแผ่วเบา ภรรยาสาวท้องผู้น่าสงสารถูกคุณพี่ (ป้า) กระโดดถีบสองเท้า (แบบไอ้มดแดง) แต่คนถีบกลับหงายหลังก้นจ้ำเบ้าซะเอง ( ตามภาพเบลอๆในคลิป และคำอธิบายของสามีเธอ )
สังคมเนทตอนนั้น ฟังแต่ปากสามีภรรยาข้างเดียว ด้วยคะแนนสงสารเพียงเพราะคำว่า "คนท้อง" ทั้งสองคนดราม่าหลั่งน้ำตาออกทีวี เรียกความสงสารจากคนทั้งประเทศว่าเธอถูกรังแก สามีจอมโหดตีบทแตกกว่านั้นอีก พูดเสียงสะอื้นหน้ากล้องว่า " ขอแค่อย่ารังแกคนท้อง" แต่ไม่พูดเรื่องที่คนท้อง (คือภรรยาเมริง) ตั้งใจเปิดประตูกระแทกใส่รถพี่เค้าถึงสองครั้งจนรถบุบ แถมยังผลักพี่เค้าจนล้ม ( แต่บอกว่าตัวเองโดนถีบ) ส่วนตัวสามีเองก็ตั้งใจขับรถไล่ชนรถพี่เค้าอีกหลังจากที่ตัวเองตามมาทีหลัง
หลังจากที่ชาวเนทเริ่มได้สติ กระแสน้ำอันเชี่ยวกรากไหลผ่านไป หลายๆคนจึงได้มาวิเคราะห์เหตุการณ์ตามความเป็นจริง จึงได้พบพิรุธหลายๆอย่าง จนกระแสตีกลับ คุณพี่ ผจก.แบ๊งค์กลายเป็นผู้บริสุทธิที่เป็นฝ่ายถูกกระทำ
แต่กว่าสังคมส่วนหนึ่งจะรู้ความจริง คุณพี่คนนั้น (รวมถึงสามีนายทหารเรือ)ก็เสียหาย อับอาย และถูกก่นด่าฟรีไปอยู่หลายวัน ส่วนสามีภรรยาจอมลวงโลกคู่นั้นก็ใช้ชีวิตตามปรกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่ได้สำนึกผิดใดๆทั้งสิ้น
เมื่อมาดูเคสดีเจหนุ่มคนนี้ สมมุติว่าเหตุเกิดในซอยเปลี่ยว ไม่มีพยานหลักฐานหรือคลิปใดๆ ทุกท่านคงคาดเดาได้ว่า ผลลัพธ์จะออกมาอย่างไร เค้าจะให้สัมภาษณ์ยังไง จะเขียนลงเฟสยังไง จะใช้คอนเนคชั่นในฐานะที่ตัวเองอยู่ในวงการสื่อบิดเบือนปั้นข่าวให้ตัวเองดูดียังไง รับรองว่าคนขับยาริสจะกลายเป็นคนเลวและเป็นผู้ร้ายไปในทันที ( แต่ไม่ได้หมายความว่าคนขับยาริสแท้จริงเป็นคนดีนะ เลวเหมือนกันแหละ ที่ชอบขับรถปาดหน้าคนอื่น เพียงแต่เลวน้อยกว่าดีเจหน่อยนึง )
โชคดีเป็นของหนุ่มยาริส ที่ครั้งนี้มีคลิปเป็นหลักฐาน และโชคดีของสังคมไทยที่ได้เห็นความสะตอเบอรี่ของคนบางคน ทำให้คนในสังคมไม่ถูกหลอกจนหลงทางไปแสนไกลอย่างเคสสาวท้อง
ข้อดีของสองเรื่องนี้ก็คือ มันช่วยเตือนสติให้เรามีวิจารณญาณมากขึ้นในการรับฟังข่าวสาร และรับฟังคู่กรณีในทุกๆเรื่องแบบมีสติ
สังคมนี้อยู่ยากขึ้นทุกวัน คนลวงโลกปลิ้นปล้อนใส่หน้ากากเป็นคนดีมันมีอยู่เยอะ