[รีวิวเรื่องที่ 118] The Big Short/เกมฉวยโอกาสรวย


[เรื่องที่ 118] The Big Short/เกมฉวยโอกาสรวย ; (Adam McKay, 2015)

คะแนน : 10/10

หนังเล่าเรื่องถึงยุค 2005-2008 ช่วงก่อนเกิดวิกฤตการเงินสหรัฐที่รู้จักกันดีในชื่อ 'ซับไพรม์' ซึ่งภายหลังก่อให้เกิดภาวะเศรษฐกิจซบเซาไปทั่วโลก มีกลุ่มตัวเอกทั้งสามกลุ่มนำโดยอัจฉริยะสติเฟื่องอย่าง 'ดร.เบอรรี่' (Christian Bale), ผู้จัดการกองทุนชาวยิวผู้เถรตงแบบสุดขั้ว 'พอล' (Peter Epstein) และคู่หูนักลงทุนขนาดย่อมหวังรวยล้นฟ้าอย่าง 'ชาร์ลี' (John Magaro) และ 'เจมี' (Finn Wittrock) ... กลุ่มคนทั้งสามกลุ่มนี้ได้มองเห็นช่องโหว่จากการฉ้อโกงและบิดเบือนข้อมูลของระบบเศรษฐกิจอสังหาของสหรัฐ และเลือกที่จะลงทุนเดิมพันว่าเศรษฐกิจจะล้ม..ในระบบการลงทุนที่แข็งแกร่งที่ไม่มีวี่แววว่าจะล้ม.

ก่อนอื่นต้องอวยรัวๆก่อนเลยว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังเศรษฐกิจ-การเงินเรื่องแรกที่มันส์แบบปะฉะดะได้ขนาดนี้ หากเทียบกับเรื่องอื่นในอดีตที่มักอ้างอิงถึงเหตุการณ์ที่ใกล้เคียงกันอย่าง Margin Call หรือ Wall Street ที่มักจะมีโทนหนังที่ที่ขายในการเฉือนคมกันและความสุขุมนุ่มลึกของนักลงทุนในเรื่อง, แต่หนังเรื่องนี้ไม่ใช่แบบนั้น หนังจะอุดมไปด้วยคำสบถมากมายเท่าที่จะสรรหามาได้ ประกอบกับการโต้คารมเพื่อตักตวงผลประโยชน์ของตัวเองได้อย่างถึงลูกถึงคน ผสมโรงกับการปะทะกันของอุดมคติและวิธีการของตัวละครที่คละหลากหลายกัน เมื่อมาถูกถ่ายทอดภาพด้วยเทคนิค handheld ในหลายๆฉากก็ยิ่งเสริมให้หนังมีน้ำหนักและความสมจริงมากขึ้นไปอีก

หนังเลือกที่จะดำเนินเรื่องไปข้างหน้าเป็นเส้นตรงโดยแบ่งพาร์ทให้แต่ละกลุ่มตัวละครอย่างเท่าๆกัน และในขณะเดียวกันก็สอดแทรกแง่มุมแนวคิดของตัวละครออกมาผ่านทั้งคำพูดและการกระทำชี้ให้เห็นถึง 'ความบกพร่อง' ของปุถุชนธรรมดาที่ไล่ตามความเชื่อของตัวเองจนถึงที่สุด ซึ่งก็ได้นักแสดงระดับแม่เหล็กหลายๆคนมาสวมบทบาทได้อย่างยอดเยี่ยมชนิดไม่มีใครแย่งซีนใคร เรียกว่าได้จุดขายของหนังเรื่องนี้ก็คงเป็นไดอะล็อกคมๆอันเจ็บแสบและแอ็คติ้งจากดาราชั้นนำจำนวนมากนี่แหละ

แต่หากจะกล่าวถึงประเด็นหนึ่งซึ่งอาจเป็นทั้งข้อดีและข้อเสียของหนังในเวลาเดียวกันก็คือการที่หนังลงลึกในเรื่องของการเงินชนิดลึกเอาเรื่องและเรื่องราวที่เดินไปข้างหน้าแบบรวดเร็วมากที่มาพร้อมศัพท์เฉพาะจำนวนมหาศาล ซึ่งผู้เขียนเชื่อมั่นว่าผู้ชมทั่วๆไปตามหนังไม่ทันแน่นอน (ถึงแม้หนังมันจะพยายาม simplify ด้วยวิธีการอธิบายให้เด็กประถมฟังซ้ำอีกรอบก็เถอะ) ซึ่งแกนเรื่องจะโคจรอยู่ในประเด็นของ subprime ที่เกิดขึ้นมาจากการให้กู้ยืมเพื่อที่อยู่อาศัยแบบไม่ตรวจสอบสถานะการเงินของผู้กู้ ซึ่งส่งผลให้เศรษฐกิจทั้งยวงมูลค่านับล้านล้านเหรียญสหรัฐเสมือนถูกวางทับอยู่บนลูกระเบิด ดังนั้นหากจะสนุกกับหนังให้เต็มที่โดยไม่ไปนั่งงงเป็นไก่ตาแตกในโรง ผู้เขียนขอแนะนำให้ลองกูเกิ้ลหาข้อมูลเบื้องต้นติดไปก่อน

เสน่ห์ของ The Big Short อาจไม่ได้เป็นหนังที่สื่อถึงคุณงามความดีใน moral ของคนหรือมีข้อคิดอะไรฝากให้กับคนดู แต่เป็นความเรียบง่ายของการไล่ตามเป้าหมายและนำเสนอความโลภของเหล่า 'นักลงทุน' ที่โรมรันอยู่ในตลาดเงินตราอย่างหนักแน่นบนแนวคิดของตัวเอง, ประจวบกับตัวละครที่น่าจดจำและการแสดงที่ทรงพลัง เท่านี้ก็ถือว่าคุ้มค่าที่ได้ดูในโรงแล้ว!

ป.ล. keyword ที่ควรกูเกิ้ลก่อนไปดู ; วิกฤติสินเชื่อซับไพรม์/พันธบัตร/กองทุนรวม

ขอเชิญติดตามรีวิว/ข่าวสารและร่วมกันพูดคุยเรื่องหนังได้ที่เพจครับ : https://www.facebook.com/expensivemovie
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่