สวัสดีค่ะ
ห่างหายไปนาน วันนี้ขอมาแชร์ประสบการณ์ ลูกสาว(ขวบ3เดือน)ไข้สูงปรี๊ดเมื่อตอนหยุดปีใหม่ค่ะ
หลายคนน่าจะทราบแล้วว่า คลีนิค โรงพยาบาลของญี่ปุ่น ปิดช่วงปีใหม่
ระทึกมาก ตื่นเต้นนิดๆ
ใส่คำภาษาญี่ปุ่นไว้บ้าง เผื่อเป็นประโยชน์ต่อแม่บ้านเจแปนคนไหนไม่ค่อยเก่งภาษาญี่ปุ่น
หรือน้องๆที่มาเรียนต่อแล้วเปื่อยพอดี๊พอดีค่ะ
ตามนี้เลยค่ะ
(เล่าย่อเกริ่นแป๊ป)
(ช่วงต้นเดือนธันวาคม หนีหนาวมาเที่ยวไทยแลนด์กับลูกสองคน สองอาทิตย์)
(กลับเจแปนไปวันที่25ธันวาคมค่ะ)
**เพิ่มแนะนำตัวละครอีกหน่อยค่ะ**
เฮีย = สามีของนางสุโดว์
คุณนาย = ลูกสาว ยูว์ริ ค่ะ
พี่ยุรี = มารดาของยางสุโดว์ค่ะ
พอดีหลังจากกลับมาจากไทย
ถึงเจแปนปุ๊ป จากอากาศหนาวเหงาๆของไทย มาเจออากาศหนาวจัดเต็มของเจแปน
คุณนายยูว์ริ ตกใจไง
"ป่วย"
(ใครไม่รู้จักยูว์ริ)
(แนะนำให้ไปหาอ่าน เอปิโฉดเก่าๆดูนะ มีเล่าถึงบ้าง)
(ขี้เกียจกลับไปหาอ่านอ่ะเด่ะๆ)
(สรุปสั้นๆ ลูกสาวของนางสุโดว์เองค่ะ)
(ชื่อเต็มๆได้ว่า สุโดว์ ยูว์ริ)
(อาจจะสับสนกับพี่ยุรี มารดาของข้าพเจ้า)
(มีหลักการจำง่ายๆไม่พลาดแน่นอน "ยุรีอาม่ายูว์ริ")
(พี่ยุรี เป็นอาม่าของ ยูว์ริ)
(นอกจากชื่อจะคล้ายกันแล้ว พี่ยุรียังพยายามให้ยูว์ริมีงานอดิเรกเหมือนอาม่าของเขา)
(ยูว์ริกดเครื่องคิดเลขเป็นเลขอะไรๆ พี่ยุรีจับแทงหวยให้หมดเลยค่ะ)
(หมดจริงๆค่ะ กินเกลี้ยงเลยค่ะ)
(เอาเงินไปจ่ายค่าหวยแทบไม่ทัน)
ขอเกริ่นนิสัยแม่สามีนิดนึง
แม่สามี มีนามว่า "ยูกิโกะ"
มีชื่อเล่นว่า "ยูกิจัง"
(ชื่อเล่นไม่ได้สั้นขึ้นเลย 3พยางค์เหมือนเดิม)
ใช้โค้ดเนมว่า "แม่สามี" ละกัน ตรงตัวดี
แม่สามีเป็นคน...เหมือนจะติงต๊องนิดๆน่ารักหน่อยๆ เข้าคอนเซป คิขุอาโนเนะ
ได้ยินมาว่า ตอนพี่สาวของเสามีเกิด แม่จะตั้งชื่อให้พี่สาวว่า "โคะยูกิ"
(แม่ชื่อยูกิ มีลูกก็ต้องเป็น "โคะยูกิ")
(ภาษาเจแปน ใส่"โคะ"ข้างหน้า หมายถึง"เล็กๆ")
(ถ้าเทียบกับภาษาอังกฤษจะได้เป็น "ยูกิ จูเนียร์" อะไรประมาณนี้อ่ะนะ)
แล้ว ไอ้ "โคะยูกิ" มันแปลว่า หิมะน้อยๆๆๆๆๆ
แต่
ลูกท่านเกิดฤดูร้อน ร้อนชิปๆ กลางฤดูร้อนเลยอ่ะ
จะให้ลูกท่านชื่อหิมะ
(กริบ)
(พี่สาวบอก โชคดีมากที่ไม่ได้ชื่อนี้ ไม่งั้นโดนเพื่อนล้อจนโต)
แม่สามี ยังเป็นโรค "คิดไปเอง"
โรคนี้น่ากลัวมาก
และที่น่ากลัวกว่านั้นคือ แม่ผัวยังเป็นโรคเชื่อ "เขาว่ากันว่า"
(โรคนี้ที่เจแปนก็มี "เขา" นี่ใคร ดิฉันถามแม่สามีประจำ แม่สามีก็ได้แต่ตอบว่า "เขา")
และแม่สามียังเป็นโรค "อนามัยจัดๆๆๆๆๆๆ" เช็ดถูกๆ
(เข้าบ้านมาปุ๊ป แม่รีบเอาทิชชู่แอลกอฮอล์เช็ดๆที่รีโมททีวี)
(แม่บอกว่ามันมีแต่เชื้อโรค)
(ไม่เข้าใจ ทำไมมีเชื้อโรคแค่ที่รีโมท)
แล้วใส่ผ้าคาดปากตลอดเวลา
แม่สามีอ้างว่า "เนี่ยยยย วันนี้ตื่นมาแล้วรู้สึก ความชื้นในอากาศมีน้อยมากกกกกก กลัวเจ็บคอ"
.
.
(ในร่างกายมีเครื่องวัดความชื้นในอากาศ แม่ควรไปทำงานกรมอุตุ)
กลับมาเรื่องยูว์ริป่วย
กลับมาที่ญี่ปุ่นวันที่ 25 ธันวาคม
กลับมาร่าเริง หัวเราะเอิ๊กอ๊าก เดินเที่ยวเล่นสนามบิน กินข้าวเยอะเป็นปกติ
กลับมาถึงบ้าน เข้าบ้านแม่ปุ๊ป
ดูนางเหนื่อยๆ ไม่แฮปปี้กับความหนาวเหน็บ
คืนวันนั้น5ทุ่ม นางสุโดว์วัดไข้แล้วได้ 38.5องศา
อืมมมมมมมมม
เช็ดตัวเดี๋ยวก็คงไข้ลด
แต่
แม่สามีกรี๊ดดดดดดดดดด
ต้องไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้นะๆ
(จะให้ไปเดี๋ยวนี้เนี่ยนะ ลูกป่วยกว่าเดิมมั้งแม่)
เลยบอกว่าให้รอดูอาการแป๊ป พรุ่งนี้เช้าเดี๋ยวพาไปนะๆ
เช้าตื่นขึ้นมา นางสุโดว์ก็เช็ดตัวคุณนายๆ คุณนายก็ร้องกรี๊ดงอแง
แต่หน้าไม่แดง เช็ดตัวเสร็จก็วิ่งเล่นต่อ
ไข้ก็ขึ้นๆลงๆ37บ้าง 38บ้าง อยู่ดีๆ39
(ตอนนั้นเดาว่า เครื่องไว้ไข้ของแม่สามีเสียค่ะ)
แม่บอกให้ไปคลินิคที่แม่ไปประจำ ยาที่นั่นเขาดี เปิดวันเสาร์ด้วย ไปด้วยกันเดี๋ยวนี้เลย
เฮียทักมาว่า ที่นั่นไม่ใช่คลีนิคเด็ก รับตรวจเด็กหรอ ยูว์ริเพิ่งจะ1ขวบเองนะเฟ้ย
แม่ยืนยัน "เขาตรวจ"
เลยรีบอุ้ม พาไปหาหมอที่คลีนิคประจำของแม่
ปรากฎว่า หมอไม่รับตรวจ!!!!!!!
แม่หน้าแตกเถียงกับหมออยู่2นาที จนหมอแนะนำให้ไปคลีนิคเด็กใกล้ๆ เก่าหน่อย เปิดถึงบ่ายสอง
มองนาฬิกา บ่ายโมงสี่สิบห้า
อีก15นาที เฮียจงเหยียบให้มิดแล้วพาพวกเราไปให้ถึงหมอด้วย
ระหว่างทางเหยียบคันเร่ง
(คือ มันไม่ได้ไกล สี่แยกเดียว แต่รถมันเยอะ มันตื่นเต้น)
แม่สามี โทรไปหาคลีนิคที่กำลังไป บอกว่า "ได้คำแนะนำจากคลีนิคโมริ ให้พาหลานมาหาที่คลีนิคคุณ"
นางพยาบาลที่รับสาย "ค่ะ ยินดีค่ะ"
แม่สามี "คิดว่าคงไปถึงทันบ่ายสองนะคะ ชื่อสุโดว์ค่ะ"
นางพยาบาลที่รับสาย "รับคนไข้ถึงบ่ายสองค่ะ ถ้ามาหลังจากนั้นปิดค่ะ"
.
.
.
กริบค่ะ นางพยาบาลเย็นชาดังอากาศหนาวของเจแปน
(อย่าไปว่าเขา เขาทำตามหน้าที่ค่ะ)
แม่สามีได้ยินอย่างงี้ กริบเช่นกันค่ะ บ่นหงุบหงิบๆ คลีนิคนี้ไม่น่าคบ
แล้วก็มาเร่งเฮียให้เหยียบคันเร่งมิดกว่าเดิม
สรุป ไปทันค่ะ
นางสุโดว์อุ้มยูว์ริผ่านประตูคลีนิคที่มีนางพยาบาลกำลังเอื้อมมีอไปแปะป้ายว่า "งดรับคนไข้"
ระทึกมากกกกกกก
รอไปชั่วโมงกว่าๆจนได้เจอหมอ
เป็นหมอแก่ๆ เหงาๆ
หมอถามมา "อ่าว ทำไมที่อยู่ อยู่ไกลจังหละ"
(นางสุโดว์ อาศัยอยู่จังหวัดที่มีภูเขาไฟฟูจิค่ะ นี่กลับมาอยู่บ้านแม่ที่โยโกฮาม่าตอนปีใหม่)
เฮีย "อาศัยอยู่ที่โน้นครับ นี่กลับมาปีใหม่"
หมอ "แล้วที่โน้น มันมีโรคระบาดอะไรไม๊"
เฮีย "…ไม่มีนะครับ"
นางสุโดว์ "นี่ไปไทยมา เพิ่งกลับมาเมื่อวานนี้อ่ะค่ะ"
หมอ "แล้วที่ไทย กำลังระบาดอะไรไม๊"
.
.
.
เฮ้ย ช่วยแตะตัวลูกกูบ้าง อย่าเอาแต่ถาม ไม่ได้พาลูกไปแหล่งโรคระบาด
(อย่าไปว่าเขา หมอก็ซักประวัติคนไข้ตามปกติ)
(รักหมอนะ)
หมอ "อืมมม งั้นลองตรวจไข้หวัดใหญ่ดูนะ"
(ที่เจแปน พอหนาวปุ๊ปจะฮิต "อินฟุรูเอ็นซ่า")
(ระบาดมาก ทุกคนต้องไปฉีดวัคซีน)
(แต่ครอบครัวสุโดว์ไม่มีใครไปฉีดซักกะคน)
รอผลตรวจแล้ว ก็ไม่เป็นอินฟุรูเอ็นซ่า
หมอหันมาถาม "นี่เป็นอะไรเนี่ย"
นั่นอ่ะเด่ะ อยากรู้เช่นกัน
หมอเลยให้ยาแก้ไข้ กับยาลดน้ำมูก
ให้แค่ใบสั่งยานะ
ต้องไปหาซื้อยาต่อเองค่ะ
(มีบางคลีนิคที่ขายยาด้วยเลย แต่น้อยม๊าก)
มาจ่ายเงิน ดูบิลแล้วตกใจ
ค่ารักษาทั้งหมด "9800เยน"
(ได้เงินไทยเป็น 2940 บาท)
(แค่หมอมาถามว่าที่ไหนระบาดโรคอะไรไหม)
แต่ไม่ต้องห่วงค่ะ เรามีใบประกันสุขภาพ
จ่ายจริงแค่ 1950 เยน
เบาๆ
ทีนี่ อุตส่าห์ได้หาหมอในวันเสาร์ ถือว่าบุญมากๆๆๆ เพราะส่วนใหญ่ไม่เปิดวันเสาร์
แต่มามีอีกอุปสรรคนะ
ร้านขายยาไม่เปิดไง
นางพยาบาล (ไม่รู้ว่าใช่คนที่รับโทรศัพท์ด้วยเสียงเย็นชาหรือป่าว) บอกมาว่า "ใบสั่งยา ใช้ได้ถึงวันจันทร์ ไว้ค่อยวันจันทร์ค่อยไปซื้อก็ได้นะ"
ให้ไปซื้อยาวันจันทร์ แล้วดิฉันจะเหยียบคันเร่งมิดมาหาหมอวันนี้ทำไมกันนนนนนนนนนนน
เลย นั่งถามกูเกิ้ล จนได้ร้านขายยา แล้วรีบบึ่งไปซื้อยาค่ะ
(ที่จริง ร้านขายเครื่องสำอางที่คนไทยชอบไปช้อปปิ้งกัน Matsumoto Kiyoshi อะไรพวกนี้ บางสาขาก็รับจัดยาจากใบสั่งยาของหมอนะเรียก 処方せん しょほうせん โชโฮเซน)
(หาคำนี้ไว้ เผื่อใครต้องซื้อยาแบบนางสุโดว์)
หน้าร้านจะแปะป้ายไว้ให้เห็นชัดเลยว่าสาขานี้รับนะจ๊ะ

ประมาณนี้นะคะ ป้ายแดงๆ
ได้มาแล้ว ทางร้านขายยาทำสมุดสะสมยาให้ด้วย
(เรียกซะน่ากลัว)
เป็นสมุดโน้ตว่า เราเคยรับยาอะไรไปแล้วบ้าง
(สะดวกนะ ไทยมีมะ?)
ในใบขาวๆใหญ่ๆ อธิบายไว้กริ๊บละเอียดเป๊ะ ว่ายาอะไร แก้อาการอะไร กินยังไง
เทยาไปถึงขีดไหนๆ ผสมน้ำผลไม้กินก็ได้นะ แต่คุณต้องบังคับลูกดูดน้ำแก้วนั้นให้หมดนะ อะไรประมาณนี้
แม่สามีแฮปปี้กับร้านขายยาที่นี่มาก อุดหนุนขนมเด็กเสริมแคลเซียมให้คุณนายยูว์ริด้วย
(แม่ผัวยังเป็นห่วง ยูว์ริกินแต่นมแม่ กลัวกระดูกไม่แข็งแรง)
(บำรุงดิฉันด้วย ดิฉันโดนดูดสารอาหารพรุนทั้งตัวแร้น)
ยาแก้ไข้ เภสัชบอกไว้ว่า ให้กินต่อเมื่อเกิน 38.5 องศา
แต่
ถ้าเกิน 38.5องศา แต่คุณนายร่าเริงแจ่มใสบรรหารมากมายก็ไม่ต้องกิน น้องกำลังต่อสู้กับโรคอยู่
โอเคๆ ไม่กินๆ
จัดไปคืนแรก กินยาไปสองครั้งได้
เช็ดตัวได้บ้าง
แม่สามีไม่อยากให้เช็ดตัว
สาเหตุ
"สงสาร"
เวลาเช็ดตัวยูว์ริจะร้องดังมากเกินระดับเดซิเบลที่กำหนด
เป็นเสียงที่ดังไปถึงถนนใหญ่
น้ำตาไหลพรากและทำสายตางอนทุกคนบนโลก
แม่สามี "สงสาร"
บอกมาว่า ญี่ปุ่นไม่รักษากันอย่างงี้
เลยถามไปว่า ไข้ตัวร้อนพวกทำไง
"ให้นอน เหงื่อออกแล้วก็ให้เปลี่ยนเสื้อ"
วัดไข้ตอนเที่ยงคืน
40.5 องศา
กริบ
ตัวร้อนเจี๊ยก
ให้กินยาก็ลดลงมาบ้าง 38-39
พอต่ำกว่า38 นางสุโดว์จะให้กินยาแก้ไข้ต่อก็ไม่ให้กิน
บอกมาว่า ต้อง38.5ขึ้นไปถึงกินได้ ตามหมอสั่ง
พอกลางวันไข้ขึ้น 38.8องศา
นางสุโดว์บอกว่าจะให้กินยาหละนะ เกิน38.5แล้ว
ก็ไม่ให้กินอีก บอกว่า "ดูเด่ะๆ วิ่งเล่นร่าเริงอย่างงี้ กำลังต่อสู้กับโรคอยู่"
แล้วแม่ก็เริ่มหาคลีนิคอื่นๆอีก
แม่ไม่มั่นใจ
แม่ต้องการ second opinion
แม่ต้องการแล้วแม่ถามหรือยังว่าแม่มันจริงๆต้องการหรือไม
พอแม่มาถามว่า "ในฐานะที่แนนจังเป็นแม่ แนนจังจะรักษายังไง อยากพาไปหาอีกหมอไม๊"
พอตอบไป "ไม่ต้องมั้งงงง ให้เช็ดตัว เดี๋ยวก็ไข้ลด ถ้าพาไปก็ได้ยาแก้ไข้กลับมา (แล้วพวกแม่ก็ไม่ให้ป้อนยาอีก เปลืองค่าหมอค่ายาว่ะ)"
(ในวงเล็บคือพูดในใจ)
(ถ้าพูดนอกใจ อาจเจอแม่สั่งหย่า)
พอแม่ได้ยินคำตอบ "แม่ไปบอกเฮียให้พาไปหาอีกหมอ"
(นี่…ไม่เชื่อสะใภ้ไทยเลยหรือไง)
มาถึงจุดนี้ ใครมีลูกแล้วมีปัญหาคาใจกับแม่สามี
คงเข้าใจจิตใจนางสุโดว์ตอนนั้นมากมาย
"สรุปคุณท่านจะให้ข้าพเจ้าทำอย่างไรรรรรรสัสสสสสสส"
ใช่มะ
แต่นางสุโดว์แอบเช็ดตัวให้ยูว์ริทุกๆ1ชั่วโมงนะ
จะว่าแอบก็แอบไม่ค่อยได้
เสียงมันร้องร่ำไห้ประกาศแจ้งว่าโดนเช็ดตัวอยู่
ทั้งวันทุกบทสนทนา แม่จะพูดลอยๆมาว่า "แนนจังงง ไม่ต้องเช็ดตัวแล้วนะ น้องน่าสงสาร"
ไม่ก็ "คนที่นี่เขาไม่เช็ดตัวกันนนนน"
ไม่ก็ "ร่าเริงแล้ว ไม่ต้องเช็ดแล้วนะ"
ไม่ก็ "ไปหาอีกหมอไหม ไข้ไม่ลดเลย"
(ยาก็ไม่ให้กิน ตัวก็ไม่ให้เช็ด ไข้ไม่สามารถลดได้ด้วยการสวดมนต์นะคะคุณแม่)
สรุป2วันไข้ก็ลดค่ะ
แต่ตัวดันมีจุดแดงๆ ไทยแลนด์เรียก ส่าไข้
แต่ เจแปนบ้านนี้เรียกเสียงกรี๊ดให้คุณแม่สามีค่ะ
มาประโยคเดิมๆ "ไปหาหมอเลยนะ วันนี้วันที่30แล้ว คลีนิคเปิดเป็นวันสุดท้าย"
ปึใหม่ หมอหยุดค่ะ ไม่แคร์สายตาคนไข้ ส่วนใหญ่หยุด30ธันวาคมถึง3มกราคม
ระหว่างนี้ถ้าป่วยหนัก ไปหาโรงพยาบาลฉุกเฉินกันเอง ไม่ก็เรียกรถพยาบาลกันไปค่ะ
เฮียทนเสียงกดดันของแม่ตัวเองไม่ไหว
เลยหาไปหาอีกคลีนิคนึงค่ะ
เจอหมอผู้หญิง วัยรุ่นหน่อยๆ ท่าทางสบายๆ
ถอดเสื้อให้หมอดู หมอก็บอกว่าเนี่ยกำลังหายแล้ว ไม่ต้องทายาอะไรหรอก
เฮียถามไป "สาเหตุมาจากอะไรครับ"
หมอทำท่านึก "อืมมมมม ก็ไว้รัสแบคทีเรียอะไรซักอย่าง ทำปฎิกิริยาอะไรซักอย่างกับร่างกาย"
(นั่นแหละ ไอ้อะไรซักอย่าง ก็อยากรู้มากเลยว่าคืออะไร)
สรุป เสียค่าหาหมอไปอีก 3พันเยน
แล้วก็พายูว์ริไปเดินซื้อของกินที่ห้างแป๊ปๆแล้วก็กลับบ้าน
วันรุ่งขึ้นน้องก็ร่าเริงไปเดินเล่นเที่ยวห้างได้ปกติ
มีแต่นางสุโดว์เท่านั้นที่เหนื่อยใจกับแม่สามี
(ปล. มีต่ออีกเอปิโฉด เร็วๆนี้)
นึกว่ากำลังจะหมดปีชงแล้วนะยะยะ
วันที่31ธันวาคม
เวลา3ทุ่มตรง
ไอโฟน6เอสเครื่องใหม่
จอแตกเป็นครั้งที่2
.
.
.
กริบมาก
สาธุ สวัสดีปีใหม่ค่ะ
ใครสนใจอ่านบทความเก่าๆได้ที่
https://www.facebook.com/mrs.sudoinjapan
เอปิโฉดเก่าๆดราม่าๆที่นี่ค่ะ
ประสบการณ์แม่บ้านเจแปน**ญี่ปุ่นคิดได้ไง vol.6 ตอนโดนสั่งผ่าคลอด
http://pantip.com/topic/33752395
ประสบการณ์แม่บ้านเจแปน**ญี่ปุ่นคิดได้ไง vol.7 ตอนผ่าคลอดแล้วนะ
http://pantip.com/topic/33775837
ประสบการณ์แม่บ้านเจแปน**ญี่ปุ่นคิดได้ไง vol.8 นอนโรงพยาบาลเจแปนครั้งแรกในชีวิต
http://pantip.com/topic/33868639
ประสบการณ์แม่บ้านเจแปน**ญี่ปุ่นคิดได้ไง vol.9 ตามผลหลังคลอด
http://pantip.com/topic/33959337
ประสบการณ์แม่บ้านเจแปน**ญี่ปุ่นคิดได้ไง vol.13 ฆ่าแมลงหลายขา
http://pantip.com/topic/34258717
ประสบการณ์แม่บ้านเจแปน**ญี่ปุ่นคิดได้ไง vol.14 เมื่อลูกป่วยตอนปีใหม่
ห่างหายไปนาน วันนี้ขอมาแชร์ประสบการณ์ ลูกสาว(ขวบ3เดือน)ไข้สูงปรี๊ดเมื่อตอนหยุดปีใหม่ค่ะ
หลายคนน่าจะทราบแล้วว่า คลีนิค โรงพยาบาลของญี่ปุ่น ปิดช่วงปีใหม่
ระทึกมาก ตื่นเต้นนิดๆ
ใส่คำภาษาญี่ปุ่นไว้บ้าง เผื่อเป็นประโยชน์ต่อแม่บ้านเจแปนคนไหนไม่ค่อยเก่งภาษาญี่ปุ่น
หรือน้องๆที่มาเรียนต่อแล้วเปื่อยพอดี๊พอดีค่ะ
ตามนี้เลยค่ะ
(เล่าย่อเกริ่นแป๊ป)
(ช่วงต้นเดือนธันวาคม หนีหนาวมาเที่ยวไทยแลนด์กับลูกสองคน สองอาทิตย์)
(กลับเจแปนไปวันที่25ธันวาคมค่ะ)
**เพิ่มแนะนำตัวละครอีกหน่อยค่ะ**
เฮีย = สามีของนางสุโดว์
คุณนาย = ลูกสาว ยูว์ริ ค่ะ
พี่ยุรี = มารดาของยางสุโดว์ค่ะ
พอดีหลังจากกลับมาจากไทย
ถึงเจแปนปุ๊ป จากอากาศหนาวเหงาๆของไทย มาเจออากาศหนาวจัดเต็มของเจแปน
คุณนายยูว์ริ ตกใจไง
"ป่วย"
(ใครไม่รู้จักยูว์ริ)
(แนะนำให้ไปหาอ่าน เอปิโฉดเก่าๆดูนะ มีเล่าถึงบ้าง)
(ขี้เกียจกลับไปหาอ่านอ่ะเด่ะๆ)
(สรุปสั้นๆ ลูกสาวของนางสุโดว์เองค่ะ)
(ชื่อเต็มๆได้ว่า สุโดว์ ยูว์ริ)
(อาจจะสับสนกับพี่ยุรี มารดาของข้าพเจ้า)
(มีหลักการจำง่ายๆไม่พลาดแน่นอน "ยุรีอาม่ายูว์ริ")
(พี่ยุรี เป็นอาม่าของ ยูว์ริ)
(นอกจากชื่อจะคล้ายกันแล้ว พี่ยุรียังพยายามให้ยูว์ริมีงานอดิเรกเหมือนอาม่าของเขา)
(ยูว์ริกดเครื่องคิดเลขเป็นเลขอะไรๆ พี่ยุรีจับแทงหวยให้หมดเลยค่ะ)
(หมดจริงๆค่ะ กินเกลี้ยงเลยค่ะ)
(เอาเงินไปจ่ายค่าหวยแทบไม่ทัน)
ขอเกริ่นนิสัยแม่สามีนิดนึง
แม่สามี มีนามว่า "ยูกิโกะ"
มีชื่อเล่นว่า "ยูกิจัง"
(ชื่อเล่นไม่ได้สั้นขึ้นเลย 3พยางค์เหมือนเดิม)
ใช้โค้ดเนมว่า "แม่สามี" ละกัน ตรงตัวดี
แม่สามีเป็นคน...เหมือนจะติงต๊องนิดๆน่ารักหน่อยๆ เข้าคอนเซป คิขุอาโนเนะ
ได้ยินมาว่า ตอนพี่สาวของเสามีเกิด แม่จะตั้งชื่อให้พี่สาวว่า "โคะยูกิ"
(แม่ชื่อยูกิ มีลูกก็ต้องเป็น "โคะยูกิ")
(ภาษาเจแปน ใส่"โคะ"ข้างหน้า หมายถึง"เล็กๆ")
(ถ้าเทียบกับภาษาอังกฤษจะได้เป็น "ยูกิ จูเนียร์" อะไรประมาณนี้อ่ะนะ)
แล้ว ไอ้ "โคะยูกิ" มันแปลว่า หิมะน้อยๆๆๆๆๆ
แต่
ลูกท่านเกิดฤดูร้อน ร้อนชิปๆ กลางฤดูร้อนเลยอ่ะ
จะให้ลูกท่านชื่อหิมะ
(กริบ)
(พี่สาวบอก โชคดีมากที่ไม่ได้ชื่อนี้ ไม่งั้นโดนเพื่อนล้อจนโต)
แม่สามี ยังเป็นโรค "คิดไปเอง"
โรคนี้น่ากลัวมาก
และที่น่ากลัวกว่านั้นคือ แม่ผัวยังเป็นโรคเชื่อ "เขาว่ากันว่า"
(โรคนี้ที่เจแปนก็มี "เขา" นี่ใคร ดิฉันถามแม่สามีประจำ แม่สามีก็ได้แต่ตอบว่า "เขา")
และแม่สามียังเป็นโรค "อนามัยจัดๆๆๆๆๆๆ" เช็ดถูกๆ
(เข้าบ้านมาปุ๊ป แม่รีบเอาทิชชู่แอลกอฮอล์เช็ดๆที่รีโมททีวี)
(แม่บอกว่ามันมีแต่เชื้อโรค)
(ไม่เข้าใจ ทำไมมีเชื้อโรคแค่ที่รีโมท)
แล้วใส่ผ้าคาดปากตลอดเวลา
แม่สามีอ้างว่า "เนี่ยยยย วันนี้ตื่นมาแล้วรู้สึก ความชื้นในอากาศมีน้อยมากกกกกก กลัวเจ็บคอ"
.
.
(ในร่างกายมีเครื่องวัดความชื้นในอากาศ แม่ควรไปทำงานกรมอุตุ)
กลับมาเรื่องยูว์ริป่วย
กลับมาที่ญี่ปุ่นวันที่ 25 ธันวาคม
กลับมาร่าเริง หัวเราะเอิ๊กอ๊าก เดินเที่ยวเล่นสนามบิน กินข้าวเยอะเป็นปกติ
กลับมาถึงบ้าน เข้าบ้านแม่ปุ๊ป
ดูนางเหนื่อยๆ ไม่แฮปปี้กับความหนาวเหน็บ
คืนวันนั้น5ทุ่ม นางสุโดว์วัดไข้แล้วได้ 38.5องศา
อืมมมมมมมมม
เช็ดตัวเดี๋ยวก็คงไข้ลด
แต่
แม่สามีกรี๊ดดดดดดดดดด
ต้องไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้นะๆ
(จะให้ไปเดี๋ยวนี้เนี่ยนะ ลูกป่วยกว่าเดิมมั้งแม่)
เลยบอกว่าให้รอดูอาการแป๊ป พรุ่งนี้เช้าเดี๋ยวพาไปนะๆ
เช้าตื่นขึ้นมา นางสุโดว์ก็เช็ดตัวคุณนายๆ คุณนายก็ร้องกรี๊ดงอแง
แต่หน้าไม่แดง เช็ดตัวเสร็จก็วิ่งเล่นต่อ
ไข้ก็ขึ้นๆลงๆ37บ้าง 38บ้าง อยู่ดีๆ39
(ตอนนั้นเดาว่า เครื่องไว้ไข้ของแม่สามีเสียค่ะ)
แม่บอกให้ไปคลินิคที่แม่ไปประจำ ยาที่นั่นเขาดี เปิดวันเสาร์ด้วย ไปด้วยกันเดี๋ยวนี้เลย
เฮียทักมาว่า ที่นั่นไม่ใช่คลีนิคเด็ก รับตรวจเด็กหรอ ยูว์ริเพิ่งจะ1ขวบเองนะเฟ้ย
แม่ยืนยัน "เขาตรวจ"
เลยรีบอุ้ม พาไปหาหมอที่คลีนิคประจำของแม่
ปรากฎว่า หมอไม่รับตรวจ!!!!!!!
แม่หน้าแตกเถียงกับหมออยู่2นาที จนหมอแนะนำให้ไปคลีนิคเด็กใกล้ๆ เก่าหน่อย เปิดถึงบ่ายสอง
มองนาฬิกา บ่ายโมงสี่สิบห้า
อีก15นาที เฮียจงเหยียบให้มิดแล้วพาพวกเราไปให้ถึงหมอด้วย
ระหว่างทางเหยียบคันเร่ง
(คือ มันไม่ได้ไกล สี่แยกเดียว แต่รถมันเยอะ มันตื่นเต้น)
แม่สามี โทรไปหาคลีนิคที่กำลังไป บอกว่า "ได้คำแนะนำจากคลีนิคโมริ ให้พาหลานมาหาที่คลีนิคคุณ"
นางพยาบาลที่รับสาย "ค่ะ ยินดีค่ะ"
แม่สามี "คิดว่าคงไปถึงทันบ่ายสองนะคะ ชื่อสุโดว์ค่ะ"
นางพยาบาลที่รับสาย "รับคนไข้ถึงบ่ายสองค่ะ ถ้ามาหลังจากนั้นปิดค่ะ"
.
.
.
กริบค่ะ นางพยาบาลเย็นชาดังอากาศหนาวของเจแปน
(อย่าไปว่าเขา เขาทำตามหน้าที่ค่ะ)
แม่สามีได้ยินอย่างงี้ กริบเช่นกันค่ะ บ่นหงุบหงิบๆ คลีนิคนี้ไม่น่าคบ
แล้วก็มาเร่งเฮียให้เหยียบคันเร่งมิดกว่าเดิม
สรุป ไปทันค่ะ
นางสุโดว์อุ้มยูว์ริผ่านประตูคลีนิคที่มีนางพยาบาลกำลังเอื้อมมีอไปแปะป้ายว่า "งดรับคนไข้"
ระทึกมากกกกกกก
รอไปชั่วโมงกว่าๆจนได้เจอหมอ
เป็นหมอแก่ๆ เหงาๆ
หมอถามมา "อ่าว ทำไมที่อยู่ อยู่ไกลจังหละ"
(นางสุโดว์ อาศัยอยู่จังหวัดที่มีภูเขาไฟฟูจิค่ะ นี่กลับมาอยู่บ้านแม่ที่โยโกฮาม่าตอนปีใหม่)
เฮีย "อาศัยอยู่ที่โน้นครับ นี่กลับมาปีใหม่"
หมอ "แล้วที่โน้น มันมีโรคระบาดอะไรไม๊"
เฮีย "…ไม่มีนะครับ"
นางสุโดว์ "นี่ไปไทยมา เพิ่งกลับมาเมื่อวานนี้อ่ะค่ะ"
หมอ "แล้วที่ไทย กำลังระบาดอะไรไม๊"
.
.
.
เฮ้ย ช่วยแตะตัวลูกกูบ้าง อย่าเอาแต่ถาม ไม่ได้พาลูกไปแหล่งโรคระบาด
(อย่าไปว่าเขา หมอก็ซักประวัติคนไข้ตามปกติ)
(รักหมอนะ)
หมอ "อืมมม งั้นลองตรวจไข้หวัดใหญ่ดูนะ"
(ที่เจแปน พอหนาวปุ๊ปจะฮิต "อินฟุรูเอ็นซ่า")
(ระบาดมาก ทุกคนต้องไปฉีดวัคซีน)
(แต่ครอบครัวสุโดว์ไม่มีใครไปฉีดซักกะคน)
รอผลตรวจแล้ว ก็ไม่เป็นอินฟุรูเอ็นซ่า
หมอหันมาถาม "นี่เป็นอะไรเนี่ย"
นั่นอ่ะเด่ะ อยากรู้เช่นกัน
หมอเลยให้ยาแก้ไข้ กับยาลดน้ำมูก
ให้แค่ใบสั่งยานะ
ต้องไปหาซื้อยาต่อเองค่ะ
(มีบางคลีนิคที่ขายยาด้วยเลย แต่น้อยม๊าก)
มาจ่ายเงิน ดูบิลแล้วตกใจ
ค่ารักษาทั้งหมด "9800เยน"
(ได้เงินไทยเป็น 2940 บาท)
(แค่หมอมาถามว่าที่ไหนระบาดโรคอะไรไหม)
แต่ไม่ต้องห่วงค่ะ เรามีใบประกันสุขภาพ
จ่ายจริงแค่ 1950 เยน
เบาๆ
ทีนี่ อุตส่าห์ได้หาหมอในวันเสาร์ ถือว่าบุญมากๆๆๆ เพราะส่วนใหญ่ไม่เปิดวันเสาร์
แต่มามีอีกอุปสรรคนะ
ร้านขายยาไม่เปิดไง
นางพยาบาล (ไม่รู้ว่าใช่คนที่รับโทรศัพท์ด้วยเสียงเย็นชาหรือป่าว) บอกมาว่า "ใบสั่งยา ใช้ได้ถึงวันจันทร์ ไว้ค่อยวันจันทร์ค่อยไปซื้อก็ได้นะ"
ให้ไปซื้อยาวันจันทร์ แล้วดิฉันจะเหยียบคันเร่งมิดมาหาหมอวันนี้ทำไมกันนนนนนนนนนนน
เลย นั่งถามกูเกิ้ล จนได้ร้านขายยา แล้วรีบบึ่งไปซื้อยาค่ะ
(ที่จริง ร้านขายเครื่องสำอางที่คนไทยชอบไปช้อปปิ้งกัน Matsumoto Kiyoshi อะไรพวกนี้ บางสาขาก็รับจัดยาจากใบสั่งยาของหมอนะเรียก 処方せん しょほうせん โชโฮเซน)
(หาคำนี้ไว้ เผื่อใครต้องซื้อยาแบบนางสุโดว์)
หน้าร้านจะแปะป้ายไว้ให้เห็นชัดเลยว่าสาขานี้รับนะจ๊ะ
ประมาณนี้นะคะ ป้ายแดงๆ
ได้มาแล้ว ทางร้านขายยาทำสมุดสะสมยาให้ด้วย
(เรียกซะน่ากลัว)
เป็นสมุดโน้ตว่า เราเคยรับยาอะไรไปแล้วบ้าง
(สะดวกนะ ไทยมีมะ?)
ในใบขาวๆใหญ่ๆ อธิบายไว้กริ๊บละเอียดเป๊ะ ว่ายาอะไร แก้อาการอะไร กินยังไง
เทยาไปถึงขีดไหนๆ ผสมน้ำผลไม้กินก็ได้นะ แต่คุณต้องบังคับลูกดูดน้ำแก้วนั้นให้หมดนะ อะไรประมาณนี้
แม่สามีแฮปปี้กับร้านขายยาที่นี่มาก อุดหนุนขนมเด็กเสริมแคลเซียมให้คุณนายยูว์ริด้วย
(แม่ผัวยังเป็นห่วง ยูว์ริกินแต่นมแม่ กลัวกระดูกไม่แข็งแรง)
(บำรุงดิฉันด้วย ดิฉันโดนดูดสารอาหารพรุนทั้งตัวแร้น)
ยาแก้ไข้ เภสัชบอกไว้ว่า ให้กินต่อเมื่อเกิน 38.5 องศา
แต่
ถ้าเกิน 38.5องศา แต่คุณนายร่าเริงแจ่มใสบรรหารมากมายก็ไม่ต้องกิน น้องกำลังต่อสู้กับโรคอยู่
โอเคๆ ไม่กินๆ
จัดไปคืนแรก กินยาไปสองครั้งได้
เช็ดตัวได้บ้าง
แม่สามีไม่อยากให้เช็ดตัว
สาเหตุ
"สงสาร"
เวลาเช็ดตัวยูว์ริจะร้องดังมากเกินระดับเดซิเบลที่กำหนด
เป็นเสียงที่ดังไปถึงถนนใหญ่
น้ำตาไหลพรากและทำสายตางอนทุกคนบนโลก
แม่สามี "สงสาร"
บอกมาว่า ญี่ปุ่นไม่รักษากันอย่างงี้
เลยถามไปว่า ไข้ตัวร้อนพวกทำไง
"ให้นอน เหงื่อออกแล้วก็ให้เปลี่ยนเสื้อ"
วัดไข้ตอนเที่ยงคืน
40.5 องศา
กริบ
ตัวร้อนเจี๊ยก
ให้กินยาก็ลดลงมาบ้าง 38-39
พอต่ำกว่า38 นางสุโดว์จะให้กินยาแก้ไข้ต่อก็ไม่ให้กิน
บอกมาว่า ต้อง38.5ขึ้นไปถึงกินได้ ตามหมอสั่ง
พอกลางวันไข้ขึ้น 38.8องศา
นางสุโดว์บอกว่าจะให้กินยาหละนะ เกิน38.5แล้ว
ก็ไม่ให้กินอีก บอกว่า "ดูเด่ะๆ วิ่งเล่นร่าเริงอย่างงี้ กำลังต่อสู้กับโรคอยู่"
แล้วแม่ก็เริ่มหาคลีนิคอื่นๆอีก
แม่ไม่มั่นใจ
แม่ต้องการ second opinion
แม่ต้องการแล้วแม่ถามหรือยังว่าแม่มันจริงๆต้องการหรือไม
พอแม่มาถามว่า "ในฐานะที่แนนจังเป็นแม่ แนนจังจะรักษายังไง อยากพาไปหาอีกหมอไม๊"
พอตอบไป "ไม่ต้องมั้งงงง ให้เช็ดตัว เดี๋ยวก็ไข้ลด ถ้าพาไปก็ได้ยาแก้ไข้กลับมา (แล้วพวกแม่ก็ไม่ให้ป้อนยาอีก เปลืองค่าหมอค่ายาว่ะ)"
(ในวงเล็บคือพูดในใจ)
(ถ้าพูดนอกใจ อาจเจอแม่สั่งหย่า)
พอแม่ได้ยินคำตอบ "แม่ไปบอกเฮียให้พาไปหาอีกหมอ"
(นี่…ไม่เชื่อสะใภ้ไทยเลยหรือไง)
มาถึงจุดนี้ ใครมีลูกแล้วมีปัญหาคาใจกับแม่สามี
คงเข้าใจจิตใจนางสุโดว์ตอนนั้นมากมาย
"สรุปคุณท่านจะให้ข้าพเจ้าทำอย่างไรรรรรรสัสสสสสสส"
ใช่มะ
แต่นางสุโดว์แอบเช็ดตัวให้ยูว์ริทุกๆ1ชั่วโมงนะ
จะว่าแอบก็แอบไม่ค่อยได้
เสียงมันร้องร่ำไห้ประกาศแจ้งว่าโดนเช็ดตัวอยู่
ทั้งวันทุกบทสนทนา แม่จะพูดลอยๆมาว่า "แนนจังงง ไม่ต้องเช็ดตัวแล้วนะ น้องน่าสงสาร"
ไม่ก็ "คนที่นี่เขาไม่เช็ดตัวกันนนนน"
ไม่ก็ "ร่าเริงแล้ว ไม่ต้องเช็ดแล้วนะ"
ไม่ก็ "ไปหาอีกหมอไหม ไข้ไม่ลดเลย"
(ยาก็ไม่ให้กิน ตัวก็ไม่ให้เช็ด ไข้ไม่สามารถลดได้ด้วยการสวดมนต์นะคะคุณแม่)
สรุป2วันไข้ก็ลดค่ะ
แต่ตัวดันมีจุดแดงๆ ไทยแลนด์เรียก ส่าไข้
แต่ เจแปนบ้านนี้เรียกเสียงกรี๊ดให้คุณแม่สามีค่ะ
มาประโยคเดิมๆ "ไปหาหมอเลยนะ วันนี้วันที่30แล้ว คลีนิคเปิดเป็นวันสุดท้าย"
ปึใหม่ หมอหยุดค่ะ ไม่แคร์สายตาคนไข้ ส่วนใหญ่หยุด30ธันวาคมถึง3มกราคม
ระหว่างนี้ถ้าป่วยหนัก ไปหาโรงพยาบาลฉุกเฉินกันเอง ไม่ก็เรียกรถพยาบาลกันไปค่ะ
เฮียทนเสียงกดดันของแม่ตัวเองไม่ไหว
เลยหาไปหาอีกคลีนิคนึงค่ะ
เจอหมอผู้หญิง วัยรุ่นหน่อยๆ ท่าทางสบายๆ
ถอดเสื้อให้หมอดู หมอก็บอกว่าเนี่ยกำลังหายแล้ว ไม่ต้องทายาอะไรหรอก
เฮียถามไป "สาเหตุมาจากอะไรครับ"
หมอทำท่านึก "อืมมมมม ก็ไว้รัสแบคทีเรียอะไรซักอย่าง ทำปฎิกิริยาอะไรซักอย่างกับร่างกาย"
(นั่นแหละ ไอ้อะไรซักอย่าง ก็อยากรู้มากเลยว่าคืออะไร)
สรุป เสียค่าหาหมอไปอีก 3พันเยน
แล้วก็พายูว์ริไปเดินซื้อของกินที่ห้างแป๊ปๆแล้วก็กลับบ้าน
วันรุ่งขึ้นน้องก็ร่าเริงไปเดินเล่นเที่ยวห้างได้ปกติ
มีแต่นางสุโดว์เท่านั้นที่เหนื่อยใจกับแม่สามี
(ปล. มีต่ออีกเอปิโฉด เร็วๆนี้)
นึกว่ากำลังจะหมดปีชงแล้วนะยะยะ
วันที่31ธันวาคม
เวลา3ทุ่มตรง
ไอโฟน6เอสเครื่องใหม่
จอแตกเป็นครั้งที่2
.
.
.
กริบมาก
สาธุ สวัสดีปีใหม่ค่ะ
ใครสนใจอ่านบทความเก่าๆได้ที่ https://www.facebook.com/mrs.sudoinjapan
เอปิโฉดเก่าๆดราม่าๆที่นี่ค่ะ
ประสบการณ์แม่บ้านเจแปน**ญี่ปุ่นคิดได้ไง vol.6 ตอนโดนสั่งผ่าคลอด http://pantip.com/topic/33752395
ประสบการณ์แม่บ้านเจแปน**ญี่ปุ่นคิดได้ไง vol.7 ตอนผ่าคลอดแล้วนะ http://pantip.com/topic/33775837
ประสบการณ์แม่บ้านเจแปน**ญี่ปุ่นคิดได้ไง vol.8 นอนโรงพยาบาลเจแปนครั้งแรกในชีวิต http://pantip.com/topic/33868639
ประสบการณ์แม่บ้านเจแปน**ญี่ปุ่นคิดได้ไง vol.9 ตามผลหลังคลอด http://pantip.com/topic/33959337
ประสบการณ์แม่บ้านเจแปน**ญี่ปุ่นคิดได้ไง vol.13 ฆ่าแมลงหลายขา http://pantip.com/topic/34258717