ประสบการณ์แม่บ้านเจแปน**ญี่ปุ่นคิดได้ไง vol.8 นอนโรงพยาบาลเจแปนครั้งแรกในชีวิต

สวัสดีค่ะ

ที่จริง...เขียนไว้แล้ว อัพแล้วด้วยในBlogของตัวเอง ยังไม่ได้มาโพสในPantipค่ะ
เลยมาเล่าซ้ำอีกรอบในนี้นะคะ
(บางคนชอบอ่านจอม่วง ตัวหนังสือขาวนะ)

โรงพยาบาลเจแปน ที่นางสุโดว์ไปผ่าคลอด
(เออๆ ที่มันเรียกฉันว่า นันทิชี)
(ใครไม่รู้จักนันทิชี เดี๋ยวเล่าให้ฟังอีกรอบ)
(ประวัติคนไข้ของนาง ปกตินางชื่อ NANTHICHA)
(นางพยามารพิมพ์ผิดเป็น NANTHICHY)
(อยู่ดีๆชื่อโกอินเตอร์แบบชาวฝรั่ง JENNY MARRY NANTHICHY)
นางพยาบาลที่นี่ บางคนก็นางฟ้า บางคนก็พยามารจริงๆค่ะ
รู้นะว่าวันๆต้องตอบคำถามเดิมๆทุกวัน แต่มาทำหน้าเซ็งใส่คนไข้ คนไข้ยิ่งใจสั่นนะนางสุโดว์ว่า
อย่างวันแรกที่ไปฝากท้อง นางพยาบาลเอาเอกสารมาให้เซ็นเยอะมาก มีอันนึง เซ็นยอมรับตรวจHIV
สามีถามว่าทำไมต้องตรวจ
นางพยามารปรายหางตา และตอบเสียงเบาๆในผ้าปิดปากมาว่า
"เพราะว่าจำเป็น"
.
.
.
สามีงง
แต่นางสุโดว์เข้าใจค่ะ แปลได้ใจความคร่าวๆมาว่า "ไปหาข้อมูลเองที่กูเกิ้ลนะ"

โรงพยาบาลที่นี่ ไม่มีชุดคนไข้ให้นะคะ ต้องเอาไปเองค่ะ
ถ้าใครเคยดูละครญี่ปุ่น ก็จะมีฉากเอาเสื้อผ้าไปซัก ตากกันบนดาดฟ้าโรงพยาบาล
มีคุณหมอมาคุย พบรักกันกับคุณหมอ ไรประมาณนี้อ่ะค่ะ
แต่โรงพยาบาลที่นางสุโดว์ไปผ่า มีoptionเสริม ค่าชุดนอนวันละ100เยน
นางสุโดว์จ่ายค่ะ แค่กูคลอดกูก็แย่แร้น ยังต้องพาร่างไปซักผ้าตากผ้าเองอีก เหนื่อยค่ะ
หลายคนสงสัย แล้วเจแปนนีสมันทำไงของมันกันฟะ
อ่อออออ
มันมีญาติมาเยี่ยมค่ะ พ่อแม่พี่น้อง ทำให้ ไม่ก็เอาผ้ากลับไปซักตากที่บ้านแล้วเอามาเปลี่ยน
แต่ฐานะอย่างเรานะ
เวรี่ โลนรี่ ที่เจแปนนะ
จ่ายค่ะ วันละ300เยนก็จ่ายค่ะ

ก่อนแอดมิด (ที่นี่เรียกเช็คอิน อย่างกับโรงแรมค่ะ) ก็จะมีเอกสาร หนังสื่อคู่มือ(คู่มือการอยู่โรงพยาบาล ได้ตั้งแต่ฝากท้องวันแรกเลย)
เลือกห้องๆ ห้องเดี่ยว ห้องรวม ส่วนใหญ่เลือกห้องรวมกันค่ะ ราคาถูกกว่ากันเกินครึ่ง
ตอนแรกนางสุโดว์ก็จะเลือกห้องรวมค่ะ
ไม่ได้จนหรือประหยัดนะคะ
กลัวผีค่ะ
ผีเจแปน น่ากลัวนะคะ ยิ่งชุดขาวๆ นางพยาบาลนะคะ มันมาแน่ค่ะ
แต่ เนื่องจากนางสุโดว์ผ่าคลอดค่ะ บังคับห้องเดี่ยวค่ะ เซ็งกันไปค่ะ
โรงพยาบาลที่ไทยเป็นอย่างไรไม่รู้เหมือนกันแฮะ ไม่เคยป่วยถึงกับพักผ่อนโรงพยาบาลค่ะ
มีให้เลือกอีกด้วยนะ ห้องเดี่ยว จะเดี่ยวแบบมีห้องอาบน้ำด้วยไหม หรือจะเดี่ยวแบบยิ้มมีแต่เตียงกับส้วม แล้วก็ทีวี
ถ้าห้องรวม ทีวีจะเป็นแบบเสียบการ์ด (ต้องไปซื้อการ์ทีวีมาเสียบ) ดูได้แบบเบาๆ เสียบหูฟัง โอ้ยยยยย ท่าทางอึดอัดค่ะ
ก่อนวันเช็คอิน นางสุโดว์ก็ต้องจัดกระเป๋าเตรียมไปโรงพยาบาลค่ะ


1. ผ้าขนหนู (ขนาดแบบผ้าเช็ดผมอ่ะค่ะ) 3-4 ผืน
2. ผ้าเช็ดตัว 1-2 ผืน
3. ชุดนอน (แต่นางสุโดว์เช่าโรงพยาบาลเอาค่ะ)
4. ของใช้ส่วนตัว ยาสระผม สบู่ แปรงสีฟัน ไรพวกนี้
5. ทิชชู่ 1 กล่อง ทิชชู่ต้องเอาไปเองค่ะ ไม่มีให้ ใครลืมบาปค่ะ
6. ผ้าเช็ดหน้า 3-4 ผืน อันนี้ไม่รู้ว่าเอาไปไมเหมือนกัน นางสุโดว์ไม่ได้ใช้ค่ะ เดาว่าเอาไว้ซับน้ำตาตอนลูกคลอดหรือไร ยังเป็นปริศนาอยู่ค่ะ
7. นาฬิกา (ขออันใหญ่ๆหน่อยนะ)!!! จริงค่ะ สำรวจรอบห้องแล้ว ยิ้มไม่มีนาฬิกาให้กูดูวันเวลาซักกะเรือน
8. ตะเกียบ (เอาไว้ตอนกินข้าวค่ะ) จานชามมีให้นะ แต่ไม่มีตะเกียบให้ กูหละไม่เข้าใจ วันไหนเป็นข้าวต้ม ดันมีช้อนให้ แค่เตรียมตะเกียบเพิ่มให้คนไข้ ทำไม่ได้ค่ะ ต้องเอามาเองค่ะ
9. แก้วน้ำ สำหรับใส่น้ำร้อนดื่ม (ขอแบบแตกยากๆหน่อยนะ) แก้วก็ไม่มีค่ะ โรงพยาบาลที่นี่เสิร์ฟชาร้อนทุกมื้อ ต้องเอามาวางรอให้นางพยามารรินให้ค่ะ แต่เห็นนางพกแก้วกระดาษนะ สงสัยสำหรับจำเป็นๆจริงๆนางถึงจะเอาแก้วกระดาษามาให้ค่ะ
10. สมุดจด ปากกา
11. ไฟฉาย!!! เอาไว้ใช้ตอนฉุกเฉินค่ะ ไม่ฉุกไม่เฉินแล้วค่ะ วิ่งค่ะ ไม่หาไฟฉายนะ กูคว้าเสาน้ำเกลือแล้ววิ่งคนแรกดีกว่าค่ะ
ข้อต่อไปไม่เขียน ไม้พลอง เชือกเงื่อน อุปกรณ์การแสดงรอบกองไฟเลยหละ
นึกว่ามาเข้าค่ายลูกเสือเนตรนารี

ส่วนต่อไปเป็นของที่ต้องใช้เมื่อไปห้องคลอดอ่ะค่ะ ห้องแบบ ปวดตึ้บๆเยอะแล้ว บีบแล้ว ใกล้แล้ว กำลังมาแล้ว ไรงี้ค่ะ แต่นางสุโดว์ผ่า นางไม่มีบรรยากาศนี้ค่ะ



1. รองเท้า เอาแบบสวมเดิน คล้ายๆรองเท้าบรูซลี ไม่ต้องนั่งผูกเชือก เพื่อความรวดเร็วค่ะ ปวดท้องคลอด อะไรๆก็กระทันหันค่ะ ขอให้ไวค่ะ
2. สมุดคู่มือเล่มนี้
3. ผ้าขนหนู
4. ของใช้ส่วนตัว
5. เหรียญ เผื่อหิวน้ำหิวขนม เดินไปหยอดตู้อัตโนมัติเองนะยะ
6. อาหารว่าง เบาๆ เยลลี่ไรพวกนี้
7. น้ำดื่ม
8. สมุดบันทึกแม่ลูก (ใครท้องที่ญี่ปุ่น จะได้ประจำตัวคนละเล่มค่ะ บันทึกตั้งแต่ท้องวันแรก ยันลูกโตเลยค่ะ)

โรงพยาบาลนี้ จะมีนางพยาบาล
(บางทีเรียกพยามาร บางทีเรียกพยาบาล อย่าสับสน มันคือคนๆเดียวกัน)
ถามบ่อยมากกกกกก ว่านางสุโดว์จะเลี้ยงลูกแบบไหน นมแม่ นมชง
นางสุโดว์ขี้เกียจล้างขวดนม จัดไป "นมแม่ค่ะ"
แต่นางไม่ดราม่านมออกไม่ออก "แต่ถ้านมไม่พอ เสริมนมชงได้เลย ไม่ซีเรียสค่ะ"
รีบบอกไว้ตั้งแต่ต้นๆ
แต่
โรงพยาบาลนี้ ส่งเสริมนมแม่ค่ะ
เมื่อเลือกว่าจะเลี้ยงนมแม่แล้ว
เมื่อคุณถอดสายน้ำเกลือ กับสายยาแก้ปวด
(ยาแก้ปวดที่นี่ ไม่ธรรมดา มันแขวนข้างๆขวดน้ำเกลือนะ สายยาจิ้มเข้าที่หลังนะ ไหลเข้าร่างกายตลอดเวลา มิน่ากูไม่ปวด แต่ถ้าปวดหนัก ปวดเว่อร์ แรงบีบมันมา ปวดสุดๆ มีปุ่มกดให้ส่งยาแก้ปวดชุดใหญ่มา ไหลตรงเข้าที่หลังเลยค่ะ)
เมื่อถอดสายทุกสายแล้ว ลูกของคุณจะถูกเข็นมาอยู่กับคุณ 24 ชม. จนถึงวันออกจากโรงพยาบาลเลยค่ะ
มิน่า ตอนกูเลือกเลี้ยงนมแม่ พวกแกยิ้มเลยนะคะ นางพยามาร

หลังผ่า เขายังไม่ให้กินน้ำกินข้าว จนกว่าจะตดออกมา
ตอนแรก นึกว่าฟังนางพยาบาลอธิบายผิด
"ตด"เกี่ยวไรกับข้าวฟะ
นางสุโดว์คาใจ เลยLINEถามเพื่อนหมอ
(ขออวดหน่อย มีเพื่อนเป็นหมอเหมือนกันนะ แต่เพื่อนหมอคนนั้นไม่รู้จักหมอยาชาที่ไปแลกเปลี่ยนที่ศิริราชนะ สงสัยคนละรุ่นนะ)
เพื่อนหมอบอกว่า "เกี่ยว" ตดได้ตดเลย ตรวจว่าลำไส้แกทำงานโอเคไม่กระทบโดนนะ ถ้าขี้ได้แกขี้เลยนะ
.
.
โอ้ววววว ไม่ให้กู-ไรมาวันสองวัน จะให้กูเอาไรมาขี้ฟะ

มื้อแรก ข้าวต้ม กับไข่เจียว มาเลย ของที่คนไทยห้ามกิน
ขนมปังก็ห้ามกินเดี๋ยวลูกแพ้ เช้าวันต่อมาอาหารจัดมาเลย ขนมปัง
ไม่รู้นะ นางสุโดว์กินเกลี้ยงทุกมื้อนะ หิวนะ ไม่กินมีเดินเซนะ

และแล้วนางพยามารก็เห็นว่านางสุโดว์ตาปรือ ความดันสูงม๊าก คุณหมอจะไม่ให้ออกจากโรงพยาบาลตามกำหนดถ้านางสุโดว์ยังจะความดันสูงอย่างงี้นะ
นางสุโดว์ก็ถามไป "ความดันสูงเกิดจากไรคะ"
นางพยามาร "อืมมม อาจจะเป็นเพราะเหนื่อยนะคะ"
.
.
.
ก็แหม่มมมมมมมมม เล่นอินเทนซีฟคอร์สให้อยู่กับลูก24ชม. จะได้พักได้ผ่อนไหมยะ
นี่ถ้าวัยรุ่นกว่านี้ อาจจะนึกว่าเข้าคอร์สติวเอนทรานส์นะ
กลางคืนๆก็กลัวผี นอนๆหลับๆตื่นๆอีกนะ
นางพยามารคนเดิม วันนั้นมันเข้าเวรดึกด้วย
ดูนาฬิกา (นาฬิกาที่ต้องเอามาเองอ่ะ) ตี1กว่าแระ ลูกก็หลับปุ๋ยๆ ตาดิฉันหลับบ้างนะ
นอนๆ เคลิ้มหลับไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ คือเหนื่อยมาก
และแล้ว ได้ยินเสียงกุกๆกักๆ
ยังหลับตาอยู่นะ แต่เหมือนมีลมไรมันวูบๆนะ มีการเคลื่อนไหวผ่านไปผ่านมาผ่านมาผ่านไปนะ
ลืมตาขึ้นมา แทบกรี๊ดเป็นเสียงเพลงฮาเลลูยา
นางพยามาร
มันยืนอยู่ข้างเตียง
ชุดขาวๆตะคุมๆก้มหน้านะ ไฟสลัวๆนะ
หันมายิ้มนะ
นางพยามาร "อยากให้คุณนันทิชีได้พักผ่อน เลยไม่ได้ปลุกค่ะ มาวัดไข้น้องค่ะ"
.
.
.
.
กูอาจสิ้นชีพหัวใจวายเพราะไม่ปลุกกูนี่แหละ อีหวังดี

แล้วก็ยังมีป้าพยาบาลหวังดีอีกคนนึง ชอบชวนคุย ป้าทำหน้าที่ตรวจตัวเหลืองของน้องทุกวัน แล้วก็ป้าสอนอาบน้ำน้อง ป้าเดินมารับถึงห้องเลย ป้าบอกป้าเป็นห่วง
ป้า "อาหารอร่อยไหม กินได้ป่าว"
นันทิชี "อร่อยๆค่ะ"
ป้า "บางทีคนไข้คนจีน กินเหลือเยอะม๊าก บอกไม่ถูกปาก"
นันทิชี "โอ้ยย ปล่อยชายนีสไป นี่ไทยแลนด์แดนสไมล์ อะไรก็กินได้"
ป้า "เออ นี่ๆ มีเรื่องอยากจะถามมานานแระ"
นันทิชี "ถามมาได้เรยค่ะ พร้อมตอบ"
ป้า "เนี่ย สามีป้า ชอบอาหารไทยมากเลยนะ"
นันทิชี "โอ้วววววว"
ป้า "เนี่ยๆป้าทำบ่อย อะไรนะๆ ที่ๆเป็นหมูสับๆ แล้วผัดน้ำมันหอยๆแล้วมีเอาใบกระเพราไปผัดด้วย"
นันทิชี "อ่อๆ กาเพาไร๊สุ (ออกเสียงแบบเจแปนนีส กะเพรา+RICE)
ป้า "แล้วเนี่ยๆ อะไรนะๆที่ไว้โรยๆ กลิ่นฉุนๆหน่อยๆ"
นันทิชี "อ่อๆ ปักกุชี (ออกเสียงแบบเจแปนนีส ผักชี)"
(นี่เล่นเกมส์ถามตอบอยู่ป่าวเนี่ย ป้ามีไรจะถามรีบถามมา)
ป้า "เนี่ยยยยย ป้าพยายามปลูกผักชีมานานแระ มันไม่แข็งแรงอ่ะ มันเหี่ยวๆ มีวิธีปลูกมะ สอนป้าหน่อยจิ"
นันทิชี "………….."
(กูเคยปลูกแต่ถั่วงอก วิชาวิทยาศาสตร์ตอนป.1 แถบเอาของเจ้ๆไปส่งด้วยไม่ได้ปลูกเอง)
(กูจะรู้ไหมว่าผักชีมันทำไมถึงเหี่ยว)
ก็ได้แต่ทำหน้าตาเสียใจหลอกไปว่า "มันเป็นพืชเมืองร้อน คงต้องทำให้ดินมันอุ่นๆนะ"
รู้แระทำไมป้าถึงมารับถึงห้อง
ป้าอยากรู้ว่าผักชีมันปลูกยังไงงงงงงงงงงงง

สำหรับเด็กนักเรียนที่กำลังจะมาเรียนต่อเจแปน
ควรศึกษาวิธีปลูกผักชีมาด้วยนะคะ
เจแปนนีสแถวนี้เขาคาใจข้างในลึกๆค่ะ

หลังจากถอดสายน้ำเกลือสายยาสายโน้นนี่นั่นแล้ว ก็จะมีตารางเรียนมาให้เลยค่ะ แล้วก็ตารางอาบน้ำ
(นางสุโดว์ไม่ได้อยู่ห้องแบบมีห้องอาบน้ำในตัว เลยต้องไปใช้ห้องน้ำรวมค่ะ)
(ก็จะมีตารางแปะไว้หน้าห้อง ใครอยากอาบช่วงไหนก็มาเขียนชื่อจอง อาบได้คนละครึ่งชั่วโมง)
แล้วก็ตารางเรียน วันจันทร์เรียนชงนมและบรรยายเรื่องสารอาหารที่จำเป็นสำหรับทารก
วันพุธเรียนวิธีดูแลรักษาตัวเองหลังคลอด
โน่นนี่นั่นค่ะ เอาหนังสือคู่มือที่ได้มาตั้งแต่ฝากท้อง
(ใช่ๆ อันที่มีเขียนว่าต้องเอาอะไรมาเข้าโรงพยาบาลอ่ะค่ะ)
พกไปเรียนด้วย
ก็จะเป็นนางพยาบาลมาบรรยาย
ช่วงที่ไปเรียนกับช่วงอาบน้ำ สามารถเอาเบบี้ไปฝากไว้ที่ นาสสะเตชั่น
(Nurse Station ค่ะ เจแปนออกเสียงเป็น นาสสสสสสส)
ตอนไปเรียนก็จะเป็นแม่ๆที่คลอดธรรมชาติ เดินเหินร่าเริงค่ะ ส่วนน่าสุโดว์ไต่กำแพงค่ะ เดินไม่ค่อยไหว ปวดแผลมากมาย
แล้วก็มีแก๊งซ์แม่ๆที่นอนห้องรวมค่ะ มีสมาคมผู้ปกครองเกิดขึ้นตั้งแต่คลอดเลยค่ะ
บทสนทนา(ที่แอบฟังมา)ก็จะมี นอนปวดกี่ชั่วโมง ใครนอนปวดนาน ทุกคนก็จะ "สุโก้ยยยยยยยยยยย" กันค่ะ
แล้วก็มีอวดน้ำหนักลูก ใครหนักเยอะที่สุด ทุกคนก็จะ "สุโก้ยยยยยยยยยยยยยยย" กันค่ะ
นางสุโดว์ไม่ได้ไปร่วมวงสุโก้ยยยยยยด้วยค่ะ แค่ตัวเองไถกำแพงไปถึงห้องเรียนกับหย่อนตัวลงเก้าอี้ได้ก็ใช้พลังทั้งชีวิตไปแล้วค่ะ
แถมความดันสูงอีก มึนมากมายค่ะ

และแล้วก็ถึงวันออกจากโรงพยาบาลค่ะ
ต้องรีบ Check Out ก่อน11โมงนะคะ
(นี่มันโรงแรมหรือโรงพยาบาลฟะ)
ก็จะได้ใบสูติบัตรที่คุณหมอเซ็นรับรอง แต่…ต้องเอาไปยื่นเองที่สำนักงานเขตนะคะ
แล้วก็เอกสารโน่นนี่ ใบยา ทั่วไปค่ะ
ตรวจปัสสาวะครั้งสุดท้าย หมอยอมให้ออกจากโรงพยาบาลตามกำหนด รอดตัวไปค่ะ
แล้วก็ไปจ่ายเงินค่ะ

สิ่งที่น่าตกใจเป็นที่สุดของที่สุด คือ
"ผ่าคลอด" ราคาย่อมว่า "คลอดเอง" ค่ะค่ะค่ะ
ราคาเต็มมันประมาณ 1แสน3หมื่นเยนๆ มีประกันของคุณสามี หักลบแล้ว
(เพิ่มค่าห้องเดี่ยวกับค่าชุดนอน)
จ่ายไป
ประมาณ5หมื่น5พันเยนค่ะ
คิดเรทเงินตอนนั้น(เมื่อปีที่แล้ว)จ่ายไปประมาณ 2หมื่นกว่าบาทค่ะ
.
.
.
ราคาย่อมๆแบบนี้ ลองหาสามีญี่ปุ่นแล้วคลอดลูกที่ญี่ปุ่นดูนะคะ

ปล. รถที่มีเด็กนั่งต้องมีคาร์ซีทนะคะ เป็นกฎหมายค่ะ
บางโรงพยาบาลที่เข้มๆโหดๆก็ TAXIก็ต้องมีคาร์ซีทค่ะ ไม่งั้นไม่ให้กลับค่ะ

ปล. เรื่องเล่าก่อนหน้านี้ ชักเยอะแล้วค่ะ
เรื่องเล่าเฮฮาก่อนหน้านี้ตามlinkด้านล่างเลยค่ะ เผื่อใครอยากอ่านเรียงตั้งแต่แรกดูที่Profileได้เลยนะคะ จะได้รู้จักกัน^^
ประสบการณ์แม่บ้านเจแปน**ญี่ปุ่น คิดได้ไง vol.3** http://pantip.com/topic/33654086
ประสบการณ์แม่บ้านเจแปน**ญี่ปุ่นคิดได้ไง vol.4** http://pantip.com/topic/33675931
ประสบการณ์แม่บ้านเจแปน**ญี่ปุ่นคิดได้ไง vol.5** http://pantip.com/topic/33719858
ประสบการณ์แม่บ้านเจแปน**ญี่ปุ่นคิดได้ไง vol.6** http://pantip.com/topic/33752395
ประสบการณ์แม่บ้านเจแปน**ญี่ปุ่นคิดได้ไง vol.7** http://pantip.com/topic/33775837
Facebook ค่ะ https://www.facebook.com/mrs.sudoinjapan
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่