กระทรวงสาธารณสุข(สธ.)และสมาคมประกันชีวิตไทย ลงนามความร่วมมือครั้งสำคัญ โดยเริ่มนำร่องที่โรงพยาบาลรัฐขนาดใหญ่ที่มีความพร้อม 28 แห่งทั่วประเทศ เพื่อยกระดับบริการสุขภาพของภาครัฐให้สูงขึ้น และรองรับการเข้ารับการรักษาของผู้เอาประกันจากบริษัทประกันชีวิต ความร่วมมือนี้ถูกมองว่าเป็น "กระดุมเม็ดแรก" ในภาพใหญ่ของการดูแลค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของประชาชน โดยมีเป้าหมายสูงสุด คือ การมอบทางเลือกให้กับผู้เอาประกัน และ ควบคุมค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ เพื่อชะลอการขึ้นค่าเบี้ยประกันในอนาคต
เมื่อวันที่ 3 ธ.ค.2568 ที่ห้องประชุมใหญ่ ชั้น 10 สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือ (MOU) ในการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพหน่วยบริการในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข เพื่อรองรับระบบประกันสุขภาพภาคสมัครใจ ระหว่างกระทรวงสาธารณสุข กับสมาคมประกันชีวิตไทย
โดยมี นพ.สมฤกษ์ จึงสมาน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นางนุสรา (อัสสกุล) บัญญัติปิยพจน์ นายกสมาคมประกันชีวิตไทย และนายสาระ ล่ำซำ อุปนายกฝ่ายการตลาด สมาคมประกันชีวิตไทย เป็นผู้ลงนาม และมี นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) และผู้อำนวยการโรงพยาบาลนำร่อง 28 แห่งจากทั่วประเทศร่วมเป็นสักขีพยาน
นายพัฒนา กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข(สธ.)เดินหน้าพัฒนาระบบบริการของสถานพยาบาลในสังกัด ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน การลดความแออัด สะดวกทันสมัย ผ่าน Service Center และบริการอื่นๆ อาทิ คลินิกพิเศษ ห้องพิเศษ และ Premium Clinics ขณะที่สมาคมประกันชีวิตไทยมุ่งเสริมระบบประกันสุขภาพภาคสมัครใจให้ได้มาตรฐานและเชื่อมโยงกับหน่วยบริการภาครัฐอย่างมีประสิทธิภาพ
เข้าถึงบริการในราคาที่สมเหตุสมผล
การลงนาม MOU ในครั้งนี้ จึงเป็นการบูรณาการความร่วมมือของสองหน่วยงาน ในการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพหน่วยบริการสังกัดกระทรวงสาธารณสุขให้รองรับระบบประกันสุขภาพภาคสมัครใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และเป็นไปตามมาตรฐาน เกิดความร่วมมือเชิงนโยบายระหว่างรัฐและเอกชนในการเชื่อมโยงเครือข่ายด้านการเงินการคลังและเศรษฐกิจ ระหว่างหน่วยบริการของรัฐกับระบบประกันสุขภาพภาคสมัครใจของเอกชน โดยจะนำร่องในสถานพยาบาลที่มีความพร้อม 28 แห่งทั่วประเทศ และจะพิจารณารพ.ที่มีความพร้อมเพิ่มเติมในอนาคต
นายพัฒนา กล่าวด้วยว่า การดำเนินการนี้ก่อให้เกิดประโยชน์หลายมิติ อาทิ สำหรับโรงพยาบาลของรัฐ จะมีรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งรพ.สามารถนำรายได้นี้ไปลงทุนในวัสดุอุปกรณ์และเทคโนโลยีต่างๆ เพื่อพัฒนาการให้บริการผู้ป่วยทั้งหมดต่อไป สำหรับผู้เอาประกันจะได้รับความสะดวกสบายมากขึ้นในการเข้ารับบริการ และเข้าสู่บริการสุขภาพได้ในราคาที่สมเหตุสมผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งแพทย์ที่โรงพยาบาลของรัฐขึ้นชื่อว่ามีความรู้และประสบการณ์สูงไม่แพ้ภาคเอกชน และสำหรับภาคธุรกิจประกัน การมีต้นทุนการรักษาที่ต่ำลงจะช่วยให้ชะลอการเพิ่มขึ้นของเบี้ยประกัน
จุดเปลี่ยนสำคัญระบบสุขภาพ
ด้านนพ.สมฤกษ์ จึงสมาน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่างสธ.และสมาคมประกันชีวิตไทย มีเป้าหมายเพื่อยกระดับ คุณภาพบริการของภาครัฐให้ทันสมัย โปร่งใส และตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน โดยมุ่งเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านบริการที่มีประสิทธิภาพรองรับระบบประกันสุขภาพภาคสมัครใจทั้งในปัจจุบันและอนาคต ซึ่งในรพ.28 แห่งที่นำร่องนี้บางแห่งสามารถเริ่มให้บริการรอวรับผู้เอาประกันสุขภาพภาคสมัครใจได้ทันที
เป้ากรมธรรม์เฉพาะรพ.รัฐ เบี้ยถูกลง
ขณะที่นางนุสรา (อัสสกุล) บัญญัติปิยพจน์ นายกสมาคมประกันชีวิตไทย กล่าวว่า การจัดทำ MOU เพื่อที่จะยกระดับประกันสุขภาพภาคสมัครใจให้มีความโปร่งใส มีมาตรฐาน และตอบสนองความต้องการ ความคาดหวังของประชาชน ซึ่งจะต้องได้รับการบริการที่มีคุณภาพ เข้าถึงได้สะดวกและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น อีกทั้ง จะช่วยให้ภาคธุรกิจประกันชีวิตเชื่อมโยงกับหน่วยงานของรัฐได้อย่างเป็นระบบ ซึ่งขณะนี้ก็ได้มีการนำระบบ iClaim เข้ามาเชื่อมโยงด้วย เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการความคุ้มครองการประกันสุขภาพภาคสมัครใจ ยกระดับการบริการให้รวดเร็วและเข้าถึงได้ง่ายขึ้น
ทอนอัตราเงินเฟ้อทางการแพทย์ให้เติบโตช้าลง
นางนุสรา กล่าวด้วยว่า สธ.และสมาคมฯจะทำงานอย่างใกล้ชิดเพื่อให้เกิดความเข้าใจในการบริการที่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค ความหวังคือจะชะลอการขึ้นเบี้ยประกัน หากมีภาครัฐเข้ามาสนับสนุน มิฉะนั้น ผู้บริโภคก็จะไปใช้รพ.เอกชนเหมือนที่เป็นมา และถ้าอัตราเงินเฟ้อทางการแพทย์(Medical Inflation)ขึ้นเร็ว ในที่สุดภาคธุรกิจจะต้องไปขอขึ้นเบี้ยประกันกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย(คปภ.)ทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงการประกันได้ยากขึ้นเรื่อยๆในอนาคคต
สำหรับสถานพยาบาลนำร่อง 28 แห่งทั่วประเทศ ได้แก่
1. โรงพยาบาลลำปาง
2.โรงพยาบาลนครพิงค์
3.โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์
4.โรงพยาบาลพุทธชินราช
5.โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์
6.โรงพยาบาลสระบุรี
7.โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า
8.โรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช
9.โรงพยาบาลสมุทรสาคร
10.โรงพยาบาลราชบุรี
11.โรงพยาบาลนครปฐม
12.โรงพยาบาลระยอง
13.โรงพยาบาลพระปกเกล้า
14.โรงพยาบาลสมุทรปราการ
15.โรงพยาบาลชลบุรี
16.โรงพยาบาลร้อยเอ็ด
17.โรงพยาบาลขอนแก่น
18.โรงพยาบาลสกลนคร
19.โรงพยาบาลอุดรธานี
20.โรงพยาบาลชัยภูมิ
21.โรงพยาบาลสุรินทร์
22.โรงพยาบาลบุรีรัมย์
23.โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา
24.โรงพยาบาลศรีสะเกษ
25.โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์
26.โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช
27.โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี
และ28.โรงพยาบาลหาดใหญ่
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ https://www.bangkokbiznews.com/health/public-health/1210416?fbclid=IwVERFWAOdF3lleHRuA2FlbQIxMQBzcnRjBmFwcF9pZAo2NjI4NTY4Mzc5AAEeCvfgsIHNISx3o2C8teCdFNrZl9raPYCC4hRy8QrqMTqed7vCdWd09wsLPS4_aem_WPZM_WKm-X3s_KNN1JPisw
‘ประกันชีวิต’ผนึก 28 รพ.สธ. รับประกันสุขภาพเอกชน วางเป้ากรมธรรม์รพ.รัฐ เบี้ยถูกลง
กระทรวงสาธารณสุข(สธ.)และสมาคมประกันชีวิตไทย ลงนามความร่วมมือครั้งสำคัญ โดยเริ่มนำร่องที่โรงพยาบาลรัฐขนาดใหญ่ที่มีความพร้อม 28 แห่งทั่วประเทศ เพื่อยกระดับบริการสุขภาพของภาครัฐให้สูงขึ้น และรองรับการเข้ารับการรักษาของผู้เอาประกันจากบริษัทประกันชีวิต ความร่วมมือนี้ถูกมองว่าเป็น "กระดุมเม็ดแรก" ในภาพใหญ่ของการดูแลค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของประชาชน โดยมีเป้าหมายสูงสุด คือ การมอบทางเลือกให้กับผู้เอาประกัน และ ควบคุมค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ เพื่อชะลอการขึ้นค่าเบี้ยประกันในอนาคต
เมื่อวันที่ 3 ธ.ค.2568 ที่ห้องประชุมใหญ่ ชั้น 10 สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือ (MOU) ในการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพหน่วยบริการในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข เพื่อรองรับระบบประกันสุขภาพภาคสมัครใจ ระหว่างกระทรวงสาธารณสุข กับสมาคมประกันชีวิตไทย
โดยมี นพ.สมฤกษ์ จึงสมาน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นางนุสรา (อัสสกุล) บัญญัติปิยพจน์ นายกสมาคมประกันชีวิตไทย และนายสาระ ล่ำซำ อุปนายกฝ่ายการตลาด สมาคมประกันชีวิตไทย เป็นผู้ลงนาม และมี นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) และผู้อำนวยการโรงพยาบาลนำร่อง 28 แห่งจากทั่วประเทศร่วมเป็นสักขีพยาน
นายพัฒนา กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข(สธ.)เดินหน้าพัฒนาระบบบริการของสถานพยาบาลในสังกัด ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน การลดความแออัด สะดวกทันสมัย ผ่าน Service Center และบริการอื่นๆ อาทิ คลินิกพิเศษ ห้องพิเศษ และ Premium Clinics ขณะที่สมาคมประกันชีวิตไทยมุ่งเสริมระบบประกันสุขภาพภาคสมัครใจให้ได้มาตรฐานและเชื่อมโยงกับหน่วยบริการภาครัฐอย่างมีประสิทธิภาพ
เข้าถึงบริการในราคาที่สมเหตุสมผล
การลงนาม MOU ในครั้งนี้ จึงเป็นการบูรณาการความร่วมมือของสองหน่วยงาน ในการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพหน่วยบริการสังกัดกระทรวงสาธารณสุขให้รองรับระบบประกันสุขภาพภาคสมัครใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และเป็นไปตามมาตรฐาน เกิดความร่วมมือเชิงนโยบายระหว่างรัฐและเอกชนในการเชื่อมโยงเครือข่ายด้านการเงินการคลังและเศรษฐกิจ ระหว่างหน่วยบริการของรัฐกับระบบประกันสุขภาพภาคสมัครใจของเอกชน โดยจะนำร่องในสถานพยาบาลที่มีความพร้อม 28 แห่งทั่วประเทศ และจะพิจารณารพ.ที่มีความพร้อมเพิ่มเติมในอนาคต
นายพัฒนา กล่าวด้วยว่า การดำเนินการนี้ก่อให้เกิดประโยชน์หลายมิติ อาทิ สำหรับโรงพยาบาลของรัฐ จะมีรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งรพ.สามารถนำรายได้นี้ไปลงทุนในวัสดุอุปกรณ์และเทคโนโลยีต่างๆ เพื่อพัฒนาการให้บริการผู้ป่วยทั้งหมดต่อไป สำหรับผู้เอาประกันจะได้รับความสะดวกสบายมากขึ้นในการเข้ารับบริการ และเข้าสู่บริการสุขภาพได้ในราคาที่สมเหตุสมผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งแพทย์ที่โรงพยาบาลของรัฐขึ้นชื่อว่ามีความรู้และประสบการณ์สูงไม่แพ้ภาคเอกชน และสำหรับภาคธุรกิจประกัน การมีต้นทุนการรักษาที่ต่ำลงจะช่วยให้ชะลอการเพิ่มขึ้นของเบี้ยประกัน
จุดเปลี่ยนสำคัญระบบสุขภาพ
ด้านนพ.สมฤกษ์ จึงสมาน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่างสธ.และสมาคมประกันชีวิตไทย มีเป้าหมายเพื่อยกระดับ คุณภาพบริการของภาครัฐให้ทันสมัย โปร่งใส และตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน โดยมุ่งเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านบริการที่มีประสิทธิภาพรองรับระบบประกันสุขภาพภาคสมัครใจทั้งในปัจจุบันและอนาคต ซึ่งในรพ.28 แห่งที่นำร่องนี้บางแห่งสามารถเริ่มให้บริการรอวรับผู้เอาประกันสุขภาพภาคสมัครใจได้ทันที
เป้ากรมธรรม์เฉพาะรพ.รัฐ เบี้ยถูกลง
ขณะที่นางนุสรา (อัสสกุล) บัญญัติปิยพจน์ นายกสมาคมประกันชีวิตไทย กล่าวว่า การจัดทำ MOU เพื่อที่จะยกระดับประกันสุขภาพภาคสมัครใจให้มีความโปร่งใส มีมาตรฐาน และตอบสนองความต้องการ ความคาดหวังของประชาชน ซึ่งจะต้องได้รับการบริการที่มีคุณภาพ เข้าถึงได้สะดวกและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น อีกทั้ง จะช่วยให้ภาคธุรกิจประกันชีวิตเชื่อมโยงกับหน่วยงานของรัฐได้อย่างเป็นระบบ ซึ่งขณะนี้ก็ได้มีการนำระบบ iClaim เข้ามาเชื่อมโยงด้วย เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการความคุ้มครองการประกันสุขภาพภาคสมัครใจ ยกระดับการบริการให้รวดเร็วและเข้าถึงได้ง่ายขึ้น
ทอนอัตราเงินเฟ้อทางการแพทย์ให้เติบโตช้าลง
นางนุสรา กล่าวด้วยว่า สธ.และสมาคมฯจะทำงานอย่างใกล้ชิดเพื่อให้เกิดความเข้าใจในการบริการที่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค ความหวังคือจะชะลอการขึ้นเบี้ยประกัน หากมีภาครัฐเข้ามาสนับสนุน มิฉะนั้น ผู้บริโภคก็จะไปใช้รพ.เอกชนเหมือนที่เป็นมา และถ้าอัตราเงินเฟ้อทางการแพทย์(Medical Inflation)ขึ้นเร็ว ในที่สุดภาคธุรกิจจะต้องไปขอขึ้นเบี้ยประกันกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย(คปภ.)ทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงการประกันได้ยากขึ้นเรื่อยๆในอนาคคต
สำหรับสถานพยาบาลนำร่อง 28 แห่งทั่วประเทศ ได้แก่
1. โรงพยาบาลลำปาง
2.โรงพยาบาลนครพิงค์
3.โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์
4.โรงพยาบาลพุทธชินราช
5.โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์
6.โรงพยาบาลสระบุรี
7.โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า
8.โรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช
9.โรงพยาบาลสมุทรสาคร
10.โรงพยาบาลราชบุรี
11.โรงพยาบาลนครปฐม
12.โรงพยาบาลระยอง
13.โรงพยาบาลพระปกเกล้า
14.โรงพยาบาลสมุทรปราการ
15.โรงพยาบาลชลบุรี
16.โรงพยาบาลร้อยเอ็ด
17.โรงพยาบาลขอนแก่น
18.โรงพยาบาลสกลนคร
19.โรงพยาบาลอุดรธานี
20.โรงพยาบาลชัยภูมิ
21.โรงพยาบาลสุรินทร์
22.โรงพยาบาลบุรีรัมย์
23.โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา
24.โรงพยาบาลศรีสะเกษ
25.โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์
26.โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช
27.โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี
และ28.โรงพยาบาลหาดใหญ่
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้