สวัสดีค่ะ นี่เป็นกระทู้แรกของเรา ถ้าผิดพลาดอะไรต้องขอโทษด้วยค่ะ...
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราอึดอัด ไม่ชอบ และปวดประสาทมากค่ะ ครอบครัวเราเป็นครอบครัวที่คุณพ่อเลี้ยงลูกคนเดียว(คุณพ่อกับคุณแม่เลิกกัน) เรามีน้องชายหนึ่งคน เรายังเรียนอยู่ค่ะ เหตุทั้งหมดที่เราจำได้และพิจารณา เราจำไม่ได้ว่าครอบครัวที่อบอุ่นตอนที่เรายังเด็กเป็นยังไงมีความสุขมากน้อยแค่ไหน แต่ที่จำได้คือการเห็นพ่อแม่ทะเลาะกัน ได้ยินและได้ฟัง เกือบทุกวัน(แต่น้องไม่รู้เรื่องค่ะเพราะน้องยังเล็ก) มันเป็นสิ่งที่แย่ที่เด็กจะต้องมารับฟังและเห็นภาพแบบนั้น เราจำได้ว่ามีคนแถวบ้านถามเราว่าจะอยู่กับพ่อหรือแม่ เราก็ตอบว่าไม่รู้ค่ะด้วยความเป็นเด็กที่ยังคิดไม่ได้ ตอนแรกคุณแม่ก็ยังอยู่ดูแล อยู่ในฐานะแม่ พอเราอยู่มอต้น คุณแม่ก็แยกออกไปอยู่ที่อื่น โดยที่ไม่ได้ส่งเสียเลี้ยงดู(เพราะเขาก็ลำบาก) เราก็มีหน้าที่มากขึ้นทำเรื่องต่างๆภายในบ้านมากขึ้น ซึ่งเราก็ไม่เกี่ยงนะค่ะที่จะทำเพราะมันเป็นหน้าที่ของเรา ถ้าจะให้คุณพ่อทำคนเดียวก็ใช่เรื่อง แต่ก็มีขี้เกียจบ้าง ยอมรับเลยนะค่ะว่าเราก็เป็นเด็กดื้อคนนึง มีเถียง มีเอาแต่ใจ แต่พอเราเริ่มโตมันก็เริ่มคิดว่ามันเป็นสิ่งที่เราไม่ชอบนะ มันไม่ดีนะ แต่มันก็มีบ้างที่เป็น ทั้งบ้านเป็นคนใจร้อน แต่เราก็พยายามจะใจเย็นและพูดดีๆ บางครั้งก็มีฟิวขาด ทุกๆเช้าคุณพ่อจะปลุกน้องไปโรงเรียนและไปส่ง ก็เข้าใจว่าเด็กตื่นยาก ซึ่งเราก็เคยเป็น คุณพ่อจะตะโกนเรียกแล้วเขาก็จะอารมณ์เสีย ซึ่งจะเป็นแบบนี้ทุกเช้า มีสงครามกันทุกเช้า ตอนเราโดนตีทุกเช้าแต่น้องมีโดนช่วงแรกๆหลังๆนี่ไม่โดนเลย จนถึงตอนนี้น้องก็เริ่มโตอยู่มอต้นแล้ว ก็ยังเป็นแบบเดิม คือเรามาได้ยินมารับฟัง มาโดนไปด้วย เหมือนเขาอารมณ์ไม่ดีเจออะไรไม่ถูกใจหน่อยก็โดนเหมือนกัน เวลานั่งอยู่ฟังเขาทะเลาะกันเถียงกันมันปวดหัวมาก ว่าเมื่อไหร่จะไปสักที เราก็พยายามเร่งน้องเร็วๆสิ พ่อโมโหแล้ว มันรู้สึกเสียสุขภาพจิต เสียความรู้สึก แถมมันเป็นการเริ่มต้นวันที่แย่ คุณพ่อเขาจะกังวลว่าน้องจะไปโรงเรียนสาย แล้วเขาต้องมาขับรถเร็วๆเพื่อไปให้ทัน เราเข้าใจค่ะ แต่เราไม่เข้าใจว่าเขาทำไมต้องอารมณ์เสียขนาดนี้ มีดุบ้างเราเข้าใจ แต่การที่เราเพิ่งตื่น แล้วมาโดนตะโกนด่าใส่ตะคอกใส่ แล้วเห็นเขาทำหน้าอารมณ์เสีย มันดีหรอ มันไม่มีความสุข เวลาคุณพ่อเขาขับรถไปส่งน้อง เวลาเรานั่งไปด้วย เขาก็ใจร้อนหงุดหงิด ขับรถเร็วเราก็กลัวจะเกิดอุบัติเหตุ เราก็บอกว่าให้เขาใจเย็น แล้วอยู่บนรถถ้าเจอเราหรือน้องทำอะไรไม่ถูกใจก็จะตะคอกใส่ เป็นบางครั้ง มันก็รู้สึกไม่ดี อึดอัด ตกเย็นเวลาพ่อกลับมาบ้านเจอไรไม่ถูกใจก็จะเป็นเหมือนกัน เรามาสำรวจตัวเองเรานิสัยเหมือนพ่อมั้ยเรื่องแบบนี้ซึ่งเราก็เป็น แต่จะเป็นกับน้องเท่านั้น เมื่อก่อนเรากับน้องมีปากเสียงกับเกือบทุกวัน อารมณ์เราเหมือนแม่คนนึงของน้อง ต้องมาคอยบอกต่างๆกับน้องคอยกำกับ เวลาพูดดีๆไม่ฟัง ต้องว่าต้องขึ้นเสียงใส่อารมณ์ถึงจะทำ แต่น้องก็ดื้อสุดๆ หลังจากนั้นก็จะทะเลาะกันแล้วเราก็โมโหตะโกนด่าน้อง ทุกครั้งเราก็จะร้องไห้ตลอดเพราะอะไรไม่รู้ แต่เรารู้สึกแย่ที่ต้องมารับผิดชอบแล้วมาตะโกนด่า แต่เราไม่เคยต่อว่าใครแรงเท่ากับน้อง เราก็รู้สึกผิดนะ รู้สึกไม่ดีที่ต้องมาว่า เราไม่ชอบเลย น้องก็ใช่ย่อยปากจัดด่าเก่งแล้วเวลาเราหยุดจะไม่ยอมหยุดบอกให้หยุดก็ไม่หยุด จนเป็นเรื่องอีกครั้ง จนคนแถวบ้านรู้สรรพนามว่าบ้านหลังนี้ทะเลาะกันทุกวัน เพราะบ้านอื่นไม่มีเลย เมื่อก่อนพ่อชอบว่าเรานิสัยเหมือนแม่(คือไม่เข้าใจว่าเวลาผู้ใหญ่เขาไม่ชอบพอกันแล้วทำไมต้องเอาลูกไปว่านิสัยมันเหมือนพ่อ นิสัยมันเหมือนแม่ ซึ่งเราคิดว่ามันก็เหมือนทั้งสองคนแหละ จะดีจะเลวอยู่ที่ทำตัว) เคยมีครั้งนึงพ่อให้เราไปตลาดไปซื้อของ ซึ่งเราก็ซื้อตามรายการ เวลาเราไปแล้วของมันเกินเงินที่ให้มาเราก็เอาค่าขนมออกไปเพิ่มด้วยซ้ำ พอเรากลับมาบอกเงินหมด เขาหาว่าเรามุบมิบตังค์ ว่าอย่ามาทำนิสัยเหมือนแม่ เรานี่ช็อคแบบว่าเฮ้ยทำไมพ่อคิดบอกนี้อ่ะ เราก็บอกไปว่าเราไม่ใช่แม่ นี่คือเราคือคนละคน ทำไมพ่อถึงคิดกับเราแบบนี้ โคตรเสียความรู้สึกเลย แล้วเราก็บอกว่าเราเอาค่าขนมออกไปเพิ่มด้วยซ้ำ หลังจากนั้นเขาก็ไม่พูดอีกเลย เรามาคิดนี่เราโตมาได้ยังไง อยู่ในสภาพที่ทะเลาะกันด่ากันผิดใจกัน เป็นมาสิบๆปีตั้งพ่อแม่ยันลูก ปีนึงมี 365 วัน คือเหมือนเราทะเลาะกันเถียงกันทุกวัน เคยมีวันที่ดีบ้างมั้ย วันที่ไม่ด่ากัน คือผลที่ได้แทบไม่มีเลย หลังๆเราไม่ค่อยอยู่บ้านเพราะไปเรียนอยู่หอ เราก็ไม่รู้นะว่าที่บ้านเป็นยังไงช่วงที่เราไม่อยู่ คงจะเป็นเหมือนเดิม พอเราไปอยู่ที่อื่นมันเริ่มทำให้รู้ว่าเราชอบความสงบ เราไม่ชอบอะไรที่เสียงดัง เราไม่ชอบการที่มาเห็นคนอารมณ์ไม่ดี เวลาเรากลับมาบ้าน เราจะพยายามเฉยๆ พยายามพูดดีๆถ้าไม่ฟังก็ไม่สน ให้คุณพ่อกับน้องไปคุยกันเอาเอง (ไม่รู้ทำถูกรึเปล่านะแต่คิดว่ามันเป็นทางเลือกที่ดี) เวลาเราอยู่เฉยๆทำอะไรของเราน้องก็จะมากวนแล้วมาหาเรื่องให้โดนด่า เราจะพยายามทำเหมือนต่างคนต่างอยู่แต่เราก็ยังทำหน้าที่ของเรา มีอะไรก็ยังพูดคุยกับครอบครัว เราก็มีปากเสียงกับคุณพ่อบ้าง เรารู้ว่าเขาเป็นห่วง บางครั้งก็เตือนด้วยความหวังดี แต่เราก็บอกเขาว่ารู้แล้วนะจะระวัง พอเราไม่ทำตามที่เขาต้องการเขาก็จะว่า อารมณ์เสีย บางทีมันก็เกินไป บางครั้งเรื่องเล็กๆน้อยๆยังมาเป็นประเด็นให้ทะเลาะกันได้เลย บางครั้งก็ไม่อยากกลับบ้านเจอปัญหา แต่ด้วยหน้าที่คือต้องกลับมา เวลาโทรศัพท์ก็เช่นกันคือเวลาเรารับโทรศัพท์เราก็จะพูดแล้วรับด้วยน้ำเสียงดีๆ เวลามีปัญหาเรื่องน้องหรือเรื่องอะไรสิ่งแรกที่ได้ยินคือการตะโกนด่า ตอนแรกก็ตอบดีๆ พอทนไม่ไหวก็ตะโกนกลับไปว่าแล้วพ่อจะตะโกนใส่ทำไมพูดดีๆไม่ได้หรอ คือเรื่องมันค่อยพูดค่อยจาก็ได้ป่ะ แล้วเขาก็วางสายไป เราเคยทะเลาะกับพ่อหนักจนเรากรี๊ดออกมา ร้องไห้ฟูมฟาย เหมือนคนบ้า โมโหถึงขนาดตบหน้าตัวเองโทษว่าตัวเองเกิดมาทำไม เคยคิดอยากตาย(เป็นความคิดชั่ววูบที่รู้ว่ามันไม่ดีที่คิดแบบนี้แต่ความรู้สึกแย่ความเสียใจมันสามารถทำให้เราคิดตื้นๆได้แต่ไม่กล้าที่จะทำให้เกิดขึ้นยังคงมีสติ) คิดว่าทำไมเขาต้องมาว่าเรานั้นนี่ แค่นี้ยังเสียสละไม่มากพอหรอ ทำไม่พอหรอ อดทนไม่พอหรอ อยากจะมีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบคนอื่นเขา เวลาเห็นครอบครัวอื่นแม่ทำนั้นทำนี้ให้ พาไปซื้อนู่นนี่นั้น มีที่ปรึกษาเป็นผู้หญิงที่เรียกว่าแม่ ยังไงพ่อเขาก็เป็นผู้ชายเขาจะรู้อกรู้ใจเราเท่าแม่ได้ไง ถึงขั้นโทรไปหาแม่กลับมาได้มั้ย ทนไม่ไหวทำไม่ไหวแล้ว คำตอบที่ได้คือความเป็นไปไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องให้มันเป็นไปเหมือนเดิม บางครั้งเราก็รู้สึกอยากมีที่พึ่งพิง เคยคิดว่าถ้าเจอแบบนี้บ่อยๆเป็นบ่อย สักวันคงต้องไปพบจิตแพทย์แน่ๆ หรือไม่ก็เป็นโรคประสาท บางทีเห็นพ่อกับน้องทะเลาะกันยังเคยทนไม่ไหวจนตะโกนบอกให้หยุดแล้วบอกว่ารำคาญ จนเขาหยุด แล้วพ่อบอกว่าไม่เกี่ยวกับเราเงียบๆไป เราก็บอกไปว่า มันน่ารำคาญปวดหัว เขาก็บอกว่าพ่อพูดอะไรไม่ได้ใช่มั้ย เขาจะสั่งสอน เราก็เลยบอกว่าแล้วทำไมต้องทะเลาะกันพูดดีๆก็ได้ แล้วเราก็พูดกับน้องว่าก็ฟังพ่อบ้างไม่ใช่คิดจะเถียงก็เถียงอย่างเดียว ทำผิดแล้วคิดว่าทำถูกหรอ แล้วเขาสองคนก็เงียบ เราก็เงียบไปทำอย่างอื่น แล้วทุกอย่างก็ยังคงวนเวียนเหมือนเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ได้แค่พยายามเย็นและนิ่งที่สุดถึงแม้บางครั้งก็ทำไม่ได้ เราก็ไม่ใช่คนดีที่สุดแต่พยายามที่จะทำตัวเป็นลูกที่ดี อดทนเพื่ออนาคตที่ดี ถ้าเราสำเร็จเขาก็ไม่สามารถมาว่าไรเราได้ เขาทำเพื่อเราเราก็ต้องทำเพื่อเขาตอบแทน ให้เขาภูมิใจที่ส่งเสียเลี้ยงเรามา
ที่ตั้งกระทู้นี้ เพราะเราก็อึดอัดแต่ก็ไม่รู้จะแก้ไขยังไงมันเป็นเรื่องต้องมาได้ยินทุกๆวันยังไงก็ไม่ชินหรอก เพราะมันเป็นเรื่องของความรู้สึก มาได้ยินคนเสียงดังใส่ทั้งๆที่เราไม่ผิด ถึงอาจจะผิดแต่มันก็ไม่โอเค เราค่อยๆพูดค่อยมันดีกว่ามั้ย เรื่องของพ่อที่เราพูดไปอาจจะเป็นเรื่องของลักษณะนิสัยของพ่อที่เราไม่ชอบ แต่เราไม่ได้เกลียดพ่อเรารักพ่อนะ แต่แค่เราทนไม่กับเรื่องนี้ บางทีมันก็มากหรือเยอะเกินไป พ่อเป็นคนเก่งเขารับผิดชอบลูกทั้ง 2 คนได้ขนาดเขาเก่งมาก เขาหาเงินคนเดียว เรารู้ว่าเขาเหนื่อย ขอโทษพ่อด้วยที่เอาเรื่องไม่ดีมาพูดถึง
แต่อยากจะเล่าสู่กันฟังเพราะว่า เรื่องของทำพูดคำจาและอารมณ์มันส่งผลต่อลักษณะนิสัยของเด็กมาก เรารู้เลยว่าเรารับอิทธิพลเรื่องนี้มาเยอะ สังเกตจากตัวเองแล้วน้อง คือเรื่องของอารมณ์เอาความรู้สึกตัวเองเป็นใหญ่ เอาแต่ใจ เสียงดัง และคำพูดคำจาที่ไม่ดี มันเหมือนเป็นปมที่ติดมาเรื่อยๆจากการรับฟังเห็นรับรู้การสอนและการดูแลจนกลายเป็นลักษณะนิสัย พ่อแม่ทะเลาะกันให้ลูกเห็นมันก็ไม่ดีเด็กจำ(เรายังจำเลย) พ่อเราหรือแม่เราเริ่มพูดจายังไงกับลูกทำอารมณ์แบบไหนใส่ เขาก็จะมีอารมณ์กลับมาแบบนั้น พูดดีอารมณ์ดีคือดีกลับ พูดร้ายอารมณ์ร้ายคือร้ายกลับ ถ้าเราพูดดีแต่เขาร้ายกลับ เราก็พยายามให้ดีที่สุด ถ้าเราพูดแล้วเขายังไม่โอเคกลับมาก็จบกันไปเลิกพูด จะได้ไม่มีปัญหา ถึงเวลาเขาดีค่อยคุยกันใหม่ แล้วถ้าครอบครัวไหนที่คิดจะเลิกรากัน ลองคิดถึงอนาคตของลูกคุณดีๆนะ ว่าคุณจะทำให้เขามีความสุขยังไง อย่าให้เขารู้สึกทุกข์กับการอยู่ในครอบครัว ถ้าเขาดีเขาก็ดี แต่ถ้าเขาไม่ดีเขาก็จะเตลิดไปเลย เพราะในเมื่อเขาอยู่ในครอบครัวที่ไม่มีความสุขเขาก็ไม่อยู่หรอก ถ้าเขาไปได้เขาคงไป เด็กๆหรือผู้ใหญ่ก็คงฝันที่จะมีครอบครัวที่ดีมีความสุข ถึงจะทุกข์ก็ทุกข์ไปด้วยกัน ถึงพ่อหรือแม่จะเลี้ยงลูกคนเดียวก็ได้โปรดอย่าให้เขารู้สึกขาดให้เขารู้สึกอบอุ่นที่จะอยู่ตรงนี้ เขาจะได้ไม่โหยหายมันเพราะแค่มีคุณเขาก็สุขแล้ว ชีวิตจริงมันคงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสามารถทำได้เสมอไป แต่ลองคิดดูก็ไม่เสียหายนะ (นี่คือความคิดของเรานะค่ะ คุณอาจจะคิดต่างก็ได้ มีปากเสียงกันเป็นเรื่องปกติเกิดขึ้นได้ทุกสังคม ทั้งสังคมครอบครัว เพื่อน ที่ทำงาน ฯลฯ บางทีก็อย่าให้มันมากเกินไป ลองเปลี่ยนลองแก้ เพราะมันทำให้เสียสุขภาพจิตจริงๆ แต่ครอบครัวเราคิดว่ามันคงเกินเยียวยา แต่ก็ไม่มีอะไรที่สายไปถ้าเราลงมือทำ สักวันมันก็คงจะดีขึ้นคงค่อยๆแก้ๆปรับๆกันไปเริ่มต้นที่ตัวเรา สู้ตาย >< #รู้สึกดูโลกสวย 555)
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะค่ะ ^^
แท็กถูกมั้ยไม่รู้แต่รู้ว่าเป็นเรื่องครอบครัวน่าจะใช่ แหะๆๆ
ครอบครัวที่ไม่สามารถพูดดีๆได้ ต้องขึ้นเสียงและใส่อารมณ์ ครอบครัวคุณเป็นมั้ย?? เล่าสู่กันฟังนะค่ะ + ระบายความในใจ
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราอึดอัด ไม่ชอบ และปวดประสาทมากค่ะ ครอบครัวเราเป็นครอบครัวที่คุณพ่อเลี้ยงลูกคนเดียว(คุณพ่อกับคุณแม่เลิกกัน) เรามีน้องชายหนึ่งคน เรายังเรียนอยู่ค่ะ เหตุทั้งหมดที่เราจำได้และพิจารณา เราจำไม่ได้ว่าครอบครัวที่อบอุ่นตอนที่เรายังเด็กเป็นยังไงมีความสุขมากน้อยแค่ไหน แต่ที่จำได้คือการเห็นพ่อแม่ทะเลาะกัน ได้ยินและได้ฟัง เกือบทุกวัน(แต่น้องไม่รู้เรื่องค่ะเพราะน้องยังเล็ก) มันเป็นสิ่งที่แย่ที่เด็กจะต้องมารับฟังและเห็นภาพแบบนั้น เราจำได้ว่ามีคนแถวบ้านถามเราว่าจะอยู่กับพ่อหรือแม่ เราก็ตอบว่าไม่รู้ค่ะด้วยความเป็นเด็กที่ยังคิดไม่ได้ ตอนแรกคุณแม่ก็ยังอยู่ดูแล อยู่ในฐานะแม่ พอเราอยู่มอต้น คุณแม่ก็แยกออกไปอยู่ที่อื่น โดยที่ไม่ได้ส่งเสียเลี้ยงดู(เพราะเขาก็ลำบาก) เราก็มีหน้าที่มากขึ้นทำเรื่องต่างๆภายในบ้านมากขึ้น ซึ่งเราก็ไม่เกี่ยงนะค่ะที่จะทำเพราะมันเป็นหน้าที่ของเรา ถ้าจะให้คุณพ่อทำคนเดียวก็ใช่เรื่อง แต่ก็มีขี้เกียจบ้าง ยอมรับเลยนะค่ะว่าเราก็เป็นเด็กดื้อคนนึง มีเถียง มีเอาแต่ใจ แต่พอเราเริ่มโตมันก็เริ่มคิดว่ามันเป็นสิ่งที่เราไม่ชอบนะ มันไม่ดีนะ แต่มันก็มีบ้างที่เป็น ทั้งบ้านเป็นคนใจร้อน แต่เราก็พยายามจะใจเย็นและพูดดีๆ บางครั้งก็มีฟิวขาด ทุกๆเช้าคุณพ่อจะปลุกน้องไปโรงเรียนและไปส่ง ก็เข้าใจว่าเด็กตื่นยาก ซึ่งเราก็เคยเป็น คุณพ่อจะตะโกนเรียกแล้วเขาก็จะอารมณ์เสีย ซึ่งจะเป็นแบบนี้ทุกเช้า มีสงครามกันทุกเช้า ตอนเราโดนตีทุกเช้าแต่น้องมีโดนช่วงแรกๆหลังๆนี่ไม่โดนเลย จนถึงตอนนี้น้องก็เริ่มโตอยู่มอต้นแล้ว ก็ยังเป็นแบบเดิม คือเรามาได้ยินมารับฟัง มาโดนไปด้วย เหมือนเขาอารมณ์ไม่ดีเจออะไรไม่ถูกใจหน่อยก็โดนเหมือนกัน เวลานั่งอยู่ฟังเขาทะเลาะกันเถียงกันมันปวดหัวมาก ว่าเมื่อไหร่จะไปสักที เราก็พยายามเร่งน้องเร็วๆสิ พ่อโมโหแล้ว มันรู้สึกเสียสุขภาพจิต เสียความรู้สึก แถมมันเป็นการเริ่มต้นวันที่แย่ คุณพ่อเขาจะกังวลว่าน้องจะไปโรงเรียนสาย แล้วเขาต้องมาขับรถเร็วๆเพื่อไปให้ทัน เราเข้าใจค่ะ แต่เราไม่เข้าใจว่าเขาทำไมต้องอารมณ์เสียขนาดนี้ มีดุบ้างเราเข้าใจ แต่การที่เราเพิ่งตื่น แล้วมาโดนตะโกนด่าใส่ตะคอกใส่ แล้วเห็นเขาทำหน้าอารมณ์เสีย มันดีหรอ มันไม่มีความสุข เวลาคุณพ่อเขาขับรถไปส่งน้อง เวลาเรานั่งไปด้วย เขาก็ใจร้อนหงุดหงิด ขับรถเร็วเราก็กลัวจะเกิดอุบัติเหตุ เราก็บอกว่าให้เขาใจเย็น แล้วอยู่บนรถถ้าเจอเราหรือน้องทำอะไรไม่ถูกใจก็จะตะคอกใส่ เป็นบางครั้ง มันก็รู้สึกไม่ดี อึดอัด ตกเย็นเวลาพ่อกลับมาบ้านเจอไรไม่ถูกใจก็จะเป็นเหมือนกัน เรามาสำรวจตัวเองเรานิสัยเหมือนพ่อมั้ยเรื่องแบบนี้ซึ่งเราก็เป็น แต่จะเป็นกับน้องเท่านั้น เมื่อก่อนเรากับน้องมีปากเสียงกับเกือบทุกวัน อารมณ์เราเหมือนแม่คนนึงของน้อง ต้องมาคอยบอกต่างๆกับน้องคอยกำกับ เวลาพูดดีๆไม่ฟัง ต้องว่าต้องขึ้นเสียงใส่อารมณ์ถึงจะทำ แต่น้องก็ดื้อสุดๆ หลังจากนั้นก็จะทะเลาะกันแล้วเราก็โมโหตะโกนด่าน้อง ทุกครั้งเราก็จะร้องไห้ตลอดเพราะอะไรไม่รู้ แต่เรารู้สึกแย่ที่ต้องมารับผิดชอบแล้วมาตะโกนด่า แต่เราไม่เคยต่อว่าใครแรงเท่ากับน้อง เราก็รู้สึกผิดนะ รู้สึกไม่ดีที่ต้องมาว่า เราไม่ชอบเลย น้องก็ใช่ย่อยปากจัดด่าเก่งแล้วเวลาเราหยุดจะไม่ยอมหยุดบอกให้หยุดก็ไม่หยุด จนเป็นเรื่องอีกครั้ง จนคนแถวบ้านรู้สรรพนามว่าบ้านหลังนี้ทะเลาะกันทุกวัน เพราะบ้านอื่นไม่มีเลย เมื่อก่อนพ่อชอบว่าเรานิสัยเหมือนแม่(คือไม่เข้าใจว่าเวลาผู้ใหญ่เขาไม่ชอบพอกันแล้วทำไมต้องเอาลูกไปว่านิสัยมันเหมือนพ่อ นิสัยมันเหมือนแม่ ซึ่งเราคิดว่ามันก็เหมือนทั้งสองคนแหละ จะดีจะเลวอยู่ที่ทำตัว) เคยมีครั้งนึงพ่อให้เราไปตลาดไปซื้อของ ซึ่งเราก็ซื้อตามรายการ เวลาเราไปแล้วของมันเกินเงินที่ให้มาเราก็เอาค่าขนมออกไปเพิ่มด้วยซ้ำ พอเรากลับมาบอกเงินหมด เขาหาว่าเรามุบมิบตังค์ ว่าอย่ามาทำนิสัยเหมือนแม่ เรานี่ช็อคแบบว่าเฮ้ยทำไมพ่อคิดบอกนี้อ่ะ เราก็บอกไปว่าเราไม่ใช่แม่ นี่คือเราคือคนละคน ทำไมพ่อถึงคิดกับเราแบบนี้ โคตรเสียความรู้สึกเลย แล้วเราก็บอกว่าเราเอาค่าขนมออกไปเพิ่มด้วยซ้ำ หลังจากนั้นเขาก็ไม่พูดอีกเลย เรามาคิดนี่เราโตมาได้ยังไง อยู่ในสภาพที่ทะเลาะกันด่ากันผิดใจกัน เป็นมาสิบๆปีตั้งพ่อแม่ยันลูก ปีนึงมี 365 วัน คือเหมือนเราทะเลาะกันเถียงกันทุกวัน เคยมีวันที่ดีบ้างมั้ย วันที่ไม่ด่ากัน คือผลที่ได้แทบไม่มีเลย หลังๆเราไม่ค่อยอยู่บ้านเพราะไปเรียนอยู่หอ เราก็ไม่รู้นะว่าที่บ้านเป็นยังไงช่วงที่เราไม่อยู่ คงจะเป็นเหมือนเดิม พอเราไปอยู่ที่อื่นมันเริ่มทำให้รู้ว่าเราชอบความสงบ เราไม่ชอบอะไรที่เสียงดัง เราไม่ชอบการที่มาเห็นคนอารมณ์ไม่ดี เวลาเรากลับมาบ้าน เราจะพยายามเฉยๆ พยายามพูดดีๆถ้าไม่ฟังก็ไม่สน ให้คุณพ่อกับน้องไปคุยกันเอาเอง (ไม่รู้ทำถูกรึเปล่านะแต่คิดว่ามันเป็นทางเลือกที่ดี) เวลาเราอยู่เฉยๆทำอะไรของเราน้องก็จะมากวนแล้วมาหาเรื่องให้โดนด่า เราจะพยายามทำเหมือนต่างคนต่างอยู่แต่เราก็ยังทำหน้าที่ของเรา มีอะไรก็ยังพูดคุยกับครอบครัว เราก็มีปากเสียงกับคุณพ่อบ้าง เรารู้ว่าเขาเป็นห่วง บางครั้งก็เตือนด้วยความหวังดี แต่เราก็บอกเขาว่ารู้แล้วนะจะระวัง พอเราไม่ทำตามที่เขาต้องการเขาก็จะว่า อารมณ์เสีย บางทีมันก็เกินไป บางครั้งเรื่องเล็กๆน้อยๆยังมาเป็นประเด็นให้ทะเลาะกันได้เลย บางครั้งก็ไม่อยากกลับบ้านเจอปัญหา แต่ด้วยหน้าที่คือต้องกลับมา เวลาโทรศัพท์ก็เช่นกันคือเวลาเรารับโทรศัพท์เราก็จะพูดแล้วรับด้วยน้ำเสียงดีๆ เวลามีปัญหาเรื่องน้องหรือเรื่องอะไรสิ่งแรกที่ได้ยินคือการตะโกนด่า ตอนแรกก็ตอบดีๆ พอทนไม่ไหวก็ตะโกนกลับไปว่าแล้วพ่อจะตะโกนใส่ทำไมพูดดีๆไม่ได้หรอ คือเรื่องมันค่อยพูดค่อยจาก็ได้ป่ะ แล้วเขาก็วางสายไป เราเคยทะเลาะกับพ่อหนักจนเรากรี๊ดออกมา ร้องไห้ฟูมฟาย เหมือนคนบ้า โมโหถึงขนาดตบหน้าตัวเองโทษว่าตัวเองเกิดมาทำไม เคยคิดอยากตาย(เป็นความคิดชั่ววูบที่รู้ว่ามันไม่ดีที่คิดแบบนี้แต่ความรู้สึกแย่ความเสียใจมันสามารถทำให้เราคิดตื้นๆได้แต่ไม่กล้าที่จะทำให้เกิดขึ้นยังคงมีสติ) คิดว่าทำไมเขาต้องมาว่าเรานั้นนี่ แค่นี้ยังเสียสละไม่มากพอหรอ ทำไม่พอหรอ อดทนไม่พอหรอ อยากจะมีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบคนอื่นเขา เวลาเห็นครอบครัวอื่นแม่ทำนั้นทำนี้ให้ พาไปซื้อนู่นนี่นั้น มีที่ปรึกษาเป็นผู้หญิงที่เรียกว่าแม่ ยังไงพ่อเขาก็เป็นผู้ชายเขาจะรู้อกรู้ใจเราเท่าแม่ได้ไง ถึงขั้นโทรไปหาแม่กลับมาได้มั้ย ทนไม่ไหวทำไม่ไหวแล้ว คำตอบที่ได้คือความเป็นไปไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องให้มันเป็นไปเหมือนเดิม บางครั้งเราก็รู้สึกอยากมีที่พึ่งพิง เคยคิดว่าถ้าเจอแบบนี้บ่อยๆเป็นบ่อย สักวันคงต้องไปพบจิตแพทย์แน่ๆ หรือไม่ก็เป็นโรคประสาท บางทีเห็นพ่อกับน้องทะเลาะกันยังเคยทนไม่ไหวจนตะโกนบอกให้หยุดแล้วบอกว่ารำคาญ จนเขาหยุด แล้วพ่อบอกว่าไม่เกี่ยวกับเราเงียบๆไป เราก็บอกไปว่า มันน่ารำคาญปวดหัว เขาก็บอกว่าพ่อพูดอะไรไม่ได้ใช่มั้ย เขาจะสั่งสอน เราก็เลยบอกว่าแล้วทำไมต้องทะเลาะกันพูดดีๆก็ได้ แล้วเราก็พูดกับน้องว่าก็ฟังพ่อบ้างไม่ใช่คิดจะเถียงก็เถียงอย่างเดียว ทำผิดแล้วคิดว่าทำถูกหรอ แล้วเขาสองคนก็เงียบ เราก็เงียบไปทำอย่างอื่น แล้วทุกอย่างก็ยังคงวนเวียนเหมือนเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ได้แค่พยายามเย็นและนิ่งที่สุดถึงแม้บางครั้งก็ทำไม่ได้ เราก็ไม่ใช่คนดีที่สุดแต่พยายามที่จะทำตัวเป็นลูกที่ดี อดทนเพื่ออนาคตที่ดี ถ้าเราสำเร็จเขาก็ไม่สามารถมาว่าไรเราได้ เขาทำเพื่อเราเราก็ต้องทำเพื่อเขาตอบแทน ให้เขาภูมิใจที่ส่งเสียเลี้ยงเรามา
ที่ตั้งกระทู้นี้ เพราะเราก็อึดอัดแต่ก็ไม่รู้จะแก้ไขยังไงมันเป็นเรื่องต้องมาได้ยินทุกๆวันยังไงก็ไม่ชินหรอก เพราะมันเป็นเรื่องของความรู้สึก มาได้ยินคนเสียงดังใส่ทั้งๆที่เราไม่ผิด ถึงอาจจะผิดแต่มันก็ไม่โอเค เราค่อยๆพูดค่อยมันดีกว่ามั้ย เรื่องของพ่อที่เราพูดไปอาจจะเป็นเรื่องของลักษณะนิสัยของพ่อที่เราไม่ชอบ แต่เราไม่ได้เกลียดพ่อเรารักพ่อนะ แต่แค่เราทนไม่กับเรื่องนี้ บางทีมันก็มากหรือเยอะเกินไป พ่อเป็นคนเก่งเขารับผิดชอบลูกทั้ง 2 คนได้ขนาดเขาเก่งมาก เขาหาเงินคนเดียว เรารู้ว่าเขาเหนื่อย ขอโทษพ่อด้วยที่เอาเรื่องไม่ดีมาพูดถึง
แต่อยากจะเล่าสู่กันฟังเพราะว่า เรื่องของทำพูดคำจาและอารมณ์มันส่งผลต่อลักษณะนิสัยของเด็กมาก เรารู้เลยว่าเรารับอิทธิพลเรื่องนี้มาเยอะ สังเกตจากตัวเองแล้วน้อง คือเรื่องของอารมณ์เอาความรู้สึกตัวเองเป็นใหญ่ เอาแต่ใจ เสียงดัง และคำพูดคำจาที่ไม่ดี มันเหมือนเป็นปมที่ติดมาเรื่อยๆจากการรับฟังเห็นรับรู้การสอนและการดูแลจนกลายเป็นลักษณะนิสัย พ่อแม่ทะเลาะกันให้ลูกเห็นมันก็ไม่ดีเด็กจำ(เรายังจำเลย) พ่อเราหรือแม่เราเริ่มพูดจายังไงกับลูกทำอารมณ์แบบไหนใส่ เขาก็จะมีอารมณ์กลับมาแบบนั้น พูดดีอารมณ์ดีคือดีกลับ พูดร้ายอารมณ์ร้ายคือร้ายกลับ ถ้าเราพูดดีแต่เขาร้ายกลับ เราก็พยายามให้ดีที่สุด ถ้าเราพูดแล้วเขายังไม่โอเคกลับมาก็จบกันไปเลิกพูด จะได้ไม่มีปัญหา ถึงเวลาเขาดีค่อยคุยกันใหม่ แล้วถ้าครอบครัวไหนที่คิดจะเลิกรากัน ลองคิดถึงอนาคตของลูกคุณดีๆนะ ว่าคุณจะทำให้เขามีความสุขยังไง อย่าให้เขารู้สึกทุกข์กับการอยู่ในครอบครัว ถ้าเขาดีเขาก็ดี แต่ถ้าเขาไม่ดีเขาก็จะเตลิดไปเลย เพราะในเมื่อเขาอยู่ในครอบครัวที่ไม่มีความสุขเขาก็ไม่อยู่หรอก ถ้าเขาไปได้เขาคงไป เด็กๆหรือผู้ใหญ่ก็คงฝันที่จะมีครอบครัวที่ดีมีความสุข ถึงจะทุกข์ก็ทุกข์ไปด้วยกัน ถึงพ่อหรือแม่จะเลี้ยงลูกคนเดียวก็ได้โปรดอย่าให้เขารู้สึกขาดให้เขารู้สึกอบอุ่นที่จะอยู่ตรงนี้ เขาจะได้ไม่โหยหายมันเพราะแค่มีคุณเขาก็สุขแล้ว ชีวิตจริงมันคงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสามารถทำได้เสมอไป แต่ลองคิดดูก็ไม่เสียหายนะ (นี่คือความคิดของเรานะค่ะ คุณอาจจะคิดต่างก็ได้ มีปากเสียงกันเป็นเรื่องปกติเกิดขึ้นได้ทุกสังคม ทั้งสังคมครอบครัว เพื่อน ที่ทำงาน ฯลฯ บางทีก็อย่าให้มันมากเกินไป ลองเปลี่ยนลองแก้ เพราะมันทำให้เสียสุขภาพจิตจริงๆ แต่ครอบครัวเราคิดว่ามันคงเกินเยียวยา แต่ก็ไม่มีอะไรที่สายไปถ้าเราลงมือทำ สักวันมันก็คงจะดีขึ้นคงค่อยๆแก้ๆปรับๆกันไปเริ่มต้นที่ตัวเรา สู้ตาย >< #รู้สึกดูโลกสวย 555)
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะค่ะ ^^
แท็กถูกมั้ยไม่รู้แต่รู้ว่าเป็นเรื่องครอบครัวน่าจะใช่ แหะๆๆ