
สวัสดีครับชื่อฟ่างนะครับ เรียนอยู่ปี3ครับจากคณะที่เรียน5ปี
ดองไว้นานมากครับจนโดนเพื่อนยุให้มาตั้งกระทู้ในพันทิป พอดีเพิ่งหาเวลาว่างได้ครับ เผื่อใครหาทริปหน้าหนาวนี้ไม่ได้ก็แนะนำอีก1เสียงครับ
ขอเล่าเลยละกันนะครับ
ผมไปมาช่วงวันที่22กันยา ซึ่งก็คือเมื่อประมาณ3เดือนก่อน ขึ้นเหนือครั้งแรกครับตั้งใจไว้ว่าจะโดดเรียนไปเที่ยวเรื่อยๆไม่มีกำหนดกลับที่แน่นอนมีเป้าหมายแรกคือ ดอยขุนตาน จ.ลำพูนครับ เพราะอ่านเจอในรีวิวมาคนไปน้อยดีครับ เป็นเป้าหมายที่แรกแล้วก็ที่เดียวที่คิดไว้ก่อนไปครับไม่มีแผนอะไรล่วงหน้าเลย จัดทริปแบบรีบๆด้วยครับก็เลยลุยคนเดียว
22 กันยา 2558
อ่านกระทู้จบปุ๊ปก็ออกเดินทางตอนเช้าด้วยรถไฟฟรีครับเพื่อที่จะขึ้นดอยไปดูพระอาทิตย์ตกตอนเย็น(รถไฟใช้เวลาประมาณ14ชั่วโมง)
23 กันยา 2558
แต่ตกรถไฟรอบเช้าเลยไปรอบบ่ายสามแทน
ระหว่างทางฝนตกบ้างหยุดบ้างครับ สดชื่นดี

จากหัวลำโพงไปถึงสถานีขุนตานประมาณตี4

อ้อ ผมนอนหน้าสถานีครับหนาวใช้ได้เลย รอบๆเป็นภูเขาสูงติดกับทางขึ้นอุทยานแห่งชาติดอยขุนตาน

ทางขึ้นอุทยานจะอยู่ตรงรูปปั้นคนยืนที่อยู่ทางซ้ายครับ ฝั่งตรงข้ามเยื้องๆกับสถานี
ฝนตกปรอยๆตลอดช่วงเช้าทางขึ้นเป็นพื้นคอนกรีตสลับดิน ค่อยข้างลื่นใช้ได้เลยครับ

ผมเดินจากตัวสถานีตอน7โมงขึ้นไปถึงข้างบนประมาณ8โมงครึ่งครับเนื่องจากเดินหลงทางอยู่สองสามรอบ
ค่าเข้าอุทยาน10บาทครับ

จุดนี้อยู่ถัดจากทางเข้านิดเดียวครับ สามารถมองเห็นรถไฟวิ่งผ่านด้านล่างได้ครับ
--------------
ดอยขุนตานจะมีจุดชมวิวทั้งหมด4จุด เรียกว่า ย.1-ย.4 จุด ย.4สูงจากระดับน้ำทะเล 1,373 ม. เพราะไม่ค่อยสูงด้วยมั้งครับเลยไม่มีคนนิยมมากันบวกกับผมไปช่วงฤดูฝนด้วยคนแทบไม่มีเลยครับ
แต่ผมไปได้แค่ ย.2ครับเนื่องจากฝนเริ่มตกหนักถนนลื่นแล้วก็เริ่มชัน เลยลงมาหาข้าวกินที่สโมสร พระอาทิตย์ก็ไม่ได้เห็นครับมีแต่เมฆ
ที่นี่อาบน้ำฟรีครับ หลังจากอาบน้ำเสร็จก็ว่าจะหารถต่อเข้าไปตัวเมืองลำพูนครับ แต่ตกรถไฟอีกแล้ว
บังเอิญหัวหน้า(เข้าใจว่าเป็นหัวหน้าอุทยานนะครับ) กำลังจะเข้าตัวเมืองลำปาง ซึ่งไม่เกี่ยวกับผมเลยเพราะผมจะไปลำพูน แต่ไหนๆก็ไม่ได้คิดมาว่าจะไปไหนบ้างเลยขอติดรถเข้าไปลำปางด้วยครับ

เส้นแบ่งเขตลำปางกับลำพูนครับ
--------------------------
ฝนก็ยังตกเหมือนเดิมต่อไปอากาศกำลังดีก็เลยหลับเพลินตลอดทาง
พอมาถึงตัวเมืองลำปาง หัวหน้าพาผมมาส่งที่ท่ารถ แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นท่ารถหลักๆเลยรึเปล่าเพราะดูไม่ค่อยจะมีคน เงียบๆเหงาๆ มีรถสองแถวไปน้ำตกอยู่ใต้ต้นมะขาม ตัวท่ารถผมไม่แน่ใจว่าที่ไหนเพราะเคยมาลำปางก็ครั้งแรกนี่แหละครับน่าจะอยู่แถวๆสะพานรัษฎาครับ ค่ารถ90บาทไปถึงอุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน
ผมก็ลองเสิร์ชหาดูเป็นบ่อน้ำพุร้อนต้มไข่สุก10นาทีประมาณนี้ครับ
ระหว่างทางคนขับจอดรถทำธุระแถวๆหน้าอาชีวะลำปาง พอดีผมเห็นร้านKODAK เลยแวะเข้าไปดูเผื่อจะมีฟิล์มขายบ้าง แต่ไม่มีครับ เดินกลับมาที่รถ รถก็ไม่อยู่แล้วครับแต่มีอีกคันกำลังจะออกก็เลยโดดขึ้นไปก่อน คนบนรถบอกว่าคันนี้จะกลับคิว ซึ่งแปลว่าผมต้องไปเริ่มต้นใหม่ที่คิว 5555
แต่ไปๆมาๆคันที่ผมนั่งมาตอนแรกขับตามหลังมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ คนขับก็เลยจอดให้ผมไปขึ้นคันแรกแทนไม่คิดค่าโดยสาร
ใจดีมากๆครับ

นั่งสองแถวจากโรงพยาบาล(จำชื่อไม่ได้นะครับ)ไปถึงตัวอุทยานเลยน่าจะประมาณ2ชั่วโมงครับเพราะพี่คนขับแวะเข้าไปส่งผู้โดยสารอีกคนถึงในหมู่บ้านเลย ใจดีอีกแล้วทั้งๆที่บนรถก็มีแค่สองคน
ค่าเข้าอุทยาน20บาทครับ
มาถึงก็เจอบ่อน้ำพุร้อนเลยครับ ภาพในหัวตอนแรกคือมีควันฟุ้งๆแล้วนั่งแกะไข่ต้มอย่างเอร็ดอร่อย
แต่ผมมาช่วงที่เป็นหน้าฝน ภาพที่ได้ก็เลยเป็นแค่น้ำนิ่งๆมีหินล้อมรอบไม่มีควันแม้แต่นิดเดียว ระหว่างกำลังอึ้งก็เลยไม่ได้ถ่ายภาพมาครับ แหะๆ
ก็ว่าจะจองที่พักแล้วกลับพรุ่งนี้เช้าเลย เข้าไปถามที่สำนักงานบังเอิญเหลือบไปเห็นโปสเตอร์โฆษณาแหล่งที่เที่ยวที่อื่นที่ไม่ต้องต้มไข่แล้วครับ ก็สนใจดอยกิ่วฝิ่นอันแรกครับ เปลี่ยนใจไม่พักแล้วจะหารถขึ้นข้างบนให้ได้เลยตอนนั้นเพราะผิดหวังจากดอยขุนตานมาต้องแก้ตัวอีกรอบให้ได้
เจ้าหน้าที่บอกว่ารถที่จะจ้างขึ้นต้องเสีย1,000ครับ ถ้าไปหลายคนก็หารกันคุ้มๆ แต่นักท่องเที่ยวรอบๆนับได้ไม่เกิน5คนที่กำลังจะต้มไข่และดูเหมือนว่าคนไม่ไปกับผมแน่ๆ
แต่พี่เจ้าหน้าที่แนะนำอีกวิธีครับ คือจะให้ผมติดรถเจ้าหน้าที่ป่าไม้ขึ้นไปข้างบนหมู่บ้านป่าเหมี้ยงแล้วจ้างคนในหมู่บ้านให้ขึ้นไปส่งบนดอยกิ่วฝิ่น
ที่เล่าๆมา นี่ครับจุดที่เป็นของดีที่ผมไปเจอกำลังจะเริ่มต้นแล้วครับ 55555 เกริ่นมานานมาก
เจ้าหน้าที่ขี่รถพาผมมาส่งที่ด่าน3 เพื่อดักรอเจ้าหน้าที่ป่าไม้ที่ขี่ผ่านมา ฟังดูเหมือนจะดักปล้นยังไงไม่รู้นะครับ แล้วฝนก็ตกหนักเลยครับไฟดับ

นั่งรอฝนหยุดตกจนถึงประมาณบ่าย2โมงครึ่ง พี่วุฒิก็ขี่รถผ่านมาพอดี(มารู้ชื่อตอนหลังครับ)
เจ้าหน้าที่ก็โบกๆให้จอดแล้วผมก็เข้าไปช่วยอ้อนวอนให้พาขึ้นไปส่ง ล้อเล่นครับพอดีพี่วุฒิเนี่ยกำลังจะกลับบ้านที่อยู่ในหมู่บ้านป่าเหมี้ยงพอดี เลยขอติดรถไปด้วยครับ
ระหว่างทางต้นไม้เขียวขจีช่วงหลังฝนด้วยสดชื่นมากๆครับ

ระยะทางประมาณ19กิโลจากด่าน3มาถึงโรงเรียนที่เป็นโฮมสเตย์ในหมู่บ้าน พอดีเจ้าหน้าที่อีกคนแนะนำมาว่าค่าพักถูกมาก
โรงเรียนบ้านป่าเหมี้ยง อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ1,200เมตร มีเด็กนักเรียนตั้งแต่อนุบาลถึง ป.6 รวม29คน กับคุณครู3คน(อันนี้ถามครูมาตอนหลังนะครับ)
ไปถึงหน้าโรงเรียนเด็กคนนึงก็พาผมเข้าไปพบกับคุณครู ตอนนั้นโรงเรียนยังไม่เลิกครับเด็กกำลังนั่งทำป้ายอะไรซักอย่างกันอยู่

สอบถามค่าที่พักคืนละ 150บาทครับไม่มีอาหารเช้า มีหลังเดียวติดลำธาร

แต่ผมไม่ได้ตั้งใจจะพักอยู่แล้วเพราะตั้งใจจะขึ้นไปข้างบนดอยกิ่วฝิ่น
ก็เล่าให้คุณครูฟัง ครูก็เลยจะให้เด็ก ป.5ขี่รถไปส่งผมข้างบนครับ ฟังดูแล้วไม่ค่อยเชื่อว่าเด็กตัวเล็กๆจะพาผมไปส่งไหว
ไปๆมาๆครูก็เลยเปลี่ยนใจจะให้ผมยืมรถขึ้นไปบนดอย ผมเจอคนใจดีอีกแล้ว ผมตัดสินใจพักที่นั่นเลย ก็ได้น้องผู้หญิง จริงๆเป็นเด็กประถมมากว่า มาจัดที่นอนกางมุ้งให้ ดูเหมือนจะกลายเป็นว่าผมใช้แรงงานเด็ก จะขอทำเองน้องๆเค้าก็ไม่ให้ทำครับ

ระหว่างรอผมก็เดินสำรวจไปรอบๆโรงเรียน เจอเด็กๆกำลังรอกลับบ้าน อยู่ดีๆเด็กๆก็ร้องเพลงให้ผมฟังครับ เลยขอใหม่อีกรอบเพื่อจะอัดวีดีโอ น่ารักดีครับ

พอได้เวลากลับเด็กๆก็เข้าแถวสวัสดีคุณครูแล้วสวมวิญญาณยูเซนโบลต์กลับบ้านอย่างรวดเร็ว

ผมซ้อนรถครูกลับบ้านเพื่อไปเอารถอีกคัน ก็เจอเด็กผู้ชายคนนึงมันจะขอติดไปด้วยชื่อไอ้ออมครับ ไอ้ออม ป.3
หลังจากนั้นเราก็ไปกันสามคนกับมอไซ2คัน ขี่จากหมู่บ้านขึ้นไปบนจุดชมวิวกิ่วฝิ่นครับ

จอดรถกันที่หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติ ที่จซ. 7 (ดอยล้าน)กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช

เดินเท้าต่ออีกประมาณ50เมตร ก็จะถึงจุดชมวิวครับ

ดอยกิ่วฝิ่นอยู่ในเขต จ.เชียงใหม่ครับ ถัดลงไปด้านล่างถ้าจำไม่ผิดประมาณ5กิโลจะถึงบ้านแม่กำปองครับ

ถึงแล้วครับ

บนดอยกิ่วฝิ่นสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง1,517เมตร สามารถมองเห็นวิวได้4จังหวัดคือ เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง เชียงราย ตอนไปถึงก็เห็นแค่ต้นไม้สีเขียวเต็มไปหมด มารู้ตอนครูเล่าว่าให้มาช่วงหน้าหนาวจะมีดอกนางพญาเสือโคร่งกับดอกเสี้ยว

ส่วนจุดเด่นของที่นี่คือทั่วทั้งดอยจะเต็มไปด้วยดอกนางพญาเสือโคร่ง หรือซากุระเมืองไทยครับสลับกับดอกเสี้ยวที่เป็นสีขาว ส่วนตอนที่ผมไปเป็นช่วงหน้าฝนต้นนางพญาเสือโคร่งเค้าจะผลัดใบกันช่วงหน้าฝนพอดี ที่เห็นเป็นกิ่งๆในภาพนั่นแหละครับ ช่วงมกราคมจะเต็มไปด้วยดอกสีชมพูสลับขาวทั่วทั้งดอยสวยมากๆครับ(อันนี้ลองกลับมาเสิร์ชดูทีหลังครับ)

แต่น่าเสียดายผมมาตอนที่เค้ายังเป็นกิ่งอยู่เลย 555 ส่วนต้นอื่นๆก็แข่งกันเขียวเลยครับเพราะเป็นช่วงหลังฝนตกพอดี
โดดเรียน3วัน2คืน แบกเป้ขึ้นดอยหน้าฝนแต่ไปเจอของดีหน้าหนาว ขุนตาน-กิ่วฝิ่น จบทริป620บาท
สวัสดีครับชื่อฟ่างนะครับ เรียนอยู่ปี3ครับจากคณะที่เรียน5ปี
ดองไว้นานมากครับจนโดนเพื่อนยุให้มาตั้งกระทู้ในพันทิป พอดีเพิ่งหาเวลาว่างได้ครับ เผื่อใครหาทริปหน้าหนาวนี้ไม่ได้ก็แนะนำอีก1เสียงครับ
ขอเล่าเลยละกันนะครับ
ผมไปมาช่วงวันที่22กันยา ซึ่งก็คือเมื่อประมาณ3เดือนก่อน ขึ้นเหนือครั้งแรกครับตั้งใจไว้ว่าจะโดดเรียนไปเที่ยวเรื่อยๆไม่มีกำหนดกลับที่แน่นอนมีเป้าหมายแรกคือ ดอยขุนตาน จ.ลำพูนครับ เพราะอ่านเจอในรีวิวมาคนไปน้อยดีครับ เป็นเป้าหมายที่แรกแล้วก็ที่เดียวที่คิดไว้ก่อนไปครับไม่มีแผนอะไรล่วงหน้าเลย จัดทริปแบบรีบๆด้วยครับก็เลยลุยคนเดียว
22 กันยา 2558
อ่านกระทู้จบปุ๊ปก็ออกเดินทางตอนเช้าด้วยรถไฟฟรีครับเพื่อที่จะขึ้นดอยไปดูพระอาทิตย์ตกตอนเย็น(รถไฟใช้เวลาประมาณ14ชั่วโมง)
23 กันยา 2558
แต่ตกรถไฟรอบเช้าเลยไปรอบบ่ายสามแทน
ระหว่างทางฝนตกบ้างหยุดบ้างครับ สดชื่นดี
จากหัวลำโพงไปถึงสถานีขุนตานประมาณตี4
อ้อ ผมนอนหน้าสถานีครับหนาวใช้ได้เลย รอบๆเป็นภูเขาสูงติดกับทางขึ้นอุทยานแห่งชาติดอยขุนตาน
ทางขึ้นอุทยานจะอยู่ตรงรูปปั้นคนยืนที่อยู่ทางซ้ายครับ ฝั่งตรงข้ามเยื้องๆกับสถานี
ฝนตกปรอยๆตลอดช่วงเช้าทางขึ้นเป็นพื้นคอนกรีตสลับดิน ค่อยข้างลื่นใช้ได้เลยครับ
ผมเดินจากตัวสถานีตอน7โมงขึ้นไปถึงข้างบนประมาณ8โมงครึ่งครับเนื่องจากเดินหลงทางอยู่สองสามรอบ
ค่าเข้าอุทยาน10บาทครับ
จุดนี้อยู่ถัดจากทางเข้านิดเดียวครับ สามารถมองเห็นรถไฟวิ่งผ่านด้านล่างได้ครับ
--------------
ดอยขุนตานจะมีจุดชมวิวทั้งหมด4จุด เรียกว่า ย.1-ย.4 จุด ย.4สูงจากระดับน้ำทะเล 1,373 ม. เพราะไม่ค่อยสูงด้วยมั้งครับเลยไม่มีคนนิยมมากันบวกกับผมไปช่วงฤดูฝนด้วยคนแทบไม่มีเลยครับ
แต่ผมไปได้แค่ ย.2ครับเนื่องจากฝนเริ่มตกหนักถนนลื่นแล้วก็เริ่มชัน เลยลงมาหาข้าวกินที่สโมสร พระอาทิตย์ก็ไม่ได้เห็นครับมีแต่เมฆ
ที่นี่อาบน้ำฟรีครับ หลังจากอาบน้ำเสร็จก็ว่าจะหารถต่อเข้าไปตัวเมืองลำพูนครับ แต่ตกรถไฟอีกแล้ว
บังเอิญหัวหน้า(เข้าใจว่าเป็นหัวหน้าอุทยานนะครับ) กำลังจะเข้าตัวเมืองลำปาง ซึ่งไม่เกี่ยวกับผมเลยเพราะผมจะไปลำพูน แต่ไหนๆก็ไม่ได้คิดมาว่าจะไปไหนบ้างเลยขอติดรถเข้าไปลำปางด้วยครับ
เส้นแบ่งเขตลำปางกับลำพูนครับ
--------------------------
ฝนก็ยังตกเหมือนเดิมต่อไปอากาศกำลังดีก็เลยหลับเพลินตลอดทาง
พอมาถึงตัวเมืองลำปาง หัวหน้าพาผมมาส่งที่ท่ารถ แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นท่ารถหลักๆเลยรึเปล่าเพราะดูไม่ค่อยจะมีคน เงียบๆเหงาๆ มีรถสองแถวไปน้ำตกอยู่ใต้ต้นมะขาม ตัวท่ารถผมไม่แน่ใจว่าที่ไหนเพราะเคยมาลำปางก็ครั้งแรกนี่แหละครับน่าจะอยู่แถวๆสะพานรัษฎาครับ ค่ารถ90บาทไปถึงอุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน
ผมก็ลองเสิร์ชหาดูเป็นบ่อน้ำพุร้อนต้มไข่สุก10นาทีประมาณนี้ครับ
ระหว่างทางคนขับจอดรถทำธุระแถวๆหน้าอาชีวะลำปาง พอดีผมเห็นร้านKODAK เลยแวะเข้าไปดูเผื่อจะมีฟิล์มขายบ้าง แต่ไม่มีครับ เดินกลับมาที่รถ รถก็ไม่อยู่แล้วครับแต่มีอีกคันกำลังจะออกก็เลยโดดขึ้นไปก่อน คนบนรถบอกว่าคันนี้จะกลับคิว ซึ่งแปลว่าผมต้องไปเริ่มต้นใหม่ที่คิว 5555
แต่ไปๆมาๆคันที่ผมนั่งมาตอนแรกขับตามหลังมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ คนขับก็เลยจอดให้ผมไปขึ้นคันแรกแทนไม่คิดค่าโดยสาร
ใจดีมากๆครับ
นั่งสองแถวจากโรงพยาบาล(จำชื่อไม่ได้นะครับ)ไปถึงตัวอุทยานเลยน่าจะประมาณ2ชั่วโมงครับเพราะพี่คนขับแวะเข้าไปส่งผู้โดยสารอีกคนถึงในหมู่บ้านเลย ใจดีอีกแล้วทั้งๆที่บนรถก็มีแค่สองคน
ค่าเข้าอุทยาน20บาทครับ
มาถึงก็เจอบ่อน้ำพุร้อนเลยครับ ภาพในหัวตอนแรกคือมีควันฟุ้งๆแล้วนั่งแกะไข่ต้มอย่างเอร็ดอร่อย
แต่ผมมาช่วงที่เป็นหน้าฝน ภาพที่ได้ก็เลยเป็นแค่น้ำนิ่งๆมีหินล้อมรอบไม่มีควันแม้แต่นิดเดียว ระหว่างกำลังอึ้งก็เลยไม่ได้ถ่ายภาพมาครับ แหะๆ
ก็ว่าจะจองที่พักแล้วกลับพรุ่งนี้เช้าเลย เข้าไปถามที่สำนักงานบังเอิญเหลือบไปเห็นโปสเตอร์โฆษณาแหล่งที่เที่ยวที่อื่นที่ไม่ต้องต้มไข่แล้วครับ ก็สนใจดอยกิ่วฝิ่นอันแรกครับ เปลี่ยนใจไม่พักแล้วจะหารถขึ้นข้างบนให้ได้เลยตอนนั้นเพราะผิดหวังจากดอยขุนตานมาต้องแก้ตัวอีกรอบให้ได้
เจ้าหน้าที่บอกว่ารถที่จะจ้างขึ้นต้องเสีย1,000ครับ ถ้าไปหลายคนก็หารกันคุ้มๆ แต่นักท่องเที่ยวรอบๆนับได้ไม่เกิน5คนที่กำลังจะต้มไข่และดูเหมือนว่าคนไม่ไปกับผมแน่ๆ
แต่พี่เจ้าหน้าที่แนะนำอีกวิธีครับ คือจะให้ผมติดรถเจ้าหน้าที่ป่าไม้ขึ้นไปข้างบนหมู่บ้านป่าเหมี้ยงแล้วจ้างคนในหมู่บ้านให้ขึ้นไปส่งบนดอยกิ่วฝิ่น
ที่เล่าๆมา นี่ครับจุดที่เป็นของดีที่ผมไปเจอกำลังจะเริ่มต้นแล้วครับ 55555 เกริ่นมานานมาก
เจ้าหน้าที่ขี่รถพาผมมาส่งที่ด่าน3 เพื่อดักรอเจ้าหน้าที่ป่าไม้ที่ขี่ผ่านมา ฟังดูเหมือนจะดักปล้นยังไงไม่รู้นะครับ แล้วฝนก็ตกหนักเลยครับไฟดับ
นั่งรอฝนหยุดตกจนถึงประมาณบ่าย2โมงครึ่ง พี่วุฒิก็ขี่รถผ่านมาพอดี(มารู้ชื่อตอนหลังครับ)
เจ้าหน้าที่ก็โบกๆให้จอดแล้วผมก็เข้าไปช่วยอ้อนวอนให้พาขึ้นไปส่ง ล้อเล่นครับพอดีพี่วุฒิเนี่ยกำลังจะกลับบ้านที่อยู่ในหมู่บ้านป่าเหมี้ยงพอดี เลยขอติดรถไปด้วยครับ
ระหว่างทางต้นไม้เขียวขจีช่วงหลังฝนด้วยสดชื่นมากๆครับ
ระยะทางประมาณ19กิโลจากด่าน3มาถึงโรงเรียนที่เป็นโฮมสเตย์ในหมู่บ้าน พอดีเจ้าหน้าที่อีกคนแนะนำมาว่าค่าพักถูกมาก
โรงเรียนบ้านป่าเหมี้ยง อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ1,200เมตร มีเด็กนักเรียนตั้งแต่อนุบาลถึง ป.6 รวม29คน กับคุณครู3คน(อันนี้ถามครูมาตอนหลังนะครับ)
ไปถึงหน้าโรงเรียนเด็กคนนึงก็พาผมเข้าไปพบกับคุณครู ตอนนั้นโรงเรียนยังไม่เลิกครับเด็กกำลังนั่งทำป้ายอะไรซักอย่างกันอยู่
สอบถามค่าที่พักคืนละ 150บาทครับไม่มีอาหารเช้า มีหลังเดียวติดลำธาร
แต่ผมไม่ได้ตั้งใจจะพักอยู่แล้วเพราะตั้งใจจะขึ้นไปข้างบนดอยกิ่วฝิ่น
ก็เล่าให้คุณครูฟัง ครูก็เลยจะให้เด็ก ป.5ขี่รถไปส่งผมข้างบนครับ ฟังดูแล้วไม่ค่อยเชื่อว่าเด็กตัวเล็กๆจะพาผมไปส่งไหว
ไปๆมาๆครูก็เลยเปลี่ยนใจจะให้ผมยืมรถขึ้นไปบนดอย ผมเจอคนใจดีอีกแล้ว ผมตัดสินใจพักที่นั่นเลย ก็ได้น้องผู้หญิง จริงๆเป็นเด็กประถมมากว่า มาจัดที่นอนกางมุ้งให้ ดูเหมือนจะกลายเป็นว่าผมใช้แรงงานเด็ก จะขอทำเองน้องๆเค้าก็ไม่ให้ทำครับ
ระหว่างรอผมก็เดินสำรวจไปรอบๆโรงเรียน เจอเด็กๆกำลังรอกลับบ้าน อยู่ดีๆเด็กๆก็ร้องเพลงให้ผมฟังครับ เลยขอใหม่อีกรอบเพื่อจะอัดวีดีโอ น่ารักดีครับ
พอได้เวลากลับเด็กๆก็เข้าแถวสวัสดีคุณครูแล้วสวมวิญญาณยูเซนโบลต์กลับบ้านอย่างรวดเร็ว
ผมซ้อนรถครูกลับบ้านเพื่อไปเอารถอีกคัน ก็เจอเด็กผู้ชายคนนึงมันจะขอติดไปด้วยชื่อไอ้ออมครับ ไอ้ออม ป.3
หลังจากนั้นเราก็ไปกันสามคนกับมอไซ2คัน ขี่จากหมู่บ้านขึ้นไปบนจุดชมวิวกิ่วฝิ่นครับ
จอดรถกันที่หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติ ที่จซ. 7 (ดอยล้าน)กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช
เดินเท้าต่ออีกประมาณ50เมตร ก็จะถึงจุดชมวิวครับ
ดอยกิ่วฝิ่นอยู่ในเขต จ.เชียงใหม่ครับ ถัดลงไปด้านล่างถ้าจำไม่ผิดประมาณ5กิโลจะถึงบ้านแม่กำปองครับ
ถึงแล้วครับ
บนดอยกิ่วฝิ่นสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง1,517เมตร สามารถมองเห็นวิวได้4จังหวัดคือ เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง เชียงราย ตอนไปถึงก็เห็นแค่ต้นไม้สีเขียวเต็มไปหมด มารู้ตอนครูเล่าว่าให้มาช่วงหน้าหนาวจะมีดอกนางพญาเสือโคร่งกับดอกเสี้ยว
ส่วนจุดเด่นของที่นี่คือทั่วทั้งดอยจะเต็มไปด้วยดอกนางพญาเสือโคร่ง หรือซากุระเมืองไทยครับสลับกับดอกเสี้ยวที่เป็นสีขาว ส่วนตอนที่ผมไปเป็นช่วงหน้าฝนต้นนางพญาเสือโคร่งเค้าจะผลัดใบกันช่วงหน้าฝนพอดี ที่เห็นเป็นกิ่งๆในภาพนั่นแหละครับ ช่วงมกราคมจะเต็มไปด้วยดอกสีชมพูสลับขาวทั่วทั้งดอยสวยมากๆครับ(อันนี้ลองกลับมาเสิร์ชดูทีหลังครับ)
แต่น่าเสียดายผมมาตอนที่เค้ายังเป็นกิ่งอยู่เลย 555 ส่วนต้นอื่นๆก็แข่งกันเขียวเลยครับเพราะเป็นช่วงหลังฝนตกพอดี