ไหนไหนก็มา…ปีนัง(ก่อนสิ้นปี): ทริปนี้พี่ไม่ได้มาเล่นๆ

Martin Luther King, Jr. เคยกล่าวไว้ว่า

"We are not makers of history. We are made by history  
เราไม่ได้เป็นนักสร้างประวัติศาสตร์  แต่เราถูกสร้างโดยประวัติศาสตร์"



“ปีนัง”เมืองเล็กๆบนเกาะแห่งหนึ่งในประเทศมาเลเซีย ที่ทุกวันนี้วัยรุ่นไทยส่วนใหญ่ยกให้เป็น “เมืองฮิปเตอร์”
แต่นอกจากเมืองที่เต็มไปด้วย Street Art และร้านกาแฟน่ารักๆแล้ว
เมืองแห่งนี้ยังเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์จนได้รับยกย่องว่าเป็น “เมืองมรดกโลก”อีกด้วย



สวัสดีครับ ผมเชื่อว่าทุกๆปีใหม่หลายๆคนคงจะตั้งปณิธานถึงสิ่งที่อยากจะทำในปีนั้น
ผมเองก็เป็นอีกคนครับ ที่ตั้งใจว่าในปีนี้จะเขียนกระทู้บันทึกการเดินทางกระทู้แรกในชีวิตให้ได้
(อย่าช้าดีกว่าครับ เดี๋ยวอีกไม่กี่ชั่วโมงก็ปีหน้าแล้ว เดี๋ยวจะไม่ทันครับ ฮาาาาา)



จุดเริ่มต้นของการเดินทางครั้งนี้เริ่มต้นเมื่อเพื่อนๆที่ลงเรียนวิชาอนุรักษ์เมืองชวนผมไปเที่ยวปีนังด้วย
แต่จะเรียกเที่ยวก็อาจจะยังไม่เหมาะเท่าไหร่
เพราะในทริปนี้ผมได้รับเกียรติจากอาจารย์ที่คณะทั้งสองท่านมาเป็นไกด์กิตติมาศักดิ์ประจำทริปนี้ด้วยเลยทำให้ตลอดทริปนี้
ทำให้ผมและเพื่อนๆอีก7ชีวิต ไม่ได้มาปีนังแบบเล่นๆนะครับ
การเที่ยวเมืองฮิปเตอร์ครั้งนี้เลยเหมือนกันพวกเราได้มาเรียนนอกห้องเรียนไปในตัว
กระทู้นี้เลยอาจจะพูดเรื่องเมืองที่อาจารย์เล่าให้ฟังตลอดทาง(กับเรื่องกิน)เยอะหน่อย อย่าพึ่งเบื่อนะครับ



ก่อนอื่น เรามาทำความรู้จักกับเมืองปีนังกันก่อนดีกว่า (จะเที่ยวเมืองเขาก็ต้องเข้าใจเมืองเขาก่อนจริงมั๊ยครับ)
“ปีนัง” ถือเป็นรัฐหนึ่งของประเทศมาเลเซีย ประกอบด้วยพื้นที่ 2 ส่วนคือ “เซเบอรังเปอไร” ซึ่งตั้งอยู่บนชายฝั่ง
อีกส่วนคือ “เกาะปีนัง” เป็นที่ตั้งของจอร์จทาวน์ เมืองหลวงของรัฐนี้ ซึ่งเป็นที่หมายของทริปเราในครั้งนี้ครับ



เราออกเดินทางจากสนามบินดอนเมืองด้วยไฟล์ทบ่ายโมงกว่าๆ แต่กว่าเครื่องจะออกก็เลทพอสมควร
ทำให้เราไปถึงที่ปีนัง เช็คอินที่โรงแรมก็เกือบ 5 โมงครึ่ง ภาพแรกที่มองจากหน้าต่างเครื่องบินคือ
“เฮ้ย นี่เรานั่งเครื่องบินมาภูเก็ตหรือเปล่าเนี๊ย เหมือนกันเด๊ะๆเลย”



ตลอดทริป4วัน 3คืนนี้เราพักกันที่โรงแรม Armeninan Street Heritage (ตกคืนละประมาณ 935 บาท)
ที่เลือกโรงแรมนี้เพราะตั้งอยู่ใกล้ทั้งย่านเมืองเก่า ตลาดเช้า  ร้านอาหารทั้งเช้าและเย็น (หิวๆจะได้หาอะไรกินง่ายๆ)
รวมทั้งใกล้ห้างสรรพสินค้า KOMTAR , Pragin Mall ,1st Avenue เดินจากโรงแรม5นาทีก็ถึงละ ชิลๆ



หลังจากเก็บข้าวของเสร็จ ท้องก็ร้องขึ้นมาทันที ตอนนี้ภาพจากกระทู้รีวิวอาหารในปีนังลอยขึ้นมาในหัวเลยครับ
มาปีนังครั้งนี้จะต้องเก็บแต้มอาหารให้ครบให้ได้ (เรื่องกิน นี่เรื่องใหญ่ครับ ฮาาาาา)
ก็ตั้งแต่มื้อเที่ยงที่ดอนเมืองจนขึ้นเครื่องบินมาจนถึงโรงแรมยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย
ตัดสินใจยกมือแล้วพูดว่า “อาจารย์ครับ พวกผมหิว”
อาจารย์และเพื่อนๆก็คงหิวเหมือนๆกัน ทุกคนเลยรีบเดินออกจากที่พักกันไปเป็นแถว



เย็นนี้เรามาฝากท้องกันที่ถนน Lebuh Chulia ครับ
ถนนสายนี้มีร้านอาหารประเภทรถเข็นอยู่สองฝั่งถนน ส่วนใหญ่เป็นอาหารท้องถิ่น ทำสดๆร้อนๆครับ



มื้อเย็นมื้อแรกที่ปีนังผมขอประเดิมด้วย Char Koay Teoy (ชาก๋วยเตี๋ยว) หนึ่งในบัญชีอาหารที่ต้องลองที่ปีนังที่ผมListไว้
รสชาติก็คล้ายๆผัดซีอิ๊วตามที่กระทู้รีวิวเคยบอกไว้แหล่ะครับ
แต่ที่พิเศษกว่าคือมีหอยแครงตัวโตๆ กุ้งตัวเน้นๆอยู่ด้วย
ราคาอาหารจานนี้รวม 4.5 RM หรือประมาณ 40 บาท(อัตราแลกเปลี่ยนตอนนั้นอยู่ที่ 8.8 ครับ)



แต่ชาก๋วยเตี๋ยวจานแค่นั้นได้ไม่ถึงครึ่งท้องผมหรอก ฮาาาา (โถ่วววว...ไอ่อ้วน)
ขอข้ามฝั่งถนนไปต่อกับเมนู Curry Mee เลยแล้วกัน
(วงMusketeers เคยบอกผมไว้ว่า “อยากให้เธอรู้ อยากให้เธอลอง…) เกี่ยวกับมั๊ย?
โดยปกติ เราเห็นโต๊ะว่างก็เข้าไปนั่ง แล้วถ้ามีป้าพนักงานมาถามว่า “ดื่มน้ำอะไร”
ถ้าเราไม่ดื่มก็บอกว่า “No” ก็เป็นอันจบใช่มั๊ยครับ
แต่ที่นี่ทำให้เราสะใภ้ เอ้ย!!! เซอร์ไพร์ส กว่าคือ
ป้าร้านน้ำปั่นข้างๆร้านCurry Mee บอกผมกับเพื่อนๆว่า “No drink, No Chair”
โอ้แม่สาวน้อย...เล่นอย่างนี้เลยหรอ ว่าละตั้งแต่ผมมาถึงถนนนี้ป้าแกไม่เคยหยุด สับ เฉาะ ฉีก ปั่นผลไม้เลย
เห็นร้านน้ำปั่นอย่างนี้ก็มีโต๊ะกับเก้าอี้ให้นั่งนะครับ แต่ต้องสั่งน้ำป้าเขาด้วยถึงจะได้นั่ง
อะอะอะ สั่งก็สั่งเพื่อแลกกับเก้าอี้มานั่งกิน Curry Meeที่อยากกิน
ผมเลยสั่งน้ำมะนาวปั่นไป รสชาติดีกว่าน้ำส้มปั่นที่เพื่อนผมสั่งไปเยอะเลย
เพราะร้านน้ำปั่นที่นี่มีแค่ผลไม้ กับน้ำผสมน้ำตาล (อย่าเรียกน้ำเชื่อมเลย มันไม่ได้มีรสชาติหวานขนาดนั้น)
แต่รับรองว่าสั่งน้ำผลไม้ที่นี่ทุกคนจะได้ทานน้ำผลไม้จริงๆสดๆแน่ๆ
น้ำมะนาวปั่นแก้วนี้ ราคา 2 RM (17.6บาท)ครับ




มาแล้วครับ Curry Mee ที่อยากกิน
รสชาติมันคล้ายกับอะไรนะ….
“ข้าวซอย!!!” ใช่ข้นๆมันๆหอมน้ำพริกเผา รสชาติคล้ายข้าวซอยเลย
ถ้ามีหมี่กรอบโรยนะใช่เลย แต่ต่างจากข้าวซอยบ้างเราคือมีลูกชิ้นและหอยแครง อร่อยไปอีกแบบครับ
ราคาชามนี้ 4.5 RM ครับ




สุภาษิตไทยเคยบอกไว้ว่า “กินคาวไม่กินหวาน สันดานไพร่”
พอดีไม่อยากเป็นไพร่ เลยต้องของหวานมาทานสักหน่อย ฮาาาา (ไอ่อ้วน)
พอดีอาจารย์ซื้อขนมผมให้ชิมครับ ร้อนๆเลย
เรียกขนมอะรูมิไร้ (อะไรไม่รู้) รสชาติคล้ายๆขนมไข่หงษ์ แต่ไส้คล้ายขนมตุ๊บตั๊บ
ร้านนี้อาจารย์ไปต่อคิวซื้อมาให้เลยนะครับ แสดงว่าเด็ดจริงๆ มีโอกาสลองไปดูนะครับ
เออ...ลืมบอก มีไส้หมูแดงด้วย อันนี้ก็อร่อย แต่ถ่ายรูปไม่ทันกินหมดก่อนครับ



กลับถึงที่พัก รู้สึกของหวานยังไม่สะใจ เลยขอต่อด้วยเต้าฮวยร้อนๆ ที่ร้านKafe Beans Heritage ที่อยู่ในโรงแรมที่เราพัก
เต้าฮวยร้านนี้กินเปล่าๆกับน้ำตาลทรายแดง ไม่ต้องใส่น้ำขิงเหมือนที่ไทย
รสชาติ หวานๆหอมๆ กินตอนเช้าๆน่าจะอร่อยครับ



กินอิ่มก็นอนหลับได้แล้วครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่