สิทธิที่เปลี่ยนไป กับเสรีภาพในสังคมของผู้หญิง และสิ่งที่ผู้ชายต้องเข้าใจ

สิทธิที่เปลี่ยนไป กับเสรีภาพในสังคมของผู้หญิง และสิ่งที่ผู้ชายต้องเข้าใจ

เป็นบทความเกี่ยวกับสังคมกับบทบาทของ ผญ ที่ จขกท เขียนเองนะคะ ฝากติชม และ ให้กำลังใจด้วยคะ

                      หากเราพูดถึงหน้าที่ผู้หญิงในสมัยก่อน เราจะเห็นภาพของแม่บ้าน กวาดบ้าน ทำอาหาร ซักผ้า เลี้ยงลูก อยู่แต่บ้าน ไม่ค่อยได้ออกไปไหน ไม่ได้จบการศึกษาสูง ไม่มีอำนาจตัดสินใจใดๆ เท่าไร หรือเห็นภาพการย้ายเข้าไปอยู่บ้านสามี ต้องปรนนิบัติดูแลพ่อแม่สามีและดูแลงานบ้านในบ้านของสามีทั้งหมด ผู้หญิงคนไหนที่ไม่มีสามี อยู่คนเดียวจนแก่ คือประหลาด และไร้คุณค่า ผู้หญิงที่มีความมั่นใจ กล้าคิด กล้าพูด จะถูกมองว่าไม่มีมารยาท ไม่ได้รับการอบรมสั่งสอน ผู้หญิงที่กินเหล้า สูบบุหรี่ถูกมองว่าเป็นผู้หญิงชั้นต่ำ ไม่เป็นกุลสตรี ไม่เหมาะสมกับการนำมาเป็นแม่บ้านแม่เรือน และยิ่งผู้ใหญ่ที่เสียตัวก่อนวันแต่งงานยิ่งเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ในสังคม จะถูกนินทาว่าร้าย จนไม่มีที่ยืนในสังคม

                       เราจะเห็นได้ว่าในอดีตเพศหญิงจะเป็นเพศที่มีบทบาทในสังคมน้อยมาก พูดง่ายๆ ว่าผู้หญิงเป็นเหมือนของประดับเสริมยศและความสะดวกสบายให้ผู้ชายเท่านั้น ที่เป็นเช่นนี้ อาจเพราะในอดีต งานการที่ทำส่วนใหญ่จะเป็นการทำไร่ ทำสวน ทำนา การออกไปรบ ผู้หญิงซึ่งเป็นเพศที่อ่อนแอกว่าไม่สามารถทำเรื่องพวกนี้ได้ดีเท่าผู้ชาย จึงมีหน้าที่ต้องคอยดูแลปรนิบัติ และดูแลบ้านเรือนให้เรียบร้อยยามผู้ชายกลับมาเพื่อแบ่งเบาภาระความเหนื่อยล้าของเพศชาย แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป ผู้หญิงสมัยใหม่ได้รับโอกาสทางการศึกษาเพิ่มขึ้น มีความสามารถเพิ่มขึ้น งานนอกบ้านไม่จำเป็นต้องใช้แค่พลังกำลังเหมือนสมัยก่อน ผู้หญิงในยุคนี้จึงสามารถออกไปทำงานนอกบ้านเพื่อหาเงินมาช่วยเหลือครอบครัวได้มากขึ้น "แต่งานบ้านยังคงเป็นของผู้หญิงอยู่"

                         เพราะค่านิยมจากในอดีตทำให้สังคมยังยึดติดอยู่ว่า "งานบ้านเป็นหน้าที่ของผู้หญิงเท่านั้น" การดูแลลูกและการดูแลบ้านสามีก็เช่นกัน ทำให้ในยุคสมัยหนึ่ง ผู้หญิงต้องรับผิดชอบหน้าที่ทั้งงานในบ้าน และงานนอกบ้าน ทั้งยังต้องดูแลสามีและบ้านสามีอีกด้วย ภาระที่หนักเกินตัวของผู้หญิงที่แบกไว้นี้จึงนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงหลายๆ อย่างในสังคม ความรู้สึกเหนื่อยจากภาระที่มากไปนำไปสู่ความรู้สึกว่า "ถูกเอาเปรียบ" เพราะเงินก็สามารถหาได้แล้ว ทำไมเธอจึงต้องเป็นผู้แบกภาระหนักไว้แต่เพียงผู้เดียว และการได้ไปทำงานนอกบ้านทำให้พวกเธอเริ่มมีสังคมมากขึ้น ได้เห็นโลกกว้างขึ้น ความอยากได้ต่างๆ ก็เพิ่มขึ้น ทั้งเรื่องสิ่งของ การพักผ่อนและตำแหน่งในหน้าที่การงาน ผู้หญิงเริ่มมีความทะเยอทะยานในการทำงานมากขึ้น และเมือมีบริษัทต่างชาติเข้ามามากขึ้น บทบาทการทำงานและสิทธิต่างๆ ของผู้หญิงก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย ถึงแม้จะไม่เท่าผู้ชายแต่ก็มากพอให้รู้สึกว่าตนสามารถทำงานได้ไม่ต่างกับผู้ชาย มองจากมุมนี้ผู้หญิงก็สามารถทำงานหาเงินเข้าบ้านได้ไม่ต่างกับผู้ชาย แล้วทำไมตนถึงต้องรับหน้าที่หนักกว่าผู้ชาย??

                          เพราะยุคสมัยเปลี่ยนไปแต่ค่านิยมไม่เปลี่ยนตาม ในสภาวะที่ภาระมากเช่นนี้ ผู้หญิงจึงมองหาทางออกของตน บางคนเลือกที่จะทิ้งผู้ชายแล้วใช้ชีวิตคนเดียว บางคนเลือกจะหันหน้าเข้าหาผู้ชายและปรับความเข้าใจ ในกรณีนี้หากผู้ชาย และยอมรับ การแบ่งเบาภาระงานบ้านจะเกิดขึ้น ผู้ชายในยุคหลังที่ให้ความใส่กับความเป็นอยู่ของผู้หญิงมากขึ้นเริ่มมองเห็นความหนักหนาของงานบ้านเด็กผู้ชายสมัยใหม่หลายคนจึงได้รับการสอนงานบ้าน และการทำอาหาร เกิดเป็นค่านิยมใหม่ว่า "งานบ้านไม่ใช่หน้าที่ของผู้หญิงเพียงฝ่ายเดียว" อีกต่อไป แต่ในเคสที่ผู้ชายไม่ยอมรับและยังคงยึดติดกับค่านิยมเดิมๆ ก็จะนำไปสู่ปัญหาต่างๆ ในชีวิตคู่และอาจนำไปสู่การหย้าร้างในที่สุด

                          และในปัจจุบัน ผู้หญิงเริ่มกลายเป็นเพศที่มีความสามารถเท่ากับหรือมากกว่าผู้ชาย และได้รับการยอมรับมากขึ้นในหลายสาขาอาชีพ โดยเฉพาะนักวิจัยและแพทย์ ซึ่งมีผู้หญิงเลือกเรียนมากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้ คณะวิศวกรรมก็ไม่ใช่คณะที่มีแต่ผู้ชายอีกต่อไป ด้วยเหตุนี้เอง ผู้หญิงจึงกลายเป็นแรงงานสำคัญในการพัฒนาประเทศไม่น้อยหน้าไปกว่าผู้ชาย พวกเธอจึงเริ่มมีความทะเยอทะยานในการหาความรู้และการงานมากขึ้น ทำให้ความสนใจต่อชีวิตคู่ลดน้อยลง อีกทั้งกระแสทางโซเชียลเน็ตเวิร์ก กระทู้ต่างๆ ที่มาบอกเล่าถึงประสบการ์ณชีวิตคู่ที่ไม่หอมชื่นและสมหวังเหมือนในละครทุกครั้งทำให้พวกเธอเหล่านั้น เลือกที่จะอยู่คนเดียวและให้ความสนใจกับงานมากกว่าการสร้างครอบครัว บ่อยครั้งที่พวกเธอมีการนิยามคำว่าครอบครัวขึ้นใหม่ อาจหมายถึงแค่กลุ่มเพื่อนสาวที่อยู่ด้วยกันโดยไม่มีผู้ชายเข้ามาเลย เพราะมันอุ่นใจและไม่มีความเสี่ยง ไม่ถูกเอาเปรียบและพวกเธอยังสามารถสนุกกับชีวิตได้อย่างเต็มที่อีกด้วย
    
                          แต่อีกหนึ่งปัญหาที่ตามจากค่านิยมสมัยใหม่ที่เน้นการให้เกียรติและไม่โยนภาระงานบ้านให้ผู้หญิงคือ "ความเอาแต่ใจ" อาจเพราะความไม่เข้าใจที่ถูกต้องระหว่างคำว่า "ให้เกียรติ" กับ "ตามใจ" จึงกลายเป็นค่านิยมผิดๆ ถูกใช้เป็นข้ออ้างในการเอาแต่ใจของผู้หญิงบางคนในสมัยนี้ ซึ่งปัญหานี้อาจมีความเกี่ยวโยงมาจากการเลี้ยงดูของพ่อแม่ด้วย อย่างไรก็ตามแนวโน้มของปัญหานี้ดูจะลดลงจากการแสดงความคิดเห็นที่มากขึ้นของผู้ชายผ่านทางโซเชียลทำให้ผู้หญิงเริ่มเข้าใจถึงจุดยืนของตัวเองมากขึ้น
    
                          ในอนาคตเราอาจเห็นผู้หญิงครองโสดกันมากขึ้น ส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิงที่มีการศึกษาสูงและรักการทำงาน เพราะเป้าหมายในชีวิตเปลี่ยนไป โลกมีอะไรให้ค้นหามากขึ้น อิสระภาพจึงเป็นสิ่งที่ผู้หญิงเริ่มให้ความสำคัญมากขึ้น และค่านิยมที่เปลี่ยนไปยอมรับผู้หญิงที่เป้นเวิร์กกิ๊งวูแมนมากขึ้น ไม่ถูกมองว่าเป็นความประหลาดหรือน่าอายเหมือนในอดีต ผู้หญิงเรามีตัวเลือกนะคะ เราไม่จำเป็นต้องยึดติดกับผู้ชายอีกต่อไป  สำหรับคุณผู้ชายหากต้องการมีชีวิตคู่ที่ราบรื่นและมีความสุขกันทั้งสองฝ่ายจึงต้องมีการปรับตัวให้เข้าใจการดำเนินชีวิตของคุณผู้หญิงให้มากขึ้น แน่นอนว่าผู้หญิงทุกคนต้องการความเข้าใจ การดูแลและการเอาใจใส่อย่างสม่ำเสมอ การพูดคุยและการยอมรับในความคิดเห็น ความต้องการของฝ่ายหญิงจึงเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับชีวิตคู่ที่ดีในปัจจุบัน และสำหรับคุณผู้หญิงต้องอย่านำคำว่า "ให้เกียรติ"ของฝ่ายชายมาใช้เป็นข้ออ้างในการเอาแต่ใจ ชีวิตคู่เป็นเรื่องของคนสองคน หากฝ่ายชายยอมรับและเปิดใจในความเป็นตัวคุณ คุณผู้หญิงควรเรียนรู้ในการมองเรื่องราวให้มีความเป็นเหตุเป็นผลและเรียกร้องในสิ่งที่สมควร อย่ามากเกินไป อย่าน้อยเกินไป หากทำได้เช่นนี้เชื่อได้ว่าทั้งสองฝ่ายจะสามารถใช้ชีวิตคู่ได้อย่างมีความสุข #บุญเย็น

เขียนจากมุมมองของ จขกท ที่เป็น ผญ นะคะ ในบทความหน้าจะเขียนถึงมุมมองฝั่ง ผช และสิ่งที่ผู้หญิงต้องเข้าใจ ฝากติดตามด้วยนะคะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่