สวัสดีค่ะ อยากแชร์ประสบการณ์ชีวิต(ดีๆ)ที่เราเป็นคนตัดสินใจและเลือกมันเอง และมีความหักเหของชีวิตหลายๆเหตุการณ์
บอกก่อนเลยว่าเราไม่ได้มีต้นทุนของเงิน ต้นทุนของสถานที่ หรือต้นทุนใดๆเลย ... แต่ชีวิตเราตอนนี้มีความสุขมากจริงๆ
และอยากแชร์สถานที่ที่ได้มีโอกาสได้ไปสัมผัสว่า "มันสวยมาก"
Part 2 มาแล้วนะคะ ติดตามได้ >>>
http://pantip.com/topic/34634379 <<<
เล่าคร่าวๆก่อนเลยแล้วกัน พื้นเพเป็นคนอุดรค่ะ เรียนมหาลัยที่ ม.สารคาม จบสถาปัต สาขาสถาปัตยกรรมภายใน
ได้มีโอกาสเลือกที่ฝึกงาน ซึ่งก็เหมือนกับทุกๆคนที่เรียนมหาลัยแล้วต้องมีช่วงไปฝึกงาน
เราตัดสินใจเลือกฝึกงานที่ เชียงใหม่ ค่ะ...ออฟฟิศอบอุ่น พี่ที่ออฟฟิศก็น่ารัก พาไปเที่ยวแทบทุกอาทิตย์
ดอกซากุระเมืองไทย ที่ขุนช้างเคี่ยน แว้นมอไซต์ขึ้นไปกันค่ะ สนุกมากก อากาศก็เย็น
เวลาเราไปไหนเราต้องไปที่ที่ไม่ค่อยมีคนค่ะ..ค่อยสนุก และพื้นที่นั้นจะสวยเสมอ
ประมาณ 1 เดือนก่อนเราจะฝึกงานเสร็จ ได้รู้จักกับพี่คนนึงแบบ งงๆ เป็นเพื่อนของเพื่อนของเพื่อนของเพื่อนที่มาฝึกงานด้วยกัน 555
และตอนนั้น เราคิดว่ามันเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราได้เจอชีวิตแบบที่ชอบไป 1 ขั้น
เจอพี่คนนี้ค่ะ..เขาชวนเราขึ้นดอยสุเทพเพื่อไปเดินกล่อง (ขอรับบริจาคเงินเพื่อไปทำกิจกรรม ปลูกป่า สร้างฝายที่ อ.ดอยเต่า)
หลังจากนั้นเพื่อนที่มาฝึกงานด้วยกลับบ้านกันหมดเลยค่ะ..เราเลยโทรไปบอกพ่อว่าขออยู่อีกสักอาทิตย์ จะไปปลูกป่าที่ดอยเต่า พ่อก็โอเคค่ะ
การมาดอยเต่าครั้งแรก....บอกเลยค่ะว่าถึงเป็นอำเภอที่เล็กๆ แต่โคตรน่าอยู่และอบอุ่นมากๆ
ครั้งแรกไปได้ไปช่วยคุณครูจาก กทม. สอนเด็กๆให้รู้จักคิดด้วยการวาดรูป
ได้เห็นวิถีชีวิตความเป็นอยู่ที่ เขาไม่ได้ต้องการเทคโนโลยีในการขับเคลื่อนชีวิตประจำวันแม้แต่นิดเดียว
ส่วนเด็กๆก็มีความคิดอีกมุมที่เห็นต่างออกไป มากกว่าเด็กที่อยู่ในเมือง
พื้นที่ตรงนี้ทำให้ ความคิดและการกระทำของเด็กๆ ดูน่ารักและสวยงามเป็นธรรมชาติ ไม่ได้มีการปรุงแต่ง
และการมาดอยเต่าครั้งแรก ในครั้งนี้ทำให้เราได้มิตรภาพกลับไปเต็มเปี่ยมเลยค่ะ
ได้เจอกับคนๆนึงที่เขาคิดดี ทำดี และมีความฝันเป็นของตัวเอง...
เขาเป็นเพื่อนกันกับพี่ที่พาเราขึ้นดอยสุเทพ...
เราเคยเชื่อนะคะ ว่าถ้าเรารู้สึกมีความสุขอยู่ที่ไหนกับใคร..ถึงจะอยู่ไกลแค่ไหนก็จะได้เจอกัน
คนดอยเต่าบอกเราว่า "ถ้าได้มาดอยเต่าครั้งแรกแล้ว ต้องได้กลับมาอีกเป็นครั้งที่ 2"
และก็ได้กลับมาอีกที แต่ไม่ถึงดอยเต่าค่ะ...ไปดอยขุนแตะ พี่ผ้าขาวม้าแกพาเราขึ้นไปค่ะ
เชื่อไหมคะ..สถานที่แห่งนี้มันทำให้เราหยุด และคิดว่า "สิ่งที่เราต้องการคืออะไร ชื่อเสียง เงินทอง หรือแค่ ความสุข"
และสามารถตอบตัวเองตอนนั้นได้เลยว่า สิ่งที่เราต้องการคือ " ความสุข"
แล้วเชื่อไหมคะ...อีก 1 ปีที่กลับไปเรียน ปี 5 ทำ The sis จบ ส่งเสร็จ รอจบ "แฟนบอกเลิกค่ะ" คบกันมาตั้งแต่ ปี 2
เสียใจค่ะ เสียใจมาก....แต่ทำไงได้ เหตุผลคืออะไรก็ไม่รู้นะคะ
แต่ทุกวันนี้
อยากกลับไปขอบคุณเขาจริงๆที่ทิ้งเราไป...
นี่คือจุดเปลี่ยนของชีวิตอีกครั้ง
แล้วเราก็เก็บกระเป๋าออกจากบ้านพร้อมเงินติดตัว ประมาณ 5,000 บาท บอกพ่อแม่ว่า "สิไปหางานทำที่เชียงใหม่เด้อ" พ่อแม่บอก "ไปโลด สิเฮ็ดหยั๋งกะเฮ็ด"
เท่านั้นแหละค่ะ....นั่งรถทัวร์จาก อุดร - เชียงใหม่ โดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะได้เจออะไร อยู่ที่ไหน ทำอะไร กินอยู่ยังไง แต่อยากไปก็เลยไป
เชื่อไหมคะ..มันเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะมันเปลี่ยนชีวิตของเราไปเลย
เรากลับมาเจอกับพี่ผ้าขาวม้าอีกรอบ..และสุดท้ายเราก็ตัดสินใจลองคบและจะลองทำตามความฝันของแต่ละคน "ร่วมกัน"
ในปีแรก ไปทำงานที่ออฟฟิศที่เคยฝึกงาน ก็ดีค่ะ แต่ชีวิตก็วัยทำงานคือ ตื่นเช้า - ไปทำงาน - กินข้าวเที่ยง - ทำงาน - เลิกกงาน - กลับบ้าน - นอน -ตื่นไปทำงาน วงจรชีวิตก็มีแค่นี้ค่ะ
ทำงานได้เงินเดือนหมื่นต้นๆ อยู่ในตัวเชียงใหม่ได้นะ เพราะเราไม่ซื้อของจุกจิก..
แต่ อยู่ได้แบบไม่มีเงินเก็บ
เลยถามตัวเองว่า 1 ปีที่ทำงานมา มีเงินเก็บได้กี่บาทแล้ว...แล้วมีความสุขไหมที่ทำอยู่ตอนนี้
พอคิดเสร็จ โทรบอกพ่อกับแม่เลยค่ะว่า "สิ้นปีรับปริญญาเสร็จ ขอลาออกจากงานเด้อ" พ่อแม่ก็ตกใจค่ะ แต่แกก็ถามกลับว่าทำไม เราก็บอกไปแค่ว่า "ต่ายไม่มีความสุข ไม่มีเงินเก็บ...เหมือนทำงานเพื่อมาจ่ายค่าบ้านเช่า ค่ากิน ต่ายต้องอยู่แบบนี้ไปกี่ปี ต่ายถึงจะเจอความสุข" พ่อแม่บอกโอเค ออกเลย
ทุกคนคงสงสัยกันว่า ออกจากงานที่ได้เงินเดือนเริ่มต้นเป็นหมื่นๆแล้วจะไปทำอะไร <<< เราก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะแรกๆ 5555
เราได้คุยกับพี่ผ้าขาวม้าว่าเราสองคนจะกลับไปอยู่บ้านพี่เขาที่ดอยเต่า แล้วค่อยๆสร้างมันไปด้วยกัน...
ปีใหม่ เริ่มต้นใหม่ ชีวิตใหม่ที่เริ่มจากศูนย์ ... จากคนต้องตื่นเช้าไปทำงาน กลับบ้าน ทำงาน กลับบ้าน
กลายเป็น ตื่นมาถามตัวเองว่า วันนี้เราจะทำอะไรดี...
ช่วงแรกยากเหมือนกันค่ะที่จะใช้ชีวิตแบบเริ่มอะไรใหม่ๆ จากอุดรมาอยู่เชียงใหม่ แล้วก็มาอยู่ดอยเต่า
เราทำทุกอย่างเลยค่ะที่คิดได้และทำได้..ทั้งสอนภาษาอังกฤษเด็กๆในหมู่บ้าน สอนการบ้าน พอดีเอาเครื่องปริ้นมาด้วยถ่ายเอกสารได้ ก็รับถ่ายเอกสาร
ใช้ความรู้ด้านทำคอมมาแก้เอกสารให้พวกเกษตรกรเรื่อง สูตรปุ๋ย บลาๆๆๆๆ
ตอนแรกเรื่องภาษาหนักใจมากค่ะ..ฟังไม่ออก โดนพูดถึงก็ยิ้มอย่างเดียวค่ะ แต่พอดีมีล่ามแปลคือพี่ผ้าขาวม้า...
และทุกคนที่นี่ ที่ดอยเต่า นิสัยดีมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ยิ้มเก่ง เป็นมิตร เราเลยเริ่มรู้สึกดีและค่อยๆปรับตัว
ฝันที่เราจะทำด้วยกันคือ "บ้านดินค่ะ"
มีความสุขมากค่ะ เป็นการสร้างบ้านด้วยตัวเองตั้งแต่ออกแบบยันดัดเหล็กเส้นทำคานคอดิน
เพื่อนเขาก็มาช่วยขุดหลุมเทตอม่อช่วย...น้องเราว่างจากช่วงฝึกงานก็มาช่วยย่ำดิน
ชีวิตตอนนี้ไม่ได้ทำแค่บ้านนะคะ ไปเป็นพี่เลี้ยงให้ค่ายเยาวชนที่ อุทยานแห่งชาติแม่เงา จ.แม่ฮ่องสอน
ได้เงินบ้างเล็กน้อย บางทีก็ไม่ได้เงิน...แต่เชื่อไหมคะ ตั้งแต่ออกจากงานมาอยู่ดอยเต่าเงินแทบจะไม่ใช่ปัจจัยหลักในการดำรงชีวิตเลย
แต่มันเป็นโอกาสที่เข้ามาได้ไปโน้นไปนี่..เปิดหูเปิดตา เรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ๆ และแน่นอนเราก็จะได้ความสุขกลับมา
บางคนอาจจะสงสัยว่าที่ดอยเต่ามีอะไร..บอกก่อนเลยว่าดอยเต่า ไม่ใช่ดอย ใช่ค่ะ ไม่ใช่ดอยสูงๆ เป็นพื้นที่กลางๆ สูงนิดๆ เตี้ยหน่อยๆ
แต่ก่อนชาวบ้านอาศัยอยู่ที่ (ตอนนี้เขาเรียกว่า) ทะเลสาปดอยเต่า และหลังจากที่มีการสร้างเขื่อนภูมิพลขึ้น น้ำปิงก็เริ่มไหลมาท่วม
จนชาวบ้านต้องอพยพขึ้นมาอยู่ข้างบนที่เป็นชุมชนในปัจจุบัน
ส่วนที่เก่านั้นก็เป็นทะเลสาปดอยเต่าไป..พวกเขาเลยใช้น้ำที่ท่วมให้เป็นประโยชน์ โดยมีการสร้างแพขึ้น ให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว (เราไปตอนมีน้ำไม่ทัน)
หลังจากนั้นไม่กี่ปี น้ำก็เริ่มลดลงเรื่อยๆๆ ๆๆ ๆๆ ๆๆ...เรามาอยู่นี่เราเข้าใจความเป็นคนนอกเมืองเลยนะว่า มีอะไรคนในเมืองก็ต้องเอาไปหมด
ช่วงลอยกระทง ในเมืองกักน้ำไว้ให้คนในเมืองลอย...ส่วนคนชนบท ต้องลอยในอ่างน้ำในหมู่บ้าน
ช่วงบอลไทยแข่ง...คนในเมืองดูบอลกันแทบทุกครัวเรือน...ที่ดอยเต่านี่ ไฟดับทุกลูกที่เตะเข้าประตู เยี่ยมค่ะ เยี่ยมสุดๆ
ปัจจุบัน น้ำแห้งแล้วค่ะ มีแค่พอให้เรือได้แล่นผ่านบ้าง ทำให้วิถีชีวิตเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน
คือได้เลี้ยงวัว และหาปลา.....เขาขออะไรไม่ได้หรอกค่ะ เพราะเขาอยู่นอกเมืองกัน (เราโคตรเข้าใจเลยจริงๆ)
ดูความสวยงามของพื้นที่แห่งนี้นะคะ... ทะเลสาปดอยเต่า
ว่างๆเพื่อนก็จะมาหาบ้างค่ะ...แทบจะ 3 - 5 เดือนต่อคนนึง เพราะว่ามันไกล เพื่อนก็เป็นคนอีสานหมด เข้ากรุงเทพไปทำงานกันหมด
เพื่อนมาก็อยากพาไปเที่ยว ไม่งั้นเพื่อนก็จะเป็นคนรีเควสมาว่าอยากไปไหน
นี่คือเขื่อนแม่งัด อ.แม่แตง ถ้าไปข้างในอีกจะมีให้เล่นน้ำค่ะ น่าสนุก แต่วันนั้นไปฝนตกนิดหน่อย รีบกลับด้วยก็เลยไปแค่เขื่อน
จบไป 1 Part (ติดตามชมกันใหม่ ยังมีอีกหลายที่เลยที่ยังไม่ได้พูดถึง)
ลาออกจาก "ชีวิตในเมือง" เพื่อพบความสุขจาก "ชีวิตติดดิน"
บอกก่อนเลยว่าเราไม่ได้มีต้นทุนของเงิน ต้นทุนของสถานที่ หรือต้นทุนใดๆเลย ... แต่ชีวิตเราตอนนี้มีความสุขมากจริงๆ
และอยากแชร์สถานที่ที่ได้มีโอกาสได้ไปสัมผัสว่า "มันสวยมาก"
Part 2 มาแล้วนะคะ ติดตามได้ >>> http://pantip.com/topic/34634379 <<<
เล่าคร่าวๆก่อนเลยแล้วกัน พื้นเพเป็นคนอุดรค่ะ เรียนมหาลัยที่ ม.สารคาม จบสถาปัต สาขาสถาปัตยกรรมภายใน
ได้มีโอกาสเลือกที่ฝึกงาน ซึ่งก็เหมือนกับทุกๆคนที่เรียนมหาลัยแล้วต้องมีช่วงไปฝึกงาน
เราตัดสินใจเลือกฝึกงานที่ เชียงใหม่ ค่ะ...ออฟฟิศอบอุ่น พี่ที่ออฟฟิศก็น่ารัก พาไปเที่ยวแทบทุกอาทิตย์
ดอกซากุระเมืองไทย ที่ขุนช้างเคี่ยน แว้นมอไซต์ขึ้นไปกันค่ะ สนุกมากก อากาศก็เย็น
เวลาเราไปไหนเราต้องไปที่ที่ไม่ค่อยมีคนค่ะ..ค่อยสนุก และพื้นที่นั้นจะสวยเสมอ
ประมาณ 1 เดือนก่อนเราจะฝึกงานเสร็จ ได้รู้จักกับพี่คนนึงแบบ งงๆ เป็นเพื่อนของเพื่อนของเพื่อนของเพื่อนที่มาฝึกงานด้วยกัน 555
และตอนนั้น เราคิดว่ามันเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราได้เจอชีวิตแบบที่ชอบไป 1 ขั้น
เจอพี่คนนี้ค่ะ..เขาชวนเราขึ้นดอยสุเทพเพื่อไปเดินกล่อง (ขอรับบริจาคเงินเพื่อไปทำกิจกรรม ปลูกป่า สร้างฝายที่ อ.ดอยเต่า)
หลังจากนั้นเพื่อนที่มาฝึกงานด้วยกลับบ้านกันหมดเลยค่ะ..เราเลยโทรไปบอกพ่อว่าขออยู่อีกสักอาทิตย์ จะไปปลูกป่าที่ดอยเต่า พ่อก็โอเคค่ะ
การมาดอยเต่าครั้งแรก....บอกเลยค่ะว่าถึงเป็นอำเภอที่เล็กๆ แต่โคตรน่าอยู่และอบอุ่นมากๆ
ครั้งแรกไปได้ไปช่วยคุณครูจาก กทม. สอนเด็กๆให้รู้จักคิดด้วยการวาดรูป
ได้เห็นวิถีชีวิตความเป็นอยู่ที่ เขาไม่ได้ต้องการเทคโนโลยีในการขับเคลื่อนชีวิตประจำวันแม้แต่นิดเดียว
ส่วนเด็กๆก็มีความคิดอีกมุมที่เห็นต่างออกไป มากกว่าเด็กที่อยู่ในเมือง
พื้นที่ตรงนี้ทำให้ ความคิดและการกระทำของเด็กๆ ดูน่ารักและสวยงามเป็นธรรมชาติ ไม่ได้มีการปรุงแต่ง
และการมาดอยเต่าครั้งแรก ในครั้งนี้ทำให้เราได้มิตรภาพกลับไปเต็มเปี่ยมเลยค่ะ
ได้เจอกับคนๆนึงที่เขาคิดดี ทำดี และมีความฝันเป็นของตัวเอง...
เขาเป็นเพื่อนกันกับพี่ที่พาเราขึ้นดอยสุเทพ...
เราเคยเชื่อนะคะ ว่าถ้าเรารู้สึกมีความสุขอยู่ที่ไหนกับใคร..ถึงจะอยู่ไกลแค่ไหนก็จะได้เจอกัน
คนดอยเต่าบอกเราว่า "ถ้าได้มาดอยเต่าครั้งแรกแล้ว ต้องได้กลับมาอีกเป็นครั้งที่ 2"
และก็ได้กลับมาอีกที แต่ไม่ถึงดอยเต่าค่ะ...ไปดอยขุนแตะ พี่ผ้าขาวม้าแกพาเราขึ้นไปค่ะ
เชื่อไหมคะ..สถานที่แห่งนี้มันทำให้เราหยุด และคิดว่า "สิ่งที่เราต้องการคืออะไร ชื่อเสียง เงินทอง หรือแค่ ความสุข"
และสามารถตอบตัวเองตอนนั้นได้เลยว่า สิ่งที่เราต้องการคือ " ความสุข"
แล้วเชื่อไหมคะ...อีก 1 ปีที่กลับไปเรียน ปี 5 ทำ The sis จบ ส่งเสร็จ รอจบ "แฟนบอกเลิกค่ะ" คบกันมาตั้งแต่ ปี 2
เสียใจค่ะ เสียใจมาก....แต่ทำไงได้ เหตุผลคืออะไรก็ไม่รู้นะคะ
แต่ทุกวันนี้ อยากกลับไปขอบคุณเขาจริงๆที่ทิ้งเราไป... นี่คือจุดเปลี่ยนของชีวิตอีกครั้ง
แล้วเราก็เก็บกระเป๋าออกจากบ้านพร้อมเงินติดตัว ประมาณ 5,000 บาท บอกพ่อแม่ว่า "สิไปหางานทำที่เชียงใหม่เด้อ" พ่อแม่บอก "ไปโลด สิเฮ็ดหยั๋งกะเฮ็ด"
เท่านั้นแหละค่ะ....นั่งรถทัวร์จาก อุดร - เชียงใหม่ โดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะได้เจออะไร อยู่ที่ไหน ทำอะไร กินอยู่ยังไง แต่อยากไปก็เลยไป
เชื่อไหมคะ..มันเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะมันเปลี่ยนชีวิตของเราไปเลย
เรากลับมาเจอกับพี่ผ้าขาวม้าอีกรอบ..และสุดท้ายเราก็ตัดสินใจลองคบและจะลองทำตามความฝันของแต่ละคน "ร่วมกัน"
ในปีแรก ไปทำงานที่ออฟฟิศที่เคยฝึกงาน ก็ดีค่ะ แต่ชีวิตก็วัยทำงานคือ ตื่นเช้า - ไปทำงาน - กินข้าวเที่ยง - ทำงาน - เลิกกงาน - กลับบ้าน - นอน -ตื่นไปทำงาน วงจรชีวิตก็มีแค่นี้ค่ะ
ทำงานได้เงินเดือนหมื่นต้นๆ อยู่ในตัวเชียงใหม่ได้นะ เพราะเราไม่ซื้อของจุกจิก..แต่ อยู่ได้แบบไม่มีเงินเก็บ
เลยถามตัวเองว่า 1 ปีที่ทำงานมา มีเงินเก็บได้กี่บาทแล้ว...แล้วมีความสุขไหมที่ทำอยู่ตอนนี้
พอคิดเสร็จ โทรบอกพ่อกับแม่เลยค่ะว่า "สิ้นปีรับปริญญาเสร็จ ขอลาออกจากงานเด้อ" พ่อแม่ก็ตกใจค่ะ แต่แกก็ถามกลับว่าทำไม เราก็บอกไปแค่ว่า "ต่ายไม่มีความสุข ไม่มีเงินเก็บ...เหมือนทำงานเพื่อมาจ่ายค่าบ้านเช่า ค่ากิน ต่ายต้องอยู่แบบนี้ไปกี่ปี ต่ายถึงจะเจอความสุข" พ่อแม่บอกโอเค ออกเลย
ทุกคนคงสงสัยกันว่า ออกจากงานที่ได้เงินเดือนเริ่มต้นเป็นหมื่นๆแล้วจะไปทำอะไร <<< เราก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะแรกๆ 5555
เราได้คุยกับพี่ผ้าขาวม้าว่าเราสองคนจะกลับไปอยู่บ้านพี่เขาที่ดอยเต่า แล้วค่อยๆสร้างมันไปด้วยกัน...
ปีใหม่ เริ่มต้นใหม่ ชีวิตใหม่ที่เริ่มจากศูนย์ ... จากคนต้องตื่นเช้าไปทำงาน กลับบ้าน ทำงาน กลับบ้าน
กลายเป็น ตื่นมาถามตัวเองว่า วันนี้เราจะทำอะไรดี...
ช่วงแรกยากเหมือนกันค่ะที่จะใช้ชีวิตแบบเริ่มอะไรใหม่ๆ จากอุดรมาอยู่เชียงใหม่ แล้วก็มาอยู่ดอยเต่า
เราทำทุกอย่างเลยค่ะที่คิดได้และทำได้..ทั้งสอนภาษาอังกฤษเด็กๆในหมู่บ้าน สอนการบ้าน พอดีเอาเครื่องปริ้นมาด้วยถ่ายเอกสารได้ ก็รับถ่ายเอกสาร
ใช้ความรู้ด้านทำคอมมาแก้เอกสารให้พวกเกษตรกรเรื่อง สูตรปุ๋ย บลาๆๆๆๆ
ตอนแรกเรื่องภาษาหนักใจมากค่ะ..ฟังไม่ออก โดนพูดถึงก็ยิ้มอย่างเดียวค่ะ แต่พอดีมีล่ามแปลคือพี่ผ้าขาวม้า...
และทุกคนที่นี่ ที่ดอยเต่า นิสัยดีมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ยิ้มเก่ง เป็นมิตร เราเลยเริ่มรู้สึกดีและค่อยๆปรับตัว
ฝันที่เราจะทำด้วยกันคือ "บ้านดินค่ะ"
มีความสุขมากค่ะ เป็นการสร้างบ้านด้วยตัวเองตั้งแต่ออกแบบยันดัดเหล็กเส้นทำคานคอดิน
เพื่อนเขาก็มาช่วยขุดหลุมเทตอม่อช่วย...น้องเราว่างจากช่วงฝึกงานก็มาช่วยย่ำดิน
ชีวิตตอนนี้ไม่ได้ทำแค่บ้านนะคะ ไปเป็นพี่เลี้ยงให้ค่ายเยาวชนที่ อุทยานแห่งชาติแม่เงา จ.แม่ฮ่องสอน
ได้เงินบ้างเล็กน้อย บางทีก็ไม่ได้เงิน...แต่เชื่อไหมคะ ตั้งแต่ออกจากงานมาอยู่ดอยเต่าเงินแทบจะไม่ใช่ปัจจัยหลักในการดำรงชีวิตเลย
แต่มันเป็นโอกาสที่เข้ามาได้ไปโน้นไปนี่..เปิดหูเปิดตา เรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ๆ และแน่นอนเราก็จะได้ความสุขกลับมา
บางคนอาจจะสงสัยว่าที่ดอยเต่ามีอะไร..บอกก่อนเลยว่าดอยเต่า ไม่ใช่ดอย ใช่ค่ะ ไม่ใช่ดอยสูงๆ เป็นพื้นที่กลางๆ สูงนิดๆ เตี้ยหน่อยๆ
แต่ก่อนชาวบ้านอาศัยอยู่ที่ (ตอนนี้เขาเรียกว่า) ทะเลสาปดอยเต่า และหลังจากที่มีการสร้างเขื่อนภูมิพลขึ้น น้ำปิงก็เริ่มไหลมาท่วม
จนชาวบ้านต้องอพยพขึ้นมาอยู่ข้างบนที่เป็นชุมชนในปัจจุบัน
ส่วนที่เก่านั้นก็เป็นทะเลสาปดอยเต่าไป..พวกเขาเลยใช้น้ำที่ท่วมให้เป็นประโยชน์ โดยมีการสร้างแพขึ้น ให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว (เราไปตอนมีน้ำไม่ทัน)
หลังจากนั้นไม่กี่ปี น้ำก็เริ่มลดลงเรื่อยๆๆ ๆๆ ๆๆ ๆๆ...เรามาอยู่นี่เราเข้าใจความเป็นคนนอกเมืองเลยนะว่า มีอะไรคนในเมืองก็ต้องเอาไปหมด
ช่วงลอยกระทง ในเมืองกักน้ำไว้ให้คนในเมืองลอย...ส่วนคนชนบท ต้องลอยในอ่างน้ำในหมู่บ้าน
ช่วงบอลไทยแข่ง...คนในเมืองดูบอลกันแทบทุกครัวเรือน...ที่ดอยเต่านี่ ไฟดับทุกลูกที่เตะเข้าประตู เยี่ยมค่ะ เยี่ยมสุดๆ
ปัจจุบัน น้ำแห้งแล้วค่ะ มีแค่พอให้เรือได้แล่นผ่านบ้าง ทำให้วิถีชีวิตเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน
คือได้เลี้ยงวัว และหาปลา.....เขาขออะไรไม่ได้หรอกค่ะ เพราะเขาอยู่นอกเมืองกัน (เราโคตรเข้าใจเลยจริงๆ)
ดูความสวยงามของพื้นที่แห่งนี้นะคะ... ทะเลสาปดอยเต่า
ว่างๆเพื่อนก็จะมาหาบ้างค่ะ...แทบจะ 3 - 5 เดือนต่อคนนึง เพราะว่ามันไกล เพื่อนก็เป็นคนอีสานหมด เข้ากรุงเทพไปทำงานกันหมด
เพื่อนมาก็อยากพาไปเที่ยว ไม่งั้นเพื่อนก็จะเป็นคนรีเควสมาว่าอยากไปไหน
นี่คือเขื่อนแม่งัด อ.แม่แตง ถ้าไปข้างในอีกจะมีให้เล่นน้ำค่ะ น่าสนุก แต่วันนั้นไปฝนตกนิดหน่อย รีบกลับด้วยก็เลยไปแค่เขื่อน
จบไป 1 Part (ติดตามชมกันใหม่ ยังมีอีกหลายที่เลยที่ยังไม่ได้พูดถึง)