ฝากเพจด้วยนะครับ
https://www.facebook.com/AETOURBYYOURSELF (ไม่ใช่บริษัททัวร์นะครับ พอดีใช้ชื่อนี้เพราะตอนนำครอบครัวไปเที่ยวยุโรปครั้งแรก แล้วญาติตั้งให้)
Part พิเศษ ประสบการณ์การเช่ารถขับในอเมริกา
http://pantip.com/topic/35242067
Part 12 ทริปพาเที่ยว Canadian Rockies กับเหล่า Avengers สาวทั้ง 6
http://pantip.com/topic/35196719
Part 11 ไปดูแสงเหนือที่ Alaska แต่ Alaska Winter ไม่ได้มีดีแค่แสงเหนือ
http://pantip.com/topic/34888818
Part 10 ภูเขาสูง หิมะขาวโพลน Winter @ Yosemite
http://pantip.com/topic/34835960
Part 9 มหัศจรรย์การสร้างสรรค์ของธรรมชาติ Antelope Canyon และ Zion Nation Park
http://pantip.com/topic/34788566
Part 8 ฝ่าพายุหิมะไปยัง Bryce Canyon National Park, Utah
http://pantip.com/topic/34754027
Part 7 จุดหมายในฝัน หนึ่งเดียวในอเมริกา Harry Potter@ Orlando
http://pantip.com/topic/34641279
Part 6 ใต้สุดของอเมริกา Key West กับเมืองชายหาดอันโด่งดัง Miami Beach
http://pantip.com/topic/34621815
Part 5 Chicago เมืองชิคๆ ที่ไม่ได้อยากมา แต่...
http://pantip.com/topic/34612352
Part 4 Autumn in Yosemite National Park & Lake Tahoe
http://pantip.com/topic/34443866
Part 3 Maui, Hawaii เกาะสวรรค์ (เหมือนขึ้นไปบนสวรรค์จริงๆ)
http://pantip.com/topic/34358475
Part 2 Highway no.1 ถนนที่สวยที่สุดชายฝั่งตะวันตกของอเมริกา
http://pantip.com/topic/34277681
Part 1 San Francisco
http://pantip.com/topic/34228981
Part เสริม Disneyland LA และการเล่นเครื่องเล่นสำคัญๆใน Park ให้ครบภายใน 1 วัน
http://pantip.com/topic/34277393
ตามหัวข้อเลยครับ ตอนแรกที่ภรรยามาบอกว่าจะต้องไปประชุมที่ Chicago ความคิดแรกในหัวเลยคือ ไม่ไปได้มะ และบอกภรรยาไปตามนั้น แต่ภรรยาตอบกลับมาว่า ไม่ได้ เพราะเป็นประชุมใหญ่ระดับโลก ตอนนี้มาเรียนถึงที่อเมริกาแล้ว ต้องไปให้ได้ เมื่อรู้ดังนี้แล้วก็...เอาวะ ไปก็ไป แอบเซ็งเล็กๆ เพราะโดยส่วนตัวเป็นคนไม่ชอบเมืองใหญ่ๆเลย New York หรือ Chicago นี่ไม่คิดอยากจะไปเลยซักนิด แต่พอไปถึงได้เที่ยวอยู่ 7 วันทำให้ความคิดนั้นในตอนแรกได้เปลี่ยนไปตลอดกาล
ผมรู้ก่อนล่วงหน้าว่าจะต้อง Chicago 4 เดือน เลยรีบจัดการจองตั๋วเครื่องบินผ่านทาง www.orbitz.com ขาไปจาก San Francisco ได้สายการบิน American Airline ขากลับได้สายการบิน Virgin ในราคา $350/คน ก็ถือว่าราคาโอเค
จากนั้นก็รีบจองที่พัก เนื่องจากภารกิจของภรรยาผมคือต้องไปประชุมที่ Mccommick Convention Center เลยจะต้องหาที่พักที่ใกล้ หรือมีรถเมล์ไปถึงง่ายๆ โรงแรมใจกลาง downtown นั้นแพงมาก เราเลยต้องหา Airbnb นอน ตอนแรกได้บ้านพัก ไกลจาก Mccommick ไปทางใต้ลงไปพอสมควร ราคาถูกมาก ห้องนอนสวยงาม มีอ่าง Jacuzzi ด้วย จองแล้วเรียบร้อย อยู่ๆหลังจากจอง ก็คุยโทรศัพท์กับเพื่อนที่อยู่ LA มาเกือบ 10 ปี มันเตือนมาคำแรกว่า อย่าไปอยู่ทางใต้ downtown ไปไกลมากนะ อันตรายมาก มันเคยไปเที่ยวแล้วจองไปทางใต้มาก พอไปเจอสถานที่จริง มันเปลี่ยนที่พักทันที เอิ่มมมมม...ตอนนั้น คือไกลมากนี่คือไกลขนาดไหนวะ เราไม่รู้อะไรเลย เพื่อนก็บอกแค่อย่าไกลมาก ถามมันมันก็บอกว่า ไม่รู้ว่าไกลขนาดไหนคืออันตราย ตอนนั้นเริ่มกลัวล่ะสิครับ เลยไลน์ด่วนกลับไทยไปหาเพื่อนคนไทยที่เคยมาอยู่ Chicago 3 ปี มันบอกแค่ว่า ตั้งแต่มันไปอยู่ มันไม่เคยลงไปใต้กว่า downtown เลย เพราะบ้านพักอยู่ทางเหนือๆขึ้นไป เลยตอบไม่ได้ แต่ก็ไม่ควรไปอยู่ใต้มากๆ (คือ

มาอยู่ 3 ปี ไม่เคยลงไปทางใต้เลย????) มันบอกว่าทางใต้ๆคนดำเลวๆเยอะ (คือคนดำมีทั้งคนดีและไม่ดีนะครับ) แต่มันบอกมาแค่ว่า เคยมีเพื่อเกาหลีมันถูกปล้นทางด้านใต้ของ downtown เท่านั้นแหละครับ เปลี่ยนที่พักทันที ยอมเสียค่าธรรมเนียมการจองไปประมาณ 2000 บาท และต้องมาจองที่พักที่อยู่ใกล้กับที่ประชุมเลย อยู่เหนือที่ประชุมไปประมาณ 1-2 ป้ายรถเมล์ แค่ค่าที่พัก(ที่เปลี่ยนใหม่) 7 วันก็โดนไปหลายเหมือนกัน แต่ความปลอดภัยต้องมาเป็นอันดับแรก
สำหรับการเดินทางใน Chicago มีหลายแบบครับ มีทั้งรถไฟใต้ดิน รถไฟบนดิน รถเมล์ นี่คือหลักๆที่ผมใช้เดินทางใน Chicago โดยการเดินทางในเมือง Chicago สามารถใช้บัตร Ventra Card เป็นบัตรเบ่งขึ้นรถเมล์ รถไฟใต้ดิน หรือแม้กระทั่งใช้กับ Blue Line จากสนามบินเข้าเมืองได้ด้วย โดย Ventra Card นั้น สามารถหาข้อมูลได้จาก website นี้
https://www.ventrachicago.com/ โดย Ventra card มีให้เลือกหลายแบบทั้งแบบใช้ได้ 1 วัน ราคา $10 , 3 วันราคา $20 และ 7 วันราคา $28 (เราเลือกแบบนี้เพราะเราเที่ยวอยู่ที่ Chicago 7 วันพอดี แค่ค่ารถเมล์จากที่พักไปที่ประชุมของแฟนผม ไปกลับก็คุ้มแล้วครับ เพราะค่ารถเมล์ในเมือง Chicago ราคาปกติอยู่ที่ $2.25 ถ้ามีต่อรถจะเสียอีกต่อละ $0.25 ภายใน 2 ชั่วโมง อีกทั้งค่ารถไฟสายสีน้ำเงินจากสนามบิน O’Hare ก็เที่ยวละ $5 ไปกลับก็ $10 ยังไงก็คุ้ม
ส่วนสถานที่ซื้อ Ventra Card นั้น สามารถซื้อได้ทาง Website แล้วให้ส่งมาที่บ้านได้เลย แต่ภายใน USA เท่านั้นนะครับ หรือสามารถซื้อได้จาก Ventra Vender Machine (ที่สนามบินก่อนเข้าสถานีรถไฟใต้ดินก็มี) หรือตาม retailers ซึ่งมีกว่า 1,300 แห่ง (พวกร้านขายยา หรือร้านขายของต่างๆ เข้าไปถามได้ว่ามีหรือเปล่า) สำหรับผมซื้อทาง web แล้วให้ส่งมาที่บ้านที่ San Francisco 10 วันทำการเป๊ะถึงมือเลย
นอกจากนี้การท่องเที่ยวใน Chicago มีสถานที่ที่เป็น The must จะต้องเข้าเยี่ยมชมอยู่หลายที่ครับ ซึ่งเราสามารถเลือกซื้อ Chicago card ในราคา $96 เข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของ Chicago ได้ 5ที่คือ
1. Shedd Aquarium ราคาปกติอยู่ที่ $37.95 (เข้าชมได้ทุกส่วนของ Aqurium + 4D movie + การแสดงของสัตว์น้ำ)
2. Skydeck Chicago ราคาปกติอยู่ที่ $19.5
3. The Field Museum ราคาปกติอยู่ที่ $25
4. 360 Chicago ราคาปกติอยู่ที่ $19 หรือ Museum of Science & Industries
5. Art of Institute ราคาปกติอยู่ที่ $25 หรือ Adler Planetarium
ลองคำนวณกันดูเองนะครับว่าจะเข้าอันไหนบ้างคุ้มไหม หรือเลือกเข้าแล้วจ่ายปกติคุ้มกว่า
แต่สำหรับผมไม่ได้ซื้อ Chicago Pass ไว้ครับ เพราะคิดว่าจะเลือกเข้าบางอัน คือ Skydeck , Shedd Aqurium และ Art of Institute ส่วน Chicago 360 ก็ไปกินเครื่องดื่มที่ชั้น 96 ของตึกเดียวกันแทน และอื่นๆก็ไม่ได้สนใจนัก
วันแรกที่เราไปถึงก็ถึงสนามบิน O’Hare ประมาณเย็นๆ ถึงแล้วก็ใช้บัตรเบ่งนั่งรถไฟใต้ดินสาย Blue Line เข้าเมืองเพื่อไปที่พักกันเลย เราลงกันที่สถานี Jackson ออกมาจากสถานี เราก็เจอร้าน Garrett Popcorn อันเลื่องชื่อของ Chicago ขอบอกตามตรงว่า ผมนึกว่า Original ของร้านนี้มันเป็นของสิงคโปร์ เพิ่งมารู้ว่าที่นี่คือของแท้ และมันอร่อยกว่าเยอะมากกกก มาถึงแล้วก็จัดซักหน่อย
จากสถานี Jackson เราต้องต่อรถเมล์ไปที่พักอีกไม่ไกลนัก เข้าที่พักเสร็จก็ออกมาเดินเล่นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม Millennium Park ซึ่งอยู่ห่างไม่กี่ป้ายรถเมล์จากที่พักเรา
เราไปจุดแรกของ Millennium Park เลยคือ Cloud Gate หรือที่มีชื่อเล่นคือ The Bean เพราะมันมีลักษณะเหมือนถั่วนั่นเอง The Bean เป็นประติมากรรมโดยศิลปินชาวอินเดียที่เกิดที่อังกฤษ ชื่อ Anish Kapoor เป็นศิลปะที่อยู่ตรงกลางของ AT&T Plaza ของ Millennium Park ถูกสร้างระหว่างปี 2004 และ 2006
เดินเล่นถ่ายรูปตรง The bean คนเยอะมากกกก มีแต่คน
ตรงด้านหน้ามีลาน Ice Skate คนเล่นเพียบ
จาก Millennium Park เดินไปไม่ไกลนักประมาณ 800 เมตร เราก็จะเจอสะพาน Dusable หรือ Michigan Avenue Bridge
เป็นสะพานที่สามารถยกขึ้นได้เพื่อให้เรือผ่าน สะพานถูกเสนอให้สร้างในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนในการเชื่อมต่อเมือง Chicago ทางตอนใต้และสวนสาธารณะทางตอนเหนือกับถนนหลักขอเมืองเข้าด้วยกัน การสร้างของสะพานเริ่มเมื่อปี 1918 และเริ่มเปิดใช้ในปี 1920 และสร้างเสร็จสมบูรณ์ในปี 1928 ซึ่งเป็นสะพานที่สวยงามและเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของเมืองอีกแห่งหนึ่ง
จาก Michigan Avenue Bridge ข้ามไปอีกฝั่งจะเป็นถนน Shopping ของเมืองมี Brand ดังทุก Brand แต่เวลานั้นหิวมากแล้ว เพื่อนฝรั่งคนนึงของผม ซึ่งเค้าเคยมาอยู่ที่ Chicago หลายปี แนะนำให้ไปกินร้านพิซซ่า Uno Pizza ให้ได้ เลยต้องจัดตั้งแต่วันแรก ไปเที่ยว Chicago ลองพิซซ่า Chicago Style ทั้งของ Uno และ Giodarno(ซึ่งดังกว่า Uno) ผมชอบ Uno มากกว่านะ Uno ร้านจะเล็กๆไม่ใหญ่เหมือน Giodarno และต้องรอคิวประมาณชั่วโมงครึ่งวันที่เราไป แต่รสชาติไม่ผิดหวัง
กว่าจะรอคิว กว่าจะกินเสร็จ ก็ดึกละ กลับบ้านไปพักผ่อนก่อน
ฝากรูปถ่ายของเมือง Chicago คืนนั้นไว้ เดี่ยวมาต่อ
[CR] In America - เที่ยวไปเรื่อยๆ ใน 1 ปี...Part 5 Chicago เมืองชิคๆ ที่ไม่ได้อยากมา แต่...
ฝากเพจด้วยนะครับ https://www.facebook.com/AETOURBYYOURSELF (ไม่ใช่บริษัททัวร์นะครับ พอดีใช้ชื่อนี้เพราะตอนนำครอบครัวไปเที่ยวยุโรปครั้งแรก แล้วญาติตั้งให้)
Part พิเศษ ประสบการณ์การเช่ารถขับในอเมริกา http://pantip.com/topic/35242067
Part 12 ทริปพาเที่ยว Canadian Rockies กับเหล่า Avengers สาวทั้ง 6 http://pantip.com/topic/35196719
Part 11 ไปดูแสงเหนือที่ Alaska แต่ Alaska Winter ไม่ได้มีดีแค่แสงเหนือ http://pantip.com/topic/34888818
Part 10 ภูเขาสูง หิมะขาวโพลน Winter @ Yosemite http://pantip.com/topic/34835960
Part 9 มหัศจรรย์การสร้างสรรค์ของธรรมชาติ Antelope Canyon และ Zion Nation Park http://pantip.com/topic/34788566
Part 8 ฝ่าพายุหิมะไปยัง Bryce Canyon National Park, Utah http://pantip.com/topic/34754027
Part 7 จุดหมายในฝัน หนึ่งเดียวในอเมริกา Harry Potter@ Orlando http://pantip.com/topic/34641279
Part 6 ใต้สุดของอเมริกา Key West กับเมืองชายหาดอันโด่งดัง Miami Beach http://pantip.com/topic/34621815
Part 5 Chicago เมืองชิคๆ ที่ไม่ได้อยากมา แต่... http://pantip.com/topic/34612352
Part 4 Autumn in Yosemite National Park & Lake Tahoe http://pantip.com/topic/34443866
Part 3 Maui, Hawaii เกาะสวรรค์ (เหมือนขึ้นไปบนสวรรค์จริงๆ) http://pantip.com/topic/34358475
Part 2 Highway no.1 ถนนที่สวยที่สุดชายฝั่งตะวันตกของอเมริกา http://pantip.com/topic/34277681
Part 1 San Francisco http://pantip.com/topic/34228981
Part เสริม Disneyland LA และการเล่นเครื่องเล่นสำคัญๆใน Park ให้ครบภายใน 1 วัน http://pantip.com/topic/34277393
ตามหัวข้อเลยครับ ตอนแรกที่ภรรยามาบอกว่าจะต้องไปประชุมที่ Chicago ความคิดแรกในหัวเลยคือ ไม่ไปได้มะ และบอกภรรยาไปตามนั้น แต่ภรรยาตอบกลับมาว่า ไม่ได้ เพราะเป็นประชุมใหญ่ระดับโลก ตอนนี้มาเรียนถึงที่อเมริกาแล้ว ต้องไปให้ได้ เมื่อรู้ดังนี้แล้วก็...เอาวะ ไปก็ไป แอบเซ็งเล็กๆ เพราะโดยส่วนตัวเป็นคนไม่ชอบเมืองใหญ่ๆเลย New York หรือ Chicago นี่ไม่คิดอยากจะไปเลยซักนิด แต่พอไปถึงได้เที่ยวอยู่ 7 วันทำให้ความคิดนั้นในตอนแรกได้เปลี่ยนไปตลอดกาล
ผมรู้ก่อนล่วงหน้าว่าจะต้อง Chicago 4 เดือน เลยรีบจัดการจองตั๋วเครื่องบินผ่านทาง www.orbitz.com ขาไปจาก San Francisco ได้สายการบิน American Airline ขากลับได้สายการบิน Virgin ในราคา $350/คน ก็ถือว่าราคาโอเค
จากนั้นก็รีบจองที่พัก เนื่องจากภารกิจของภรรยาผมคือต้องไปประชุมที่ Mccommick Convention Center เลยจะต้องหาที่พักที่ใกล้ หรือมีรถเมล์ไปถึงง่ายๆ โรงแรมใจกลาง downtown นั้นแพงมาก เราเลยต้องหา Airbnb นอน ตอนแรกได้บ้านพัก ไกลจาก Mccommick ไปทางใต้ลงไปพอสมควร ราคาถูกมาก ห้องนอนสวยงาม มีอ่าง Jacuzzi ด้วย จองแล้วเรียบร้อย อยู่ๆหลังจากจอง ก็คุยโทรศัพท์กับเพื่อนที่อยู่ LA มาเกือบ 10 ปี มันเตือนมาคำแรกว่า อย่าไปอยู่ทางใต้ downtown ไปไกลมากนะ อันตรายมาก มันเคยไปเที่ยวแล้วจองไปทางใต้มาก พอไปเจอสถานที่จริง มันเปลี่ยนที่พักทันที เอิ่มมมมม...ตอนนั้น คือไกลมากนี่คือไกลขนาดไหนวะ เราไม่รู้อะไรเลย เพื่อนก็บอกแค่อย่าไกลมาก ถามมันมันก็บอกว่า ไม่รู้ว่าไกลขนาดไหนคืออันตราย ตอนนั้นเริ่มกลัวล่ะสิครับ เลยไลน์ด่วนกลับไทยไปหาเพื่อนคนไทยที่เคยมาอยู่ Chicago 3 ปี มันบอกแค่ว่า ตั้งแต่มันไปอยู่ มันไม่เคยลงไปใต้กว่า downtown เลย เพราะบ้านพักอยู่ทางเหนือๆขึ้นไป เลยตอบไม่ได้ แต่ก็ไม่ควรไปอยู่ใต้มากๆ (คือ
สำหรับการเดินทางใน Chicago มีหลายแบบครับ มีทั้งรถไฟใต้ดิน รถไฟบนดิน รถเมล์ นี่คือหลักๆที่ผมใช้เดินทางใน Chicago โดยการเดินทางในเมือง Chicago สามารถใช้บัตร Ventra Card เป็นบัตรเบ่งขึ้นรถเมล์ รถไฟใต้ดิน หรือแม้กระทั่งใช้กับ Blue Line จากสนามบินเข้าเมืองได้ด้วย โดย Ventra Card นั้น สามารถหาข้อมูลได้จาก website นี้ https://www.ventrachicago.com/ โดย Ventra card มีให้เลือกหลายแบบทั้งแบบใช้ได้ 1 วัน ราคา $10 , 3 วันราคา $20 และ 7 วันราคา $28 (เราเลือกแบบนี้เพราะเราเที่ยวอยู่ที่ Chicago 7 วันพอดี แค่ค่ารถเมล์จากที่พักไปที่ประชุมของแฟนผม ไปกลับก็คุ้มแล้วครับ เพราะค่ารถเมล์ในเมือง Chicago ราคาปกติอยู่ที่ $2.25 ถ้ามีต่อรถจะเสียอีกต่อละ $0.25 ภายใน 2 ชั่วโมง อีกทั้งค่ารถไฟสายสีน้ำเงินจากสนามบิน O’Hare ก็เที่ยวละ $5 ไปกลับก็ $10 ยังไงก็คุ้ม
ส่วนสถานที่ซื้อ Ventra Card นั้น สามารถซื้อได้ทาง Website แล้วให้ส่งมาที่บ้านได้เลย แต่ภายใน USA เท่านั้นนะครับ หรือสามารถซื้อได้จาก Ventra Vender Machine (ที่สนามบินก่อนเข้าสถานีรถไฟใต้ดินก็มี) หรือตาม retailers ซึ่งมีกว่า 1,300 แห่ง (พวกร้านขายยา หรือร้านขายของต่างๆ เข้าไปถามได้ว่ามีหรือเปล่า) สำหรับผมซื้อทาง web แล้วให้ส่งมาที่บ้านที่ San Francisco 10 วันทำการเป๊ะถึงมือเลย
นอกจากนี้การท่องเที่ยวใน Chicago มีสถานที่ที่เป็น The must จะต้องเข้าเยี่ยมชมอยู่หลายที่ครับ ซึ่งเราสามารถเลือกซื้อ Chicago card ในราคา $96 เข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของ Chicago ได้ 5ที่คือ
1. Shedd Aquarium ราคาปกติอยู่ที่ $37.95 (เข้าชมได้ทุกส่วนของ Aqurium + 4D movie + การแสดงของสัตว์น้ำ)
2. Skydeck Chicago ราคาปกติอยู่ที่ $19.5
3. The Field Museum ราคาปกติอยู่ที่ $25
4. 360 Chicago ราคาปกติอยู่ที่ $19 หรือ Museum of Science & Industries
5. Art of Institute ราคาปกติอยู่ที่ $25 หรือ Adler Planetarium
ลองคำนวณกันดูเองนะครับว่าจะเข้าอันไหนบ้างคุ้มไหม หรือเลือกเข้าแล้วจ่ายปกติคุ้มกว่า
แต่สำหรับผมไม่ได้ซื้อ Chicago Pass ไว้ครับ เพราะคิดว่าจะเลือกเข้าบางอัน คือ Skydeck , Shedd Aqurium และ Art of Institute ส่วน Chicago 360 ก็ไปกินเครื่องดื่มที่ชั้น 96 ของตึกเดียวกันแทน และอื่นๆก็ไม่ได้สนใจนัก
วันแรกที่เราไปถึงก็ถึงสนามบิน O’Hare ประมาณเย็นๆ ถึงแล้วก็ใช้บัตรเบ่งนั่งรถไฟใต้ดินสาย Blue Line เข้าเมืองเพื่อไปที่พักกันเลย เราลงกันที่สถานี Jackson ออกมาจากสถานี เราก็เจอร้าน Garrett Popcorn อันเลื่องชื่อของ Chicago ขอบอกตามตรงว่า ผมนึกว่า Original ของร้านนี้มันเป็นของสิงคโปร์ เพิ่งมารู้ว่าที่นี่คือของแท้ และมันอร่อยกว่าเยอะมากกกก มาถึงแล้วก็จัดซักหน่อย
จากสถานี Jackson เราต้องต่อรถเมล์ไปที่พักอีกไม่ไกลนัก เข้าที่พักเสร็จก็ออกมาเดินเล่นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม Millennium Park ซึ่งอยู่ห่างไม่กี่ป้ายรถเมล์จากที่พักเรา
เราไปจุดแรกของ Millennium Park เลยคือ Cloud Gate หรือที่มีชื่อเล่นคือ The Bean เพราะมันมีลักษณะเหมือนถั่วนั่นเอง The Bean เป็นประติมากรรมโดยศิลปินชาวอินเดียที่เกิดที่อังกฤษ ชื่อ Anish Kapoor เป็นศิลปะที่อยู่ตรงกลางของ AT&T Plaza ของ Millennium Park ถูกสร้างระหว่างปี 2004 และ 2006
เดินเล่นถ่ายรูปตรง The bean คนเยอะมากกกก มีแต่คน
ตรงด้านหน้ามีลาน Ice Skate คนเล่นเพียบ
จาก Millennium Park เดินไปไม่ไกลนักประมาณ 800 เมตร เราก็จะเจอสะพาน Dusable หรือ Michigan Avenue Bridge
เป็นสะพานที่สามารถยกขึ้นได้เพื่อให้เรือผ่าน สะพานถูกเสนอให้สร้างในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนในการเชื่อมต่อเมือง Chicago ทางตอนใต้และสวนสาธารณะทางตอนเหนือกับถนนหลักขอเมืองเข้าด้วยกัน การสร้างของสะพานเริ่มเมื่อปี 1918 และเริ่มเปิดใช้ในปี 1920 และสร้างเสร็จสมบูรณ์ในปี 1928 ซึ่งเป็นสะพานที่สวยงามและเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของเมืองอีกแห่งหนึ่ง
จาก Michigan Avenue Bridge ข้ามไปอีกฝั่งจะเป็นถนน Shopping ของเมืองมี Brand ดังทุก Brand แต่เวลานั้นหิวมากแล้ว เพื่อนฝรั่งคนนึงของผม ซึ่งเค้าเคยมาอยู่ที่ Chicago หลายปี แนะนำให้ไปกินร้านพิซซ่า Uno Pizza ให้ได้ เลยต้องจัดตั้งแต่วันแรก ไปเที่ยว Chicago ลองพิซซ่า Chicago Style ทั้งของ Uno และ Giodarno(ซึ่งดังกว่า Uno) ผมชอบ Uno มากกว่านะ Uno ร้านจะเล็กๆไม่ใหญ่เหมือน Giodarno และต้องรอคิวประมาณชั่วโมงครึ่งวันที่เราไป แต่รสชาติไม่ผิดหวัง
กว่าจะรอคิว กว่าจะกินเสร็จ ก็ดึกละ กลับบ้านไปพักผ่อนก่อน
ฝากรูปถ่ายของเมือง Chicago คืนนั้นไว้ เดี่ยวมาต่อ