ขอเดาว่า..............................
ภาคเกษตร
จะมีภัยแล้งมาก มากกว่าปีนี้อีก ผลผลิตเกษตรจะทำกำไรได้น้อย
เกษตรกรจะมีรายได้ลดลงมาก รถยนต์ รถไถ จะโดนยึด ราคายางจะยังไม่มากขึ้น ไม่เกินโลละ 100
การชำระหนี้ ช้าลง หนี้เสียเพิ่มขึ้น
พอชาวบ้านเกษตร ช็อต
ภาคค้าขายอุปโภคบริโภค ต้องลดสต็อคของลง (พวกร้านชำ โชห่วย)
เน้นเอาแต่ของที่ขายได้จริงๆ แต่ถูกๆ ของดีไม่เอา (เพราะทุนสูงต้องขายแพง ลูกค้าซื้อไม่ไหว)
ขายของในบ้านออก ปล่อยรถคืนไฟแนนซ์ไป ขอแค่ขายได้มีรายได้รายวัน
พอขายปลีก ช็อต
ภาคขายส่ง ที่มีระบบบัญชี ระบบพนักงานมากมายก็เริ่มกระทบ จากขายปลีกหลายๆร้าน ทยอยๆช็อตจากรอบนอกเข้ามาเพราะร้านปลีกมียอดซื้อต่ำลง
ต้องปลดพนักงานออก ปรับโครงสร้างองค์กร ใช้คนให้น้อยแต่จ่ายงานให้หนักขึ้น
เพื่อจะได้ยังจ่ายเงินจ้างไหว ไม่พอจริงๆก็หยุดกิจการ สายป่านสู้แม็คโครไม่ได้
พอขายส่ง ช็อต
พนักงานตกงาน ที่ไม่ตกงานก็ไม่กินอะไรฟุ่มเฟือยเพราะไม่มีจะกินเหมือนกัน
โรงงานก็กำลังผลิตลดลง เพราะฝั่งร้านส่งก็ไม่มีเงินซื้อสต็อคมาก ไม่คุ้ม หรือของอยู่ในเชลฟ์นานมาก ร้านปลีกไม่เอา ร้านส่งก็ไม่สั่งโรงงานอีก
(ก็มันขายยังไม่หมดจะไปสั่งได้ยังไง) โรงงานก็ปรับการผลิต ลดโอทีพนักงาน ยอดตกลง โบนัสหายไป รายจ่ายยังเยอะเหมือนเดิม ค่าไฟ ค่าระบบต่างๆ ซ่อมบำรุงเครื่องจักร ปลดคนออกดีกว่า ไม่ก็ย้ายไปประเทศอื่น
พอโรงงานเริ่มช็อต
ก็จะลดสั่งวัตถุดิบต่างๆจาเกษตรกรด้วย (เกษตรกรก็จะช็อตอีกดอกที่ 2 ต้องพึ่งขายปลึกที่ตลาดสดถึงจะเห็นเงินชัดกว่า)
คนโรงงานโอทีน้อย ก็เริ่มหนัก ก็จะหยุดจ่ายหนี้ เกิดเป็นหนี้เสีย เพราะต้องพยายามเก็บเงินไว้ใช้กินในแต่ละวันให้มีชีวิตรอด
เป็นผลกระทบวงกว้าง ในระดับจังหวัด การกินข้าวนอกบ้าน เรื่องฟุ่มเฟือยต่างๆลดลงมาก
มีตลาดเปิดมากมาย แต่พ่อค้าแม่ค้า มีเยอะกว่าลูกค้า
พอระดับพนักงานช็อต โรงงานช็อต
โรงงานต้องบีบค่าใช้จ่าย เวลารายได้โรงงานลดลง จะลดแบบน่าใจหาย เพราะกำลังการผลิตระดับโรงงานมันมีมาก
สำนักงานใหญ่ที่กรุงเทพ ที่เป็นบริษัทในบางโรงงานก็จะเริ่มปรับโครงสร้างบริหาร เอาคนออกบ้าง ลดโบนัสบ้าง
หาทางพยุงบริษัทไว้ (แต่ก็ช้อตอยู่ดี) ก็จะลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น "ทุกอย่าง" เช่น การฝึกอบรม ความปลอดภัยบางอย่าง
พอ สนง ใหญ่ ในกรุงเทพเริ่มช็อต
ภาคธุรกิจบริการ ที่คอยดูแลลูกค้า ก็จะไม่ได้รับการสั่งจ้างงาน จะชลอไว้ก่อน
พวกนี้คือภาคธุรกิจในเมืองที่มีการแข่งขันกันสูงมาก
แต่ตอนนี้ลูกค้าสนใจแต่ราคา และความจำเป็นเท่านั้น เซลที่วิ่งงานในกรุงเทพ ค่าคอมนิดๆหน่อยๆก็เอาแล้ว ทั้งๆที่สมัยก่อนเซลบางคนค่าคอม 2 เดือนออกรถได้เลย อะไรมั่งละ แม่บ้าน กล้องวงจรปิด รปภ ระบบอำนวยความสะดวกที่ไม่จำเป็น ก็จะลดการสั่งซื้อสั่งจ้าง
พอระบบบางอย่างในกรุงเทพเริ่มช็อต
บีบให้พนักงานก็ต้องเริ่มปรับตัว รถไฟฟ้ามีให้บริการมากขึ้น คนก็จะหันมาใช้มากกว่ารถส่วนตัว เทรนด์จักรยานก็มาแรง
คนกรุงก็จะประหยัดกันสุดฤทธิ์ เริ่มคืนรถยนต์ส่วนตัวให้ไฟแนนซ์ ลดความโก้หรูลง เดินห้างน้อยลง ลดกินข้าวนอกบ้าน ฉลองต่างๆน้อยลงมาก
พอพนักงานออฟฟิศเริ่มช็อต
คราวนี้กระทบวงกว้างมาก กระทบห้าง มีแต่คนเดินแต่ไม่ค่อยซื้อของ ห้างจ่ายค่าไฟค่าแอร์หนัก ไปชาร์จกับคนเช่าที่แทน
คนเช่าที่ลูกค้าก็น้อยลง มาเดินอย่างเดียวไม่ซื้อ เพราะซื้อออนไลน์ดีกว่ามาก ไม่เหนื่อยเดิน
ไม่เปลืองน้ำมันรถ เลยยอดซื้อตกไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าให้ห้าง ก็เซ้งร้าน ปิดร้านคืนห้างไป
ตลาดนัดก็กระทบ เพราะไปยาก หน้าร้อนแม้จะขายได้ง่ายตอนกลางคืน แต่ซื้อออนไลน์ก็สะดวกกว่า
ไม่หนาแน่นเดินเลือกเหมือนสมัยก่อน
กระทบระบบรถยนต์ เพราะคนมีทางเลือกการเดินทางเยอะ ไฟแนนซ์รับรถคืนเยอะ ร้านซ๋อมรถ เปลี่ยนยาง ฯลฯ ยอดลดลง อาจมีศูนย์บริการปิดตัวในสาขาใกล้กันเพื่อลดค่าใช้จ่าย
กระทบภาคค้าปลีกสินค้าฟุ่มเฟือย ร้านนำเข้าจากต่างประเทศ เพราะลูกค้าสั่งเองจากต่างประเทศได้โดยตรงเลย
กระทบภาคท่องเที่ยว เพราะไม่มีตังก็ไม่ไปเที่ยวไหนไกลมาก เครื่องบินต่างประเทศ ลดลง
การบินขาดทุน พอขาดทุนก็กระทบพนักงานอีก ก็ปลดออกอีก เป็นปัญหาสังคมอีก โดนลงดาบเรื่องการบินนานาชาติอีก ความเชื่อมั่นต่ำลงอีก
พอวงในกรุงเทพ เริ่มช็อต
ภาคท่องเที่ยวก็จะโดน เพราะคนพื้นที่ต่างจังหวัด ก็ไม่ค่อยเที่ยวจังหวัดตัวเองเท่าไหร่อยู่แล้ว (เข้าใจใช่มั้ยครับ)
คนกรุงช็อตมาก ยอดจองโรงแรมน้อยลง ทัวร์ก็น้อยลง ต้องฟาดฟันราคามากเพื่อให้ได้ลูกค้ามาเที่ยว
รีวิวในเว็บก็เห็นจนเบื่อจนแทบเหมือนจะไปเอง ไม่มีความตื่นเต้นอะไรอีกแล้ว (บางคนดูรีวิวจนประมาณการใช้เงินเที่ยวได้ขนาด +-10 บาทยังเอา)
แถม ความเชื่อมั่นนักท่องเที่ยวจากต่างชาติก็ต่ำลง เพราะประเทศปกครองด้วยทหาร จะโดนจับไปทำอะไรตอนไหนก็ไม่รู้
หากไม่ทำตัวดีๆ จริงๆไม่ต้องรอปีหน้าก็ได้ ตอนนี้ก็ช็อตแล้ว ก่อนหน้าที่พัทยา พวกสถานบันเทิงยังมาจุดธูปขอพรให้ลูกค้าเข้าเลยเพราะหายไปมาก
พอท่องเที่ยว เริ่มช็อต
คราวนี้ก็จะหนัก กระทบวงกว้างเหมือนตอนออฟฟิศ
เพราะมันเป็นสินค้าและบริการที่ "ไม่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต" (ในมุมลูกค้าคือไม่เที่ยว ก็ไม่ตายอะ) ขอประหยัดเพื่อดำรงชีพไว้ก่อน
แต่มันดันเป็นรายได้หลักๆของประเทศ
โรงแรมต่างๆ ทัวร์ต่างๆ โล่ง ร้านค้าต่างๆที่คอยขนาบโรงแรม/ที่พัก เอาไว้ ก็จะเหงานั่งไล่แมลงวัน บางเจ้าก็ปิดกิจการไปเลย
กิจการบันเทิง สื่อ มีเดีย โฆษณา ก็จะช็อต เพราะทำไป โหมไปคนก็ไม่ค่อยสนใจมาเที่ยว มาสัมผัส หรือออกไปรับอะไรใหม่ๆ
สื่อต่างๆก็เยอะในออนไลน์ ยูทูปมั่ง เฟซบุคบ้าง ได้เจออะไรใหม่ๆทั่วโลกแต่ไม่ต้องออกไปที่ไหน ประหยัดดี
พอสื่อต่างๆ ออแกไนซ์ โฆษณา วงการบันเทิง เริ่มช็อต
งานก็จะน้อยลง ลูกค้าจ้างไมไหวและคิดว่าไม่จำเป็น
ร้านเหล้าผับบาร์ เน้นศุกร์เสาร์ วันอื่นๆรายจ่ายมากกว่ารายรับ ลูกค้าไม่เที่ยว เซฟตัง
ปิดกิจการ ลอยแพ พริตตี้ ดาราก็ต้องเป็นแม่เหล็กจริงๆ ละครบทต้องดีจริงๆเพราะลูกค้ามีทางเลือกมากขึ้นกว่าเดิม
แต่ก่อนมี 3,5,7,9 , tpbs เดี๋ยวนี้มีเคเบิ้ล ท้องถิ่น ต่างประเทศ มียูทูปอีก กระแสดูซีรี่ต่างประเทศก็เยอะมาก
ทางเลือกคนดูมีเยอะกว่า โรงหนังค่าตั๋วก็โคตรแพง
ทั้งหมดนี้พอช็อตรวมๆกัน
สรรพากรก็จะเก็บรายได้ภาษีได้น้อยลงเรื่อยๆ ก็จะไปหาขูดรีดภาษีด้านอื่นๆมาให้เงินเข้าคลังเหมาะสม
คนก็หวังพึ่งโชคชะตาเล่นหวยเล่นการพนันมากขึ้น ตำรวจเองก็ไม่เว้น (ก็เงินเดือนมันน้อยจริงๆ)
ติดหนี้พนัน ก็ไปหาเงินมาใช้ ส่งยาบ้าง ลักขโมยบ้าง ล่าสุดที่ภาคใต้มีข่าว กับข้างแกงถุงยังขโมย (แบบ คงไม่มีเงินมากสุดๆจริงๆ)
ภาคกลาง จอดมอไซเอากับข้าวแขวนหน้ารถ เดินเข้าไปในโลตัสซื้อของ กับข้าวยังหาย
ภาคธุรกิจที่อยู่รอด ประคับประคองไปได้ (เท่าที่รู้)
1. พลังงาน - น้ำมัน , ก๊าซธรรมชาติ , ไฟฟ้า
2. ขนส่งทางไกล - น้ำมันถูก คนเดินทางไกลเลี่ยงไม่ได้ , กระจายของไปยังจุดที่มีความต้องการมากกว่าแต่ไม่ย้ายโรงงาน ฯลฯ
3. สื่อสาร , อินเตอร์เน็ต - คนต้องการเสพย์ข้อมูลข่าวสารทันโลกมากขึ้น ผู้ให้บริการมากขึ้น ราคาก็ถูกลง
4. องค์กรสเกลใหญ่ - CP , SCG , อสังหาหลายๆแห่ง
5. แบงค์ - ล้มยากสุดพอๆกับพลังงานแล้ว แต่เงินหมุนในระบบน้อยก็ไม่เป็นผลดีต่อแบงค์เลย
6. ลีสซิ่งรถ/ไฟแนนซ์รถ - ดอกเบี้ยจากลูกค้ายังได้อยู่ โดยเฉพาะในต่างจังหวัดยังมีรายได้แน่นอน บางเจ้าดอกโห๊ดโหดแต่ลูกค้าก็ยอม เพราะรมันจำเป็นเนื่องจากไม่มีระบบขนส่งที่เยอะเหมือนในกรุงเทพ
ผมทดลองเดาดูครับ
ลองแชร์ๆ มุมมองเศรษฐกิจปีหน้าของแต่ละท่านเป็นไงบ้างครับ
ภาพเศรษฐกิจประเทศ เละเทะ ในปี 2016
ภาคเกษตร
จะมีภัยแล้งมาก มากกว่าปีนี้อีก ผลผลิตเกษตรจะทำกำไรได้น้อย
เกษตรกรจะมีรายได้ลดลงมาก รถยนต์ รถไถ จะโดนยึด ราคายางจะยังไม่มากขึ้น ไม่เกินโลละ 100
การชำระหนี้ ช้าลง หนี้เสียเพิ่มขึ้น
พอชาวบ้านเกษตร ช็อต
ภาคค้าขายอุปโภคบริโภค ต้องลดสต็อคของลง (พวกร้านชำ โชห่วย)
เน้นเอาแต่ของที่ขายได้จริงๆ แต่ถูกๆ ของดีไม่เอา (เพราะทุนสูงต้องขายแพง ลูกค้าซื้อไม่ไหว)
ขายของในบ้านออก ปล่อยรถคืนไฟแนนซ์ไป ขอแค่ขายได้มีรายได้รายวัน
พอขายปลีก ช็อต
ภาคขายส่ง ที่มีระบบบัญชี ระบบพนักงานมากมายก็เริ่มกระทบ จากขายปลีกหลายๆร้าน ทยอยๆช็อตจากรอบนอกเข้ามาเพราะร้านปลีกมียอดซื้อต่ำลง
ต้องปลดพนักงานออก ปรับโครงสร้างองค์กร ใช้คนให้น้อยแต่จ่ายงานให้หนักขึ้น
เพื่อจะได้ยังจ่ายเงินจ้างไหว ไม่พอจริงๆก็หยุดกิจการ สายป่านสู้แม็คโครไม่ได้
พอขายส่ง ช็อต
พนักงานตกงาน ที่ไม่ตกงานก็ไม่กินอะไรฟุ่มเฟือยเพราะไม่มีจะกินเหมือนกัน
โรงงานก็กำลังผลิตลดลง เพราะฝั่งร้านส่งก็ไม่มีเงินซื้อสต็อคมาก ไม่คุ้ม หรือของอยู่ในเชลฟ์นานมาก ร้านปลีกไม่เอา ร้านส่งก็ไม่สั่งโรงงานอีก
(ก็มันขายยังไม่หมดจะไปสั่งได้ยังไง) โรงงานก็ปรับการผลิต ลดโอทีพนักงาน ยอดตกลง โบนัสหายไป รายจ่ายยังเยอะเหมือนเดิม ค่าไฟ ค่าระบบต่างๆ ซ่อมบำรุงเครื่องจักร ปลดคนออกดีกว่า ไม่ก็ย้ายไปประเทศอื่น
พอโรงงานเริ่มช็อต
ก็จะลดสั่งวัตถุดิบต่างๆจาเกษตรกรด้วย (เกษตรกรก็จะช็อตอีกดอกที่ 2 ต้องพึ่งขายปลึกที่ตลาดสดถึงจะเห็นเงินชัดกว่า)
คนโรงงานโอทีน้อย ก็เริ่มหนัก ก็จะหยุดจ่ายหนี้ เกิดเป็นหนี้เสีย เพราะต้องพยายามเก็บเงินไว้ใช้กินในแต่ละวันให้มีชีวิตรอด
เป็นผลกระทบวงกว้าง ในระดับจังหวัด การกินข้าวนอกบ้าน เรื่องฟุ่มเฟือยต่างๆลดลงมาก
มีตลาดเปิดมากมาย แต่พ่อค้าแม่ค้า มีเยอะกว่าลูกค้า
พอระดับพนักงานช็อต โรงงานช็อต
โรงงานต้องบีบค่าใช้จ่าย เวลารายได้โรงงานลดลง จะลดแบบน่าใจหาย เพราะกำลังการผลิตระดับโรงงานมันมีมาก
สำนักงานใหญ่ที่กรุงเทพ ที่เป็นบริษัทในบางโรงงานก็จะเริ่มปรับโครงสร้างบริหาร เอาคนออกบ้าง ลดโบนัสบ้าง
หาทางพยุงบริษัทไว้ (แต่ก็ช้อตอยู่ดี) ก็จะลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น "ทุกอย่าง" เช่น การฝึกอบรม ความปลอดภัยบางอย่าง
พอ สนง ใหญ่ ในกรุงเทพเริ่มช็อต
ภาคธุรกิจบริการ ที่คอยดูแลลูกค้า ก็จะไม่ได้รับการสั่งจ้างงาน จะชลอไว้ก่อน
พวกนี้คือภาคธุรกิจในเมืองที่มีการแข่งขันกันสูงมาก
แต่ตอนนี้ลูกค้าสนใจแต่ราคา และความจำเป็นเท่านั้น เซลที่วิ่งงานในกรุงเทพ ค่าคอมนิดๆหน่อยๆก็เอาแล้ว ทั้งๆที่สมัยก่อนเซลบางคนค่าคอม 2 เดือนออกรถได้เลย อะไรมั่งละ แม่บ้าน กล้องวงจรปิด รปภ ระบบอำนวยความสะดวกที่ไม่จำเป็น ก็จะลดการสั่งซื้อสั่งจ้าง
พอระบบบางอย่างในกรุงเทพเริ่มช็อต
บีบให้พนักงานก็ต้องเริ่มปรับตัว รถไฟฟ้ามีให้บริการมากขึ้น คนก็จะหันมาใช้มากกว่ารถส่วนตัว เทรนด์จักรยานก็มาแรง
คนกรุงก็จะประหยัดกันสุดฤทธิ์ เริ่มคืนรถยนต์ส่วนตัวให้ไฟแนนซ์ ลดความโก้หรูลง เดินห้างน้อยลง ลดกินข้าวนอกบ้าน ฉลองต่างๆน้อยลงมาก
พอพนักงานออฟฟิศเริ่มช็อต
คราวนี้กระทบวงกว้างมาก กระทบห้าง มีแต่คนเดินแต่ไม่ค่อยซื้อของ ห้างจ่ายค่าไฟค่าแอร์หนัก ไปชาร์จกับคนเช่าที่แทน
คนเช่าที่ลูกค้าก็น้อยลง มาเดินอย่างเดียวไม่ซื้อ เพราะซื้อออนไลน์ดีกว่ามาก ไม่เหนื่อยเดิน
ไม่เปลืองน้ำมันรถ เลยยอดซื้อตกไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าให้ห้าง ก็เซ้งร้าน ปิดร้านคืนห้างไป
ตลาดนัดก็กระทบ เพราะไปยาก หน้าร้อนแม้จะขายได้ง่ายตอนกลางคืน แต่ซื้อออนไลน์ก็สะดวกกว่า
ไม่หนาแน่นเดินเลือกเหมือนสมัยก่อน
กระทบระบบรถยนต์ เพราะคนมีทางเลือกการเดินทางเยอะ ไฟแนนซ์รับรถคืนเยอะ ร้านซ๋อมรถ เปลี่ยนยาง ฯลฯ ยอดลดลง อาจมีศูนย์บริการปิดตัวในสาขาใกล้กันเพื่อลดค่าใช้จ่าย
กระทบภาคค้าปลีกสินค้าฟุ่มเฟือย ร้านนำเข้าจากต่างประเทศ เพราะลูกค้าสั่งเองจากต่างประเทศได้โดยตรงเลย
กระทบภาคท่องเที่ยว เพราะไม่มีตังก็ไม่ไปเที่ยวไหนไกลมาก เครื่องบินต่างประเทศ ลดลง
การบินขาดทุน พอขาดทุนก็กระทบพนักงานอีก ก็ปลดออกอีก เป็นปัญหาสังคมอีก โดนลงดาบเรื่องการบินนานาชาติอีก ความเชื่อมั่นต่ำลงอีก
พอวงในกรุงเทพ เริ่มช็อต
ภาคท่องเที่ยวก็จะโดน เพราะคนพื้นที่ต่างจังหวัด ก็ไม่ค่อยเที่ยวจังหวัดตัวเองเท่าไหร่อยู่แล้ว (เข้าใจใช่มั้ยครับ)
คนกรุงช็อตมาก ยอดจองโรงแรมน้อยลง ทัวร์ก็น้อยลง ต้องฟาดฟันราคามากเพื่อให้ได้ลูกค้ามาเที่ยว
รีวิวในเว็บก็เห็นจนเบื่อจนแทบเหมือนจะไปเอง ไม่มีความตื่นเต้นอะไรอีกแล้ว (บางคนดูรีวิวจนประมาณการใช้เงินเที่ยวได้ขนาด +-10 บาทยังเอา)
แถม ความเชื่อมั่นนักท่องเที่ยวจากต่างชาติก็ต่ำลง เพราะประเทศปกครองด้วยทหาร จะโดนจับไปทำอะไรตอนไหนก็ไม่รู้
หากไม่ทำตัวดีๆ จริงๆไม่ต้องรอปีหน้าก็ได้ ตอนนี้ก็ช็อตแล้ว ก่อนหน้าที่พัทยา พวกสถานบันเทิงยังมาจุดธูปขอพรให้ลูกค้าเข้าเลยเพราะหายไปมาก
พอท่องเที่ยว เริ่มช็อต
คราวนี้ก็จะหนัก กระทบวงกว้างเหมือนตอนออฟฟิศ
เพราะมันเป็นสินค้าและบริการที่ "ไม่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต" (ในมุมลูกค้าคือไม่เที่ยว ก็ไม่ตายอะ) ขอประหยัดเพื่อดำรงชีพไว้ก่อน
แต่มันดันเป็นรายได้หลักๆของประเทศ
โรงแรมต่างๆ ทัวร์ต่างๆ โล่ง ร้านค้าต่างๆที่คอยขนาบโรงแรม/ที่พัก เอาไว้ ก็จะเหงานั่งไล่แมลงวัน บางเจ้าก็ปิดกิจการไปเลย
กิจการบันเทิง สื่อ มีเดีย โฆษณา ก็จะช็อต เพราะทำไป โหมไปคนก็ไม่ค่อยสนใจมาเที่ยว มาสัมผัส หรือออกไปรับอะไรใหม่ๆ
สื่อต่างๆก็เยอะในออนไลน์ ยูทูปมั่ง เฟซบุคบ้าง ได้เจออะไรใหม่ๆทั่วโลกแต่ไม่ต้องออกไปที่ไหน ประหยัดดี
พอสื่อต่างๆ ออแกไนซ์ โฆษณา วงการบันเทิง เริ่มช็อต
งานก็จะน้อยลง ลูกค้าจ้างไมไหวและคิดว่าไม่จำเป็น
ร้านเหล้าผับบาร์ เน้นศุกร์เสาร์ วันอื่นๆรายจ่ายมากกว่ารายรับ ลูกค้าไม่เที่ยว เซฟตัง
ปิดกิจการ ลอยแพ พริตตี้ ดาราก็ต้องเป็นแม่เหล็กจริงๆ ละครบทต้องดีจริงๆเพราะลูกค้ามีทางเลือกมากขึ้นกว่าเดิม
แต่ก่อนมี 3,5,7,9 , tpbs เดี๋ยวนี้มีเคเบิ้ล ท้องถิ่น ต่างประเทศ มียูทูปอีก กระแสดูซีรี่ต่างประเทศก็เยอะมาก
ทางเลือกคนดูมีเยอะกว่า โรงหนังค่าตั๋วก็โคตรแพง
ทั้งหมดนี้พอช็อตรวมๆกัน
สรรพากรก็จะเก็บรายได้ภาษีได้น้อยลงเรื่อยๆ ก็จะไปหาขูดรีดภาษีด้านอื่นๆมาให้เงินเข้าคลังเหมาะสม
คนก็หวังพึ่งโชคชะตาเล่นหวยเล่นการพนันมากขึ้น ตำรวจเองก็ไม่เว้น (ก็เงินเดือนมันน้อยจริงๆ)
ติดหนี้พนัน ก็ไปหาเงินมาใช้ ส่งยาบ้าง ลักขโมยบ้าง ล่าสุดที่ภาคใต้มีข่าว กับข้างแกงถุงยังขโมย (แบบ คงไม่มีเงินมากสุดๆจริงๆ)
ภาคกลาง จอดมอไซเอากับข้าวแขวนหน้ารถ เดินเข้าไปในโลตัสซื้อของ กับข้าวยังหาย
ภาคธุรกิจที่อยู่รอด ประคับประคองไปได้ (เท่าที่รู้)
1. พลังงาน - น้ำมัน , ก๊าซธรรมชาติ , ไฟฟ้า
2. ขนส่งทางไกล - น้ำมันถูก คนเดินทางไกลเลี่ยงไม่ได้ , กระจายของไปยังจุดที่มีความต้องการมากกว่าแต่ไม่ย้ายโรงงาน ฯลฯ
3. สื่อสาร , อินเตอร์เน็ต - คนต้องการเสพย์ข้อมูลข่าวสารทันโลกมากขึ้น ผู้ให้บริการมากขึ้น ราคาก็ถูกลง
4. องค์กรสเกลใหญ่ - CP , SCG , อสังหาหลายๆแห่ง
5. แบงค์ - ล้มยากสุดพอๆกับพลังงานแล้ว แต่เงินหมุนในระบบน้อยก็ไม่เป็นผลดีต่อแบงค์เลย
6. ลีสซิ่งรถ/ไฟแนนซ์รถ - ดอกเบี้ยจากลูกค้ายังได้อยู่ โดยเฉพาะในต่างจังหวัดยังมีรายได้แน่นอน บางเจ้าดอกโห๊ดโหดแต่ลูกค้าก็ยอม เพราะรมันจำเป็นเนื่องจากไม่มีระบบขนส่งที่เยอะเหมือนในกรุงเทพ
ผมทดลองเดาดูครับ
ลองแชร์ๆ มุมมองเศรษฐกิจปีหน้าของแต่ละท่านเป็นไงบ้างครับ