Note : แฟนฟิกชั่นเรื่องนี้เขียนขึ้นมาด้วยความพีคคู่บอสออย ใน Ep.สุดท้าย + เบื้องหลังของพี เมื่อวานค่ะ ลองกลับไปนั่งดูตอนเก่าๆ แล้วก็เลยคิดพล็อตช่องว่างรอยต่อระหว่างช่วงที่บอสกับออยทะเลาะกัน จนถึงตอนที่บอสขี่จักรยานมาบ้านออยขึ้นมาได้
ไม่ได้เขียน Fanfiction มาซะนาน เขียนแล้วยาวเลย ขอตัดไปต่อตรงคอมเมนท์นะคะ ลองอ่านกันดูน้า
............................................
“พอเหอะ! เราเคยคิดว่า แกจะเข้าใจเรา เราคิดผิดเองแหละ”
เสียงของเธอยังคงดังก้องอยู่ในหัวผม แม้ว่าเหตุการณ์นี้จะผ่านมาหลายชั่วโมงแล้ว แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนสีหน้าเจ็บปวดของเธอยังคงติดอยู่ในสมอง จนไม่สามารถข่มตาหลับได้
ผมลุกขึ้นจากเตียง หยิบแว่นตามาสวมตามความเคยชิน แล้วลุกขึ้นยืน เดินออกไปหาน้ำดื่มสักแก้ว
.........................................
ชั้นล่างปิดไฟมืด พ่อกับแม่คงขึ้นนอนกันหมดแล้ว ผมเปิดตู้เย็น รินน้ำแล้วมานั่งจิบที่โซฟา
“แกชอบบอกว่า คนอื่นมองข้ามแก แต่เอาจริงๆ แกรู้มั้ยว่าเวลาเราอยู่ข้างแก เรารู้สึกว่าโดนเหยียดตลอดเวลา แกชอบคิดว่าคนอื่นไม่เข้าใจแก แต่ความจริงแล้ว แกไม่เคยคิดที่จะเข้าใจคนอื่นเลย!”
ใช่! ผมยอมรับว่า บางทีผมก็ไม่ค่อยพยายามเข้าใจความคิดของรอบข้างมากนัก แม่เองก็เตือนอยู่บ่อยๆ ว่า ผมต้องปรับนิสัยข้อนี้บ้าง แต่ผมไม่คิดว่า ผมจะได้ยินประโยคนี้จะปากเธอ คนที่ผมคิดว่า เธอจะเข้าใจผม และยอมรับนิสัยเสียของผมได้ (โอเค...เห็นไหม ผมยอมรับแล้วว่า ตัวเองนิสัยเสีย มันก็ไม่ถึงกับแย่ใช่ไหม?)
ที่ผมรู้สึกแย่ คงเพราะ...เธอเป็นคนพิเศษ เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ยอมรับ ‘ตัวตน’ ของผม หนึ่งในไม่กี่คนที่ผมอยากจะเป็น ‘เพื่อน’
“ให้เราพูดจริงๆ นะ ให้เรามีเพื่อนแบบขนมปัง ยังดีกว่ามีเพื่อนแบบแกอีก”
“แน่ใจเหรอ ออย?” ผมเผลอพึมพำตอบคำพูดของเธอ ที่ตอนนั้นผมมัวแต่โกรธจนไม่ได้ถาม ผมไม่ได้จะบอกว่า การเป็นเพื่อนกับผมเป็นเรื่องดีกว่า แต่อย่างน้อยเธอก็ไม่ต้องอดทนกับความเกลียด ไม่ต้องพยายามฝืนทำเป็นรัก ทั้งที่ในใจเจ็บจนแทบกระอัก
“ขนมปังเป็นเพื่อนรักของเรา”
เธอคงพยายามซ่อน แต่ผมมองเห็นได้ชัดเจนว่าดวงตาของเธอตอนที่พูดประโยคนี้ มันเจ็บปวดแค่ไหน แต่ตอนนั้นความโกรธ และอาจจะรวมถึงความผิดหวัง ทำให้ผมไม่ได้พูดสิ่งที่คิด แต่กลับประชดเธอซะงั้น
“ขอบคุณนะ ที่พูดความรู้สึกที่แกมีกับเราตรงๆ แต่เราก็ไม่รู้แล้วว่า คำพูดไหนของแก ที่เราจะเชื่อได้ หรือว่าเชื่อไม่ได้บ้าง ยังไงก็ขอให้แกโชคดี กับ ‘เพื่อนรัก’ ของแกนะ”
“โธ่โว๊ย....” ผมแหงนหน้าไปพิงขอบโซฟา หลับตาเพราะรู้สึกเหมือนปวดขึ้นมาข้างในอย่างไม่มีสาเหตุ น้อยครั้งในชีวิตที่ผมรู้สึกว่าตัวเองทำอะไรโง่ๆ แต่สิ่งที่ผมทำวันนี้ ต้องเรียกว่าอภิมหาโง่ได้เลย เธอคงไม่ยอมพูดกับผมอีกแน่ๆ
“อ้าว บอส ยังไม่นอนอีกเหรอลูก”
เสียงเรียกดึงสติของผมกลับมา ผมลืมตาแล้วหันไปเห็นแม่ยืนอยู่ตรงบันได ในมือมีถ้วยชาเปล่าๆ แม่คงดื่มชาสมุนไพรก่อนนอนเหมือนเคย “มีอะไรรึเปล่า นั่งหน้าเครียดเชียว” แม่มักสังเกตอาการผิดปกติของผมในครั้งแรกที่มองเห็น ไม่รู้ว่าเป็นทักษะของจิตแพทย์ หรือเพราะความเป็นแม่กันแน่ และผมก็ไม่เคยปิดแม่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร
“มีเรื่องให้คิดนิดหน่อยครับ” ผมบอกแล้วเขยิบตัว แบ่งที่ว่างให้แม่ซึ่งเดินมาทรุดนั่งลงข้างๆ
“เรื่องสภาอีกรึเปล่า?” แม่ถามทั้งๆ ที่รู้ว่า ผมลาออกจากสภาตั้งแต่พวกนั้นเลือกขนมปังแทนผมแล้ว แต่แม่ก็คงรู้ว่า ผมยังคาใจเรื่องนี้อยยู่
“ไม่ใช่หรอกครับ เรื่องอื่น วันนี้มีคนมาบอกผมว่า ผมชอบคิดว่า ไม่มีใครเข้าใจผม แต่ผมเองก็ไม่เคยคิดจะเข้าใจคนอื่น” ผมเล่าพร้อมกับถอนใจ “เขาบอกว่า อยู่ข้างผมแล้วรู้สึกเหมือนถูกเหยียดอยู่ตลอดเวลา”
“โอ้โห ใครเนี่ย กล้าวิจารณ์นิสัยเสียลูกชายแม่ออกมาตรงเป๊ะเลย” แม่อุทานพลางทำหน้าแปลกใจ “แต่ปกติบอสไม่ค่อยสนใจคำพูดคนอื่นนี่นา เพื่อนคนนี้ท่าทางจะสนิทกับบอสมากนะ”
“ผมก็คิดว่า ผมสนิทกับเขานะครับ” ผมถอนใจอีกเฮือก “แต่ท่าทางเขาจะไม่คิดแบบนั้น”
แม่นิ่งมองหน้าผม แล้วก็แนะนำว่า “ถ้าเป็นแม่ พรุ่งนี้แม่จะไปขอโทษเพื่อนคนนั้นที่ทำให้เขารู้สึกแย่ ถ้าบอสอยากเป็นเพื่อนกับเขาต่อไป บอสก็ต้องบอกเขาว่า บอสจะพยายามปรับตัว แล้วก็ต้องพยายามทำให้ได้ด้วย” แม่พยักหน้า “แม่เองก็คิดว่า ถึงเวลาที่บอสควรปรับนิสัยข้อนี้เสียที ถ้าทำได้ชีวิตลูกจะง่ายขึ้นอีกเยอะเลย”
ผมขมวดคิ้ว “ผมไม่คิดว่า เขาจะยอมฟังที่ผมพูดน่ะสิ วันนี้ผมตอบเขาไปแบบแย่มากๆ เขาคงไม่ยอมคุยกับผมอีก” แค่คิดว่า ออยจะเบือนหน้าและเดินหนีผมไปเหมือนคนอื่นๆ ก็ทำให้ผมรู้สึกโหวงในอกขึ้นมา “ผมว่า ผมต้องไม่สบายแน่เลยแม่ ทำไมเวลาคิดเรื่องนี้แล้วมัน...เจ็บๆ ข้างใน...บอกไม่ถูก”
คราวนี้แม่ทำตาโตเหมือนแปลกใจกว่าเดิม ก่อนจะยิ้ม แล้วลุกขึ้นยืน เอามือขยี้ผมของผมเหมือนที่เคยทำตอนผมเด็กๆ เวลาแม่นึกเอ็นดูผม (แต่แม่ไม่ได้ทำแบบนี้นานแล้ว คงรู้ว่าเด็กผู้ชายโตๆ ไม่ค่อยชอบละมั้ง)
“ลองไปพูดแบบที่แม่บอกดูก่อนแล้วกัน ไม่มีอะไรสายเกินกว่าจะแก้ไขหรอก ถ้าไม่ได้ผลค่อยมาคุยกันอีกที”
แม่ทำท่าจะก้าวขึ้นบันได ก่อนจะหยุดชะงัก “อ้อ...บอส” แม่หันกลับมาพูดยิ้มๆ ว่า
“อาการที่ลูกคิดว่า ไม่สบายน่ะ ในทางการแพทย์คงยังวินิจฉัยไม่ได้ แต่ถ้าเป็นความคิดแม่ อาการแบบนี้ เขาเรียกว่า ‘ปวดใจ’ นะ”
..................................................
Never Too Late [Boss/Oil] Hormones the Final Season’s Fanfiction
ไม่ได้เขียน Fanfiction มาซะนาน เขียนแล้วยาวเลย ขอตัดไปต่อตรงคอมเมนท์นะคะ ลองอ่านกันดูน้า
............................................
“พอเหอะ! เราเคยคิดว่า แกจะเข้าใจเรา เราคิดผิดเองแหละ”
เสียงของเธอยังคงดังก้องอยู่ในหัวผม แม้ว่าเหตุการณ์นี้จะผ่านมาหลายชั่วโมงแล้ว แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนสีหน้าเจ็บปวดของเธอยังคงติดอยู่ในสมอง จนไม่สามารถข่มตาหลับได้
ผมลุกขึ้นจากเตียง หยิบแว่นตามาสวมตามความเคยชิน แล้วลุกขึ้นยืน เดินออกไปหาน้ำดื่มสักแก้ว
.........................................
ชั้นล่างปิดไฟมืด พ่อกับแม่คงขึ้นนอนกันหมดแล้ว ผมเปิดตู้เย็น รินน้ำแล้วมานั่งจิบที่โซฟา
“แกชอบบอกว่า คนอื่นมองข้ามแก แต่เอาจริงๆ แกรู้มั้ยว่าเวลาเราอยู่ข้างแก เรารู้สึกว่าโดนเหยียดตลอดเวลา แกชอบคิดว่าคนอื่นไม่เข้าใจแก แต่ความจริงแล้ว แกไม่เคยคิดที่จะเข้าใจคนอื่นเลย!”
ใช่! ผมยอมรับว่า บางทีผมก็ไม่ค่อยพยายามเข้าใจความคิดของรอบข้างมากนัก แม่เองก็เตือนอยู่บ่อยๆ ว่า ผมต้องปรับนิสัยข้อนี้บ้าง แต่ผมไม่คิดว่า ผมจะได้ยินประโยคนี้จะปากเธอ คนที่ผมคิดว่า เธอจะเข้าใจผม และยอมรับนิสัยเสียของผมได้ (โอเค...เห็นไหม ผมยอมรับแล้วว่า ตัวเองนิสัยเสีย มันก็ไม่ถึงกับแย่ใช่ไหม?)
ที่ผมรู้สึกแย่ คงเพราะ...เธอเป็นคนพิเศษ เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ยอมรับ ‘ตัวตน’ ของผม หนึ่งในไม่กี่คนที่ผมอยากจะเป็น ‘เพื่อน’
“ให้เราพูดจริงๆ นะ ให้เรามีเพื่อนแบบขนมปัง ยังดีกว่ามีเพื่อนแบบแกอีก”
“แน่ใจเหรอ ออย?” ผมเผลอพึมพำตอบคำพูดของเธอ ที่ตอนนั้นผมมัวแต่โกรธจนไม่ได้ถาม ผมไม่ได้จะบอกว่า การเป็นเพื่อนกับผมเป็นเรื่องดีกว่า แต่อย่างน้อยเธอก็ไม่ต้องอดทนกับความเกลียด ไม่ต้องพยายามฝืนทำเป็นรัก ทั้งที่ในใจเจ็บจนแทบกระอัก
“ขนมปังเป็นเพื่อนรักของเรา”
เธอคงพยายามซ่อน แต่ผมมองเห็นได้ชัดเจนว่าดวงตาของเธอตอนที่พูดประโยคนี้ มันเจ็บปวดแค่ไหน แต่ตอนนั้นความโกรธ และอาจจะรวมถึงความผิดหวัง ทำให้ผมไม่ได้พูดสิ่งที่คิด แต่กลับประชดเธอซะงั้น
“ขอบคุณนะ ที่พูดความรู้สึกที่แกมีกับเราตรงๆ แต่เราก็ไม่รู้แล้วว่า คำพูดไหนของแก ที่เราจะเชื่อได้ หรือว่าเชื่อไม่ได้บ้าง ยังไงก็ขอให้แกโชคดี กับ ‘เพื่อนรัก’ ของแกนะ”
“โธ่โว๊ย....” ผมแหงนหน้าไปพิงขอบโซฟา หลับตาเพราะรู้สึกเหมือนปวดขึ้นมาข้างในอย่างไม่มีสาเหตุ น้อยครั้งในชีวิตที่ผมรู้สึกว่าตัวเองทำอะไรโง่ๆ แต่สิ่งที่ผมทำวันนี้ ต้องเรียกว่าอภิมหาโง่ได้เลย เธอคงไม่ยอมพูดกับผมอีกแน่ๆ
“อ้าว บอส ยังไม่นอนอีกเหรอลูก”
เสียงเรียกดึงสติของผมกลับมา ผมลืมตาแล้วหันไปเห็นแม่ยืนอยู่ตรงบันได ในมือมีถ้วยชาเปล่าๆ แม่คงดื่มชาสมุนไพรก่อนนอนเหมือนเคย “มีอะไรรึเปล่า นั่งหน้าเครียดเชียว” แม่มักสังเกตอาการผิดปกติของผมในครั้งแรกที่มองเห็น ไม่รู้ว่าเป็นทักษะของจิตแพทย์ หรือเพราะความเป็นแม่กันแน่ และผมก็ไม่เคยปิดแม่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร
“มีเรื่องให้คิดนิดหน่อยครับ” ผมบอกแล้วเขยิบตัว แบ่งที่ว่างให้แม่ซึ่งเดินมาทรุดนั่งลงข้างๆ
“เรื่องสภาอีกรึเปล่า?” แม่ถามทั้งๆ ที่รู้ว่า ผมลาออกจากสภาตั้งแต่พวกนั้นเลือกขนมปังแทนผมแล้ว แต่แม่ก็คงรู้ว่า ผมยังคาใจเรื่องนี้อยยู่
“ไม่ใช่หรอกครับ เรื่องอื่น วันนี้มีคนมาบอกผมว่า ผมชอบคิดว่า ไม่มีใครเข้าใจผม แต่ผมเองก็ไม่เคยคิดจะเข้าใจคนอื่น” ผมเล่าพร้อมกับถอนใจ “เขาบอกว่า อยู่ข้างผมแล้วรู้สึกเหมือนถูกเหยียดอยู่ตลอดเวลา”
“โอ้โห ใครเนี่ย กล้าวิจารณ์นิสัยเสียลูกชายแม่ออกมาตรงเป๊ะเลย” แม่อุทานพลางทำหน้าแปลกใจ “แต่ปกติบอสไม่ค่อยสนใจคำพูดคนอื่นนี่นา เพื่อนคนนี้ท่าทางจะสนิทกับบอสมากนะ”
“ผมก็คิดว่า ผมสนิทกับเขานะครับ” ผมถอนใจอีกเฮือก “แต่ท่าทางเขาจะไม่คิดแบบนั้น”
แม่นิ่งมองหน้าผม แล้วก็แนะนำว่า “ถ้าเป็นแม่ พรุ่งนี้แม่จะไปขอโทษเพื่อนคนนั้นที่ทำให้เขารู้สึกแย่ ถ้าบอสอยากเป็นเพื่อนกับเขาต่อไป บอสก็ต้องบอกเขาว่า บอสจะพยายามปรับตัว แล้วก็ต้องพยายามทำให้ได้ด้วย” แม่พยักหน้า “แม่เองก็คิดว่า ถึงเวลาที่บอสควรปรับนิสัยข้อนี้เสียที ถ้าทำได้ชีวิตลูกจะง่ายขึ้นอีกเยอะเลย”
ผมขมวดคิ้ว “ผมไม่คิดว่า เขาจะยอมฟังที่ผมพูดน่ะสิ วันนี้ผมตอบเขาไปแบบแย่มากๆ เขาคงไม่ยอมคุยกับผมอีก” แค่คิดว่า ออยจะเบือนหน้าและเดินหนีผมไปเหมือนคนอื่นๆ ก็ทำให้ผมรู้สึกโหวงในอกขึ้นมา “ผมว่า ผมต้องไม่สบายแน่เลยแม่ ทำไมเวลาคิดเรื่องนี้แล้วมัน...เจ็บๆ ข้างใน...บอกไม่ถูก”
คราวนี้แม่ทำตาโตเหมือนแปลกใจกว่าเดิม ก่อนจะยิ้ม แล้วลุกขึ้นยืน เอามือขยี้ผมของผมเหมือนที่เคยทำตอนผมเด็กๆ เวลาแม่นึกเอ็นดูผม (แต่แม่ไม่ได้ทำแบบนี้นานแล้ว คงรู้ว่าเด็กผู้ชายโตๆ ไม่ค่อยชอบละมั้ง)
“ลองไปพูดแบบที่แม่บอกดูก่อนแล้วกัน ไม่มีอะไรสายเกินกว่าจะแก้ไขหรอก ถ้าไม่ได้ผลค่อยมาคุยกันอีกที”
แม่ทำท่าจะก้าวขึ้นบันได ก่อนจะหยุดชะงัก “อ้อ...บอส” แม่หันกลับมาพูดยิ้มๆ ว่า
“อาการที่ลูกคิดว่า ไม่สบายน่ะ ในทางการแพทย์คงยังวินิจฉัยไม่ได้ แต่ถ้าเป็นความคิดแม่ อาการแบบนี้ เขาเรียกว่า ‘ปวดใจ’ นะ”
..................................................