สวัสดีค่ะจขกท.ได้มีโอกาสเดินทางไปร่วมงานแต่งที่ประเทศอินเดียเมื่ออาทิตย์ที่แล้วนี้เองค่ะ โดยเมืองที่เราไปก็คือเมือง Jaipur ค่ะ ปรากฎว่าติดใจมากกกก (ก.ไก่ล้านตัว) เนื่องจากเราไปในฐานะแขกบ้าน แขกเมือง การดูแลเอาใจใส่จึงดีมาก ประดุจอาคันตุกะจากเมืองไทยกันเลยทีเดียว
เนื่องจากเป็นกระทู้แรกของเรา ต้องขออภัย มานะ มานี ปิติ และชูใจ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ (ฮ่า!)
*รูปที่ถ่ายมาจาก Ipad + ย่อขนาด นะคะ ต้องขออภัยที่ภาพอาจจะไม่ได้คมชัดระดับมือโปร*
***************************************************************************************************************************
เมฆน่ากินมากค่ะ เหมือนสายไหม ฮ่าๆ
เราเดินทางไปอินเดียโดยรวมๆ แล้ว เราถึงสุวรรณภูมิประมาณ 6 โมงเช้า (ไทย) ถึงโรงแรมที่ Jaipur ก็ 18.30 น. (อินเดีย) ใช้เวลาประมาณ 12 ชม. กันเลยทีเดียวค่ะ เนื่องจากเราต้องนั่งเครื่องไปลงที่ Mumbai ก่อน แล้วนั่งต่อจาก Mumbai ไป Jaipur อีกที โดยสายการบินที่เรานั่งไปคือ สายการบิน Jet Airways ค่ะ จากที่เคยลองอ่านอยู่กระทู้นึงเรื่องกลิ่นตัวแขกบนเครื่องบิน ขอชี้แจงว่าไม่มีกลิ่นเลยค่ะ อาจจะเป็นช่วงหน้าหนาวด้วย แต่เมืองไทยร้อนค่ะพูดเลย แต่งตัวไปนี้ก่ะจัดเต็มค่ะ เพราะอินเดีย 25 องศา (ตอนกลางวัน) 18 องศา (ตอนกลางคืน) ค่ะ อุณหภูมิจะลดลงเรื่อยๆ เราก็คำนวนแล้วถึงที่นั่นเย็นๆ จึงแต่งตัวเตรียมหนาว แต่ต้องผ่านด่านเมืองไทยที่เข้าเดือนธันวาคม แต่ประดุจเดือนเมษายนไปให้ได้ค่ะ
ถือว่าใช้ได้เลยค่ะสำหรับคน Non-Veg แบบจขกท. หรือเข้าร้านอาหารตามสั่งจะต้องสั่งข้าวผัดไม่ใส่ผัก (ฮ่า!)
แต่อาหารบนเครื่องที่ Mumbai > Jaipur อร่อยมากค่ะ เป็นฮอทดอกไส้กรอก กับกาแฟ รสชาติดีมากค่ะ เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปเพราะหิวมาก แถมแอร์ & สจ๊วดสายการบินนี้ สวย & หล่อแบบแขกๆ ดีค่ะ น่ารักดี
เมื่อเราเดินทางมาถึงสนามบิน International ที่ Mumbai ก็จะต้องนั่งรถ Bus วน (ย้ำเลยค่ะว่านั่งวน) ไปทำเอกสารที่สนามบิน Domestic และเมื่อทำเสร็จก็จะต้องนั่งวนกลับมาขึ้นตรง International เหมือนเดิม แม้ว่าเครื่องจะเป็น Domestic ก็ตามค่ะ (งงกับระบบเหมือนกัน) โดยไม่มีเวลาถ่ายรูปเลยค่ะ ชีวิตยิ่งกว่า maze runner วิ่งให้ทันตรวจคนเข้าเมือง เนื่องจากเวลาต่อเครื่องไป Jaipur กะชั้นชิดมากเลยค่ะ แถมเขาไม่มีแบ่งแยกโซนเจ้าของประเทศกับชาวต่างชาติเหมือนที่สุวรรณภูมิค่ะ เพราะฉะนั้นมนุษย์แขกกับชาวต่างชาติจึงต่อแถวเหมือนกันตรวจเหมือนกันทุกอย่าง แต่แปลกกว่าชาวบ้านตรงที่ จะแยกการตรวจคนเข้าเมือง ระดับ First Class ออกจาก Eco แบบเห็นได้ชัดค่ะ มีแบ่งโซนกันไปเลย ถ้าจอง First Class จะสบายกว่ามากค่ะ ดูแลดุจสุลต่านกันเลย
*********************************************************************************************************************
ข้อควรรู้ของมนุษย์แขก ก่อนที่จะรับฟังบรรยายต่อค่ะ (ฮ่า)
1. แซงคิว
ที่นี้ขึ้นชื่อเรื่องแซงคิวมากค่ะ โหดมาก ต่อคิวอยู่ดีๆ มีหมู่มวลมนุษย์แขกมาจากไหนไม่รู้ มาแซงเลยค่ะ เป็นกลุ่มป้าแขก ตอนเข้าไปสแกนตรวจรายบุคคลค่ะ ขนาดเจ้าหน้าที่ว่า ป้าแกยังทำเฉยไม่สนใจเลยค่ะ ดาเมจรุนแรงมากค่ะ (เพราะฉะนั้นน้ำใจหญิงไทยคงต้องขออนุญาติพับเก็บลงไปก่อน ใช้หลัก survivor ดำรงชีวิตก่อนที่จะตกเครื่องค่ะ)
2. ระบบวรรณะ
แบ่งแยกคนตามชนชั้นอย่างมากค่ะ ชนชั้นล่างสุด คือสุดจริงๆ ค่ะ ชนชั้นสูง ก็จะสูงจริงๆ แถมไม่มีอำนาจใดๆ มาลบล้างได้เลยค่ะ สังเกตุได้จากบ้านเรือน และตั้งแต่ตอนอยู่บนเครื่องบินค่ะ มองลงมาคือ คนมีเงินรอบบ้านจะมีสนามหญ้าเขียวชะอุ่มค่ะ มีพื้นที่ส่วนตัว ส่วนคนไม่มีเงินก็ ดินแดงค่ะ บ้านเป็นสังกะสี เอาหินวางทับไว้ด้านบนกันหลังคาปลิวค่ะ เหมือนในหนังมากค่ะ
3. รถยนต์เกรงใจคน
ประชาชนที่นี้ข้ามถนนโหดมากเลยค่ะ ถือคติดิฉันจะเดิน ใครจะทำไม ทางม้าลายไม่ต้องมีค่ะ คนขับนี่ต้องมีสติอย่างแรงกล้าค่ะ
4. บีบแตร์ประดุจบีบปุ๊บได้ทอง 1 บาทปั๊บ (บีบแถบตลอดทางนั่นเอง)
ตอนแรกตกใจมากค่ะ บีบแตร์รถกันโหดมาก เสียงดังไปตลอดทาง แต่ก็มาจับสังเกตได้ว่าการบีบแตรของเขาเหมือนเป็นการส่งสัญญาณค่ะ
- บีบสั้น (แป๊น) หมายถึง ให้สัญญาณว่า “ตอนนี้รถฉันอยู่ข้างหลังเธอนะ” “ไฟเขียวแล้วนะ” “ข้างหน้าฉันมีรถออกมานะ” “จะไฟแดงแล้วนะ” คือบีบได้ทุกสถาณการณ์มากค่ะ เพื่อให้คนขับรถรอบตัวรู้ตัวค่ะ เช่น อยากจะแซงก็บีบแตร์สั้นไป 2 ที (แป๊น แป๊น) คันหน้าเราจะเปลี่ยนเลนให้เราแซงไปค่ะ
- บีบยาว (แป๊นนนนนน) หมายถึง เมื่อเราขับรถมาเรื่อยๆ แล้วมีรถออกจากซอยเพื่อหวังข้ามไปอีกฝั่งนึงค่ะ เมื่อเราบีบยาว หมายถึง เราไม่ยอมให้เขาตัดหน้าค่ะ คันที่อยู่ในซอยก็จะไม่ออกมาค่ะ แต่ก็มีพวกไม่แคร์ชาวบ้าน บีบแตร์แล้วไง ตัวข้านั้นจะออกไรงี้ค่ะ พุ่งออกมาก็มี ตกใจมากนึกว่าจะชนกันแล้ว แต่คนขับเหยียบเบรคนุ่มมากค่ะ ไม่สะเทือน รอดกลับไปถึงโรงแรมอย่างระทึกขวัญ ประเดิมวันแรกเมื่อถึงกันเลย เกือบซื้อหวยเลขทะเบียนแล้วค่ะ (ฮ่า!)
5. ชาวต่างชาติคือของแปลก
ระหว่างที่ จขกท. กำลังนั่งรถจากสนามบินไปโรงแรม โดยจขกท. และคณะชาวไทย รวม 5 ชีวิต ได้แยกรถกันขึ้นโดยแบ่งเป็น คันชายล้วน 2 คน คันหญิงล้วน 3 คนค่ะ (มีรถมารับ 2 คัน) คันของจขกท. คือหญิงล้วนนั่นเอง และระหว่างที่ขับรถก็ได้มีการไปเติมน้ำมันค่ะ โอ้โห! ทีนี้แขกมุงค่ะ มีประมาณ 4-5 คน มาทำเป็นยืนคุยกัน แต่สายตาคือมองเข้ามาประดุจไม่เคยเห็นชาวต่างชาติค่ะ ส่วนคนขับรถคือลงไปจ่ายตัง แล้วหายหัวไปเลยค่ะ (ในใจคือ จะรอดถึงโรงแรมปะว้า จะมีศึกมวยไทยปะทะดงบังไหมหนอ) แต่สวรรณ์ก็ไม่ทิ้งลูกนก ไก่กาตาดำๆ ค่ะ คนขับรถคันแรก (คันชายล้วน) ขับมาจอดค่ะ ก่อนที่จะเดินลงมาไล่หมู่มวลมนุษย์แขกที่มายืนจับกลุ่มเมาส์ค่ะ โอ้โห สวรรณ์มาโปรด (นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ไม่ควรทำแบบ จขกท. นะคะเวลาไปอินเดีย เวลาขึ้นรถแบบนี้หญิงล้วนอันตรายค่ะ ต้องมีผู้ชายมาด้วยถึงจะปลอดภัย)
6. ผู้ชายอินเดียเยอะมากกกกก
ตามอัตราส่วนประชากรเลยค่ะ แนะนำว่าถ้าเดินทางมา
ควร มีผู้ชายร่วมเดินทางมาด้วยนะคะ ไม่งั้นอันตรายมากๆ ค่ะ
7. ชายอินเดียหน้าโหด แต่จิตใจโหมดคิตตี้
เอิ่ม... ข้อนี้ดูจะสวนทางจากเรื่องที่เล่ามาจากข้างบนมากค่ะ แต่มันเป็นเรื่องจริงนะคะ แต่ต้องเป็นในระดับชนชั้นกลางขึ้นไปนะคะ คือ หน้าโหดค่ะ ตามอินเดียสไตล์ แต่ความจริงคือขี้อายมากกกกก ไม่กล้าสบตาผู้หญิงค่ะ เขินมองนกมองไม้แบบเห็นได้ชัดค่ะ เจอครั้งแรกคือตลกมากเลยค่ะ เราเป็นไทยสไตล์คือเวลาคุยกับใครจะมองตาค่ะ แต่พอมาคุยกับคนที่นี้ คือเขาเขินมากค่ะ มุดไปอยู่หลังเพื่อนก็มีค่ะ (ฮ่า!) (สำหรับหนุ่มโสดนะคะ ถ้ามีลูกเมียแล้ว หรือเป็นนักธุรกิจ จะไม่รู้สึกอะไรค่ะ)
8. ขอทานเยอะมากค่ะ
วิธีป้องกันไม่ยากค่ะ แค่ไม่ให้ (ฮ่า!) ไม่ได้กวนนะคะ แต่เป็นเรื่องจริงค่ะ เราต้องใจแข็งค่ะ ทางที่ดีนะคะ ใส่แว่นกันแดดแบบสะท้อนค่ะ เขาจะมองไม่เห็นว่าเรามองไปทางไหน แล้วเราก็เชิดหน้า แบบถ่ายแบบใน The face เลยค่ะ ไม่สบตาใคร ส่วนมือก็กอดกระเป๋าตัวเองไว้แน่น กันไว้เวลาเดินข้างทางนะคะ แต่ถ้าอยู่ในรถไม่ต้องกลัวค่ะ มีกระจกกันไว้อยู่ แค่ไม่หันไปมอง เขาก็จะเปลี่ยนเป้าหมายไปเองค่ะ
มีทั้งขอทานและคนขายของตามสี่แยกเลยค่ะ ขอทานโหดมากค่ะ มียกมือบอกรถคันหลังให้หยุดก่อน ดิฉันจะรับเงินจากคันนี้ อะไรงี้ค่ะ (พอดีคันนั้นใจดี ให้เงินค่ะ ตอนไฟเขียว นางเลยยกมือบอกคันอื่นให้หยุด)
9. ควรแลกแบงค์ย่อย 50 รูปี หรือต่ำกว่านั้นไว้เยอะๆ
เนื่องจากที่อินเดียนี่ อารมณ์เวลาเที่ยวคือทุกอย่างเป็นเงินเป็นทองหมดค่ะ ต้องมีทิปบริการตลอด (อาจจะมองว่าเราเป็นชาวต่างชาติ เลยขอทิปตลอด) แล้วก็ถ้าเราพกแบงค์ใหญ่นี่อาจเสียมากได้ และเป็นข้ออ้างเวลาซื้อของได้ด้วยค่ะ ว่าเรามีแต่แบงค์น้อยๆ พวกขายของนี่ชอบขาย 1,000 รูปีขึ้นค่ะ ตอนนั้นเจอผ้านพันคอของอินเดีย 10,000 รูปี หน้าสั่นเลยค่ะ (สภาพไม่น่าแพงเลยค่ะ) จะต่อราคาก็ไม่มั่นใจ
********************************************************************************************************************
ประมวลภาพระหว่างวัน ก่อนถึงโรงแรม
การจราจรที่ Mumbai (แอบเห็นตุ๊กตุ๊ก)
แท็กซี่ที่อินเดียค่ะ
รถคุณตำรวจค่ะ
รถตุ๊กตุ๊ก สีแท็กซี่ เรียกไทยๆ ว่า “ตุ๊กซี่” ละกันค่ะ ฮ่าๆๆ
world trade park 1 ในห้างของ Jaipur ค่ะ มีอยู่หลายห้างมากเลยที่นี้
มี GT Central, Gaurav Tower อีกค่ะ แต่ไม่ได้ถ่ายรูปด้านนอกของ 2 ที่เหลือมาค่ะ พอดีเป็นวันสุดท้ายกำลังจะกลับ แต่ดึกๆ เด็กวัยรุ่นอินเดียเยอะมากค่ะ ถือว่าเป็น Center และสีสันของวัยรุ่นชาว Jaipur มากเลยค่ะ
*รูปประกอบจากเว็บ*
Gaurav Tower
GT Central
วัดของที่นี้ค่ะ ของจริงสวยมากค่ะ แต่พอดีถ่ายตอนรถเคลื่อยเลยไม่ค่อยชัดมาก
โรงพยาบาลค่ะ ย้ำว่า! Hospital จริงๆ นะคะ
หมูน้อยข้างถนนค่ะ ที่นี้สุนัขน้อยมากค่ะ มีแต่วัวกับหมู
ปั้มน้ำมันประจำอินเดียค่ะ
รถเมย์นี่อัดแน่นกว่ารถเมย์ฟรีเมืองไทยอีกค่ะ อาจจะเป็นแรงบรรดานใจให้กระเป๋ารถเมย์ไทยบอกให้เราชิดในเข้าไปอีกค่ะ
ทีหลังต้องพูดว่า “ชิดในค่ะๆ ชิดแบบอินเดียค่ะๆ” จขกท. จะได้กระโดดไปนั่งบนหลังคาให้รู้เล้วรู้รอดไปเลยค่ะ
****************************************************************************************************************
Amazing India!!! แชร์ประสบการณ์เที่ยวอินเดีย เฮ้ย! อินเดียก็มีแบบนี้ด้วย???
เนื่องจากเป็นกระทู้แรกของเรา ต้องขออภัย มานะ มานี ปิติ และชูใจ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ (ฮ่า!)
*รูปที่ถ่ายมาจาก Ipad + ย่อขนาด นะคะ ต้องขออภัยที่ภาพอาจจะไม่ได้คมชัดระดับมือโปร*
***************************************************************************************************************************
เราเดินทางไปอินเดียโดยรวมๆ แล้ว เราถึงสุวรรณภูมิประมาณ 6 โมงเช้า (ไทย) ถึงโรงแรมที่ Jaipur ก็ 18.30 น. (อินเดีย) ใช้เวลาประมาณ 12 ชม. กันเลยทีเดียวค่ะ เนื่องจากเราต้องนั่งเครื่องไปลงที่ Mumbai ก่อน แล้วนั่งต่อจาก Mumbai ไป Jaipur อีกที โดยสายการบินที่เรานั่งไปคือ สายการบิน Jet Airways ค่ะ จากที่เคยลองอ่านอยู่กระทู้นึงเรื่องกลิ่นตัวแขกบนเครื่องบิน ขอชี้แจงว่าไม่มีกลิ่นเลยค่ะ อาจจะเป็นช่วงหน้าหนาวด้วย แต่เมืองไทยร้อนค่ะพูดเลย แต่งตัวไปนี้ก่ะจัดเต็มค่ะ เพราะอินเดีย 25 องศา (ตอนกลางวัน) 18 องศา (ตอนกลางคืน) ค่ะ อุณหภูมิจะลดลงเรื่อยๆ เราก็คำนวนแล้วถึงที่นั่นเย็นๆ จึงแต่งตัวเตรียมหนาว แต่ต้องผ่านด่านเมืองไทยที่เข้าเดือนธันวาคม แต่ประดุจเดือนเมษายนไปให้ได้ค่ะ
แต่อาหารบนเครื่องที่ Mumbai > Jaipur อร่อยมากค่ะ เป็นฮอทดอกไส้กรอก กับกาแฟ รสชาติดีมากค่ะ เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปเพราะหิวมาก แถมแอร์ & สจ๊วดสายการบินนี้ สวย & หล่อแบบแขกๆ ดีค่ะ น่ารักดี
เมื่อเราเดินทางมาถึงสนามบิน International ที่ Mumbai ก็จะต้องนั่งรถ Bus วน (ย้ำเลยค่ะว่านั่งวน) ไปทำเอกสารที่สนามบิน Domestic และเมื่อทำเสร็จก็จะต้องนั่งวนกลับมาขึ้นตรง International เหมือนเดิม แม้ว่าเครื่องจะเป็น Domestic ก็ตามค่ะ (งงกับระบบเหมือนกัน) โดยไม่มีเวลาถ่ายรูปเลยค่ะ ชีวิตยิ่งกว่า maze runner วิ่งให้ทันตรวจคนเข้าเมือง เนื่องจากเวลาต่อเครื่องไป Jaipur กะชั้นชิดมากเลยค่ะ แถมเขาไม่มีแบ่งแยกโซนเจ้าของประเทศกับชาวต่างชาติเหมือนที่สุวรรณภูมิค่ะ เพราะฉะนั้นมนุษย์แขกกับชาวต่างชาติจึงต่อแถวเหมือนกันตรวจเหมือนกันทุกอย่าง แต่แปลกกว่าชาวบ้านตรงที่ จะแยกการตรวจคนเข้าเมือง ระดับ First Class ออกจาก Eco แบบเห็นได้ชัดค่ะ มีแบ่งโซนกันไปเลย ถ้าจอง First Class จะสบายกว่ามากค่ะ ดูแลดุจสุลต่านกันเลย
*********************************************************************************************************************
ข้อควรรู้ของมนุษย์แขก ก่อนที่จะรับฟังบรรยายต่อค่ะ (ฮ่า)
1. แซงคิว
ที่นี้ขึ้นชื่อเรื่องแซงคิวมากค่ะ โหดมาก ต่อคิวอยู่ดีๆ มีหมู่มวลมนุษย์แขกมาจากไหนไม่รู้ มาแซงเลยค่ะ เป็นกลุ่มป้าแขก ตอนเข้าไปสแกนตรวจรายบุคคลค่ะ ขนาดเจ้าหน้าที่ว่า ป้าแกยังทำเฉยไม่สนใจเลยค่ะ ดาเมจรุนแรงมากค่ะ (เพราะฉะนั้นน้ำใจหญิงไทยคงต้องขออนุญาติพับเก็บลงไปก่อน ใช้หลัก survivor ดำรงชีวิตก่อนที่จะตกเครื่องค่ะ)
2. ระบบวรรณะ
แบ่งแยกคนตามชนชั้นอย่างมากค่ะ ชนชั้นล่างสุด คือสุดจริงๆ ค่ะ ชนชั้นสูง ก็จะสูงจริงๆ แถมไม่มีอำนาจใดๆ มาลบล้างได้เลยค่ะ สังเกตุได้จากบ้านเรือน และตั้งแต่ตอนอยู่บนเครื่องบินค่ะ มองลงมาคือ คนมีเงินรอบบ้านจะมีสนามหญ้าเขียวชะอุ่มค่ะ มีพื้นที่ส่วนตัว ส่วนคนไม่มีเงินก็ ดินแดงค่ะ บ้านเป็นสังกะสี เอาหินวางทับไว้ด้านบนกันหลังคาปลิวค่ะ เหมือนในหนังมากค่ะ
3. รถยนต์เกรงใจคน
ประชาชนที่นี้ข้ามถนนโหดมากเลยค่ะ ถือคติดิฉันจะเดิน ใครจะทำไม ทางม้าลายไม่ต้องมีค่ะ คนขับนี่ต้องมีสติอย่างแรงกล้าค่ะ
4. บีบแตร์ประดุจบีบปุ๊บได้ทอง 1 บาทปั๊บ (บีบแถบตลอดทางนั่นเอง)
ตอนแรกตกใจมากค่ะ บีบแตร์รถกันโหดมาก เสียงดังไปตลอดทาง แต่ก็มาจับสังเกตได้ว่าการบีบแตรของเขาเหมือนเป็นการส่งสัญญาณค่ะ
- บีบสั้น (แป๊น) หมายถึง ให้สัญญาณว่า “ตอนนี้รถฉันอยู่ข้างหลังเธอนะ” “ไฟเขียวแล้วนะ” “ข้างหน้าฉันมีรถออกมานะ” “จะไฟแดงแล้วนะ” คือบีบได้ทุกสถาณการณ์มากค่ะ เพื่อให้คนขับรถรอบตัวรู้ตัวค่ะ เช่น อยากจะแซงก็บีบแตร์สั้นไป 2 ที (แป๊น แป๊น) คันหน้าเราจะเปลี่ยนเลนให้เราแซงไปค่ะ
- บีบยาว (แป๊นนนนนน) หมายถึง เมื่อเราขับรถมาเรื่อยๆ แล้วมีรถออกจากซอยเพื่อหวังข้ามไปอีกฝั่งนึงค่ะ เมื่อเราบีบยาว หมายถึง เราไม่ยอมให้เขาตัดหน้าค่ะ คันที่อยู่ในซอยก็จะไม่ออกมาค่ะ แต่ก็มีพวกไม่แคร์ชาวบ้าน บีบแตร์แล้วไง ตัวข้านั้นจะออกไรงี้ค่ะ พุ่งออกมาก็มี ตกใจมากนึกว่าจะชนกันแล้ว แต่คนขับเหยียบเบรคนุ่มมากค่ะ ไม่สะเทือน รอดกลับไปถึงโรงแรมอย่างระทึกขวัญ ประเดิมวันแรกเมื่อถึงกันเลย เกือบซื้อหวยเลขทะเบียนแล้วค่ะ (ฮ่า!)
5. ชาวต่างชาติคือของแปลก
ระหว่างที่ จขกท. กำลังนั่งรถจากสนามบินไปโรงแรม โดยจขกท. และคณะชาวไทย รวม 5 ชีวิต ได้แยกรถกันขึ้นโดยแบ่งเป็น คันชายล้วน 2 คน คันหญิงล้วน 3 คนค่ะ (มีรถมารับ 2 คัน) คันของจขกท. คือหญิงล้วนนั่นเอง และระหว่างที่ขับรถก็ได้มีการไปเติมน้ำมันค่ะ โอ้โห! ทีนี้แขกมุงค่ะ มีประมาณ 4-5 คน มาทำเป็นยืนคุยกัน แต่สายตาคือมองเข้ามาประดุจไม่เคยเห็นชาวต่างชาติค่ะ ส่วนคนขับรถคือลงไปจ่ายตัง แล้วหายหัวไปเลยค่ะ (ในใจคือ จะรอดถึงโรงแรมปะว้า จะมีศึกมวยไทยปะทะดงบังไหมหนอ) แต่สวรรณ์ก็ไม่ทิ้งลูกนก ไก่กาตาดำๆ ค่ะ คนขับรถคันแรก (คันชายล้วน) ขับมาจอดค่ะ ก่อนที่จะเดินลงมาไล่หมู่มวลมนุษย์แขกที่มายืนจับกลุ่มเมาส์ค่ะ โอ้โห สวรรณ์มาโปรด (นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ไม่ควรทำแบบ จขกท. นะคะเวลาไปอินเดีย เวลาขึ้นรถแบบนี้หญิงล้วนอันตรายค่ะ ต้องมีผู้ชายมาด้วยถึงจะปลอดภัย)
6. ผู้ชายอินเดียเยอะมากกกกก
ตามอัตราส่วนประชากรเลยค่ะ แนะนำว่าถ้าเดินทางมา ควร มีผู้ชายร่วมเดินทางมาด้วยนะคะ ไม่งั้นอันตรายมากๆ ค่ะ
7. ชายอินเดียหน้าโหด แต่จิตใจโหมดคิตตี้
เอิ่ม... ข้อนี้ดูจะสวนทางจากเรื่องที่เล่ามาจากข้างบนมากค่ะ แต่มันเป็นเรื่องจริงนะคะ แต่ต้องเป็นในระดับชนชั้นกลางขึ้นไปนะคะ คือ หน้าโหดค่ะ ตามอินเดียสไตล์ แต่ความจริงคือขี้อายมากกกกก ไม่กล้าสบตาผู้หญิงค่ะ เขินมองนกมองไม้แบบเห็นได้ชัดค่ะ เจอครั้งแรกคือตลกมากเลยค่ะ เราเป็นไทยสไตล์คือเวลาคุยกับใครจะมองตาค่ะ แต่พอมาคุยกับคนที่นี้ คือเขาเขินมากค่ะ มุดไปอยู่หลังเพื่อนก็มีค่ะ (ฮ่า!) (สำหรับหนุ่มโสดนะคะ ถ้ามีลูกเมียแล้ว หรือเป็นนักธุรกิจ จะไม่รู้สึกอะไรค่ะ)
8. ขอทานเยอะมากค่ะ
วิธีป้องกันไม่ยากค่ะ แค่ไม่ให้ (ฮ่า!) ไม่ได้กวนนะคะ แต่เป็นเรื่องจริงค่ะ เราต้องใจแข็งค่ะ ทางที่ดีนะคะ ใส่แว่นกันแดดแบบสะท้อนค่ะ เขาจะมองไม่เห็นว่าเรามองไปทางไหน แล้วเราก็เชิดหน้า แบบถ่ายแบบใน The face เลยค่ะ ไม่สบตาใคร ส่วนมือก็กอดกระเป๋าตัวเองไว้แน่น กันไว้เวลาเดินข้างทางนะคะ แต่ถ้าอยู่ในรถไม่ต้องกลัวค่ะ มีกระจกกันไว้อยู่ แค่ไม่หันไปมอง เขาก็จะเปลี่ยนเป้าหมายไปเองค่ะ
9. ควรแลกแบงค์ย่อย 50 รูปี หรือต่ำกว่านั้นไว้เยอะๆ
เนื่องจากที่อินเดียนี่ อารมณ์เวลาเที่ยวคือทุกอย่างเป็นเงินเป็นทองหมดค่ะ ต้องมีทิปบริการตลอด (อาจจะมองว่าเราเป็นชาวต่างชาติ เลยขอทิปตลอด) แล้วก็ถ้าเราพกแบงค์ใหญ่นี่อาจเสียมากได้ และเป็นข้ออ้างเวลาซื้อของได้ด้วยค่ะ ว่าเรามีแต่แบงค์น้อยๆ พวกขายของนี่ชอบขาย 1,000 รูปีขึ้นค่ะ ตอนนั้นเจอผ้านพันคอของอินเดีย 10,000 รูปี หน้าสั่นเลยค่ะ (สภาพไม่น่าแพงเลยค่ะ) จะต่อราคาก็ไม่มั่นใจ
********************************************************************************************************************
ประมวลภาพระหว่างวัน ก่อนถึงโรงแรม
ทีหลังต้องพูดว่า “ชิดในค่ะๆ ชิดแบบอินเดียค่ะๆ” จขกท. จะได้กระโดดไปนั่งบนหลังคาให้รู้เล้วรู้รอดไปเลยค่ะ
****************************************************************************************************************