เลือกอะไรดี ระหว่างมนุษย์เงินเดือนนอกบ้าน กับ ช่วยธุรกิจที่บ้าน เงินเดือน 4,000
อาจจะยาวหน่อยนะคะ แต่ต้องการเพื่อนช่วยคิด ช่วยหาทางออกให้เรา ช่วยหน่อยนะคะ
เราเครียดมากค่ะ กับการเลือกทางเดินไปข้างหน้าของชีวิตเรา อยากจะมาปรึกษา อยากได้คำแนะนำ
อยากเห็นมุมมองความคิดจากคนอื่นๆบ้างน่ะค่ะ เพราะเราไม่รู้ว่าเราควรจะทำยังไงดีกับอนาคต
ปัจจุบัน เราจบปริญญาตรีมาตั้งแต่ปี 2553 ที่บ้านมีธุรกิจเป็นร้านอาหารรีสอร์ทมายาวนาน
เป็นธุรกิจที่พ่อแม่สร้างขึ้นมา เงินทั้งหมดทั้งมวลที่หล่อเลี้ยงเรา มาจากธุรกิจอันสุจริตนี้ล้วนทั้งสิ้น
สมัยเรียนปอตรี เราเป็นคนใช้เงินประหยัดมากค่ะ ไม่เคยขอเงินพ่อแม่มาเกินกว่าที่ท่านให้มา
เพราะด้วยค่าเทอม ค่ากิน ค่าหอที่ท่านจ่ายให้เรามาตลอด 4 ปี ท่านก็คงต้องรับภาระมามากพอแล้ว
เงินที่เราใช้ไปเที่ยวไปกินอะไรที่มากไปกว่านั้น ก็เจียดจากเงินที่ท่านให้มา ไม่เคยขอเพิ่มให้เดือดร้อน
จนท่านเอ่ยปากชมว่าเราใช้เงินประหยัดมาก เรียนจบมาโดดเด่นทั้งกิจกรรมมหาลัยและได้เกียรตินิยม
แต่เราไม่มีเงินเก็บเลยสักบาทนะคะ ไม่มีเลย ชีวิตคือมีเงินใช้แค่ไหน ก็ใช้เท่านั้น วันละ 150 บาท
หลังจากเรียนจบ พ่อกับแม่ ก็อยากให้กลับมาช่วยงานที่บ้าน เราขอท่านว่าอยากจะทำงานหาประสบการณ์
แล้วค่อยกลับไปทำงานที่บ้าน พ่อก็ไม่ค่อยชอบใจนัก ท่านเป็นคนที่คาดหวังกับลูกทุกคนว่าจะต้องทำตาม
ในสิ่งที่ท่านหวังไว้ แต่เราก็มองว่าเราไม่ได้ทำอะไรผิด ประสบการณ์เป็นสิ่งที่เราต้องเรียนรู้
ถ้าวันนึงเราต้องกลับไปเป็นทายาททางธุรกิจจริงๆ เราควรเรียนรู้จากการเป็นลูกจ้างที่ดีก่อน
เราใช้ชีวิตทำงานหาเงินนอกบ้าน ท่ามกลางความขุ่นมัวในใจของพ่อ แต่เราก็พยายามทำให้ดีที่สุด
เรียนรู้งานบริการ งานรีสอร์ท งานร้านอาหาร งานคอลเซ็นเตอร์ ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับธุรกิจเรา
หลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในกรุงเทพฯ ทำให้เราต้องย้ายกลับมาอยู่บ้านโดยกระทันหัน
เราต้องกลับมาเป็นเจ้าของธุรกิจจริงๆแล้วเหรอ ?
ลืมบอกไปค่ะว่า เรามีพี่ชายอีกคนนึง พี่เรามีครอบครัวแล้ว แต่ความคิดไม่ค่อยลงรอยกับพ่อเท่าไหร่
จะขัดแย้งกับพ่ออยู่หลายครั้ง ซึ่งทั้งพ่อและพี่ชายต่างคนต่างมีความคิด เหตุและผลที่แตกต่างกัน
ทำให้พี่เรา ไม่ค่อยได้มีโอกาสช่วยงานที่บ้านสักเท่าไหร่ โชคดีที่ยังมีพี่สะใภ้เป็นแรงสำคัญ
ช่วยงานที่บ้านเรา เรารักและนับถือพี่สะใภ้เรามาก เหมือนเป็นพี่สาวแท้ๆคนนึงของเราเลย
ปัญหาใหญ่ของครอบครัวเรา ส่วนหนึ่งมาจากการที่บ้านเราไปกู้เงินธนาคาร มาทำธุรกิจ
ทั้งหมดทั้งมวล บ้านเรามีหนี้รวมกว่า 6 ล้าน ซึ่งเราไม่รู้ว่าพ่อกับแม่ไปกู้มาตั้งแต่ตอนไหน
มารู้อีกที ตอนช่วงที่เรากำลังจะเรียนจบปอตรี ที่บ้านเริ่มทำธุรกิจเพิ่มอีกสาขา ด้วยเงินกู้เหล่านั้น
บนความขัดแย้งในใจจากคนในครอบครัว และพ่อก็ยังยืนยันที่จะดำเนินการสร้างธุรกิจเพิ่ม
ด้วยเหตุนี้เอง มันเริ่มทำให้ความสุขของครอบครัวเรา หายไป ทั้งภาระทางการเงินที่เพิ่มมากขึ้น
และภาระหน้าที่ที่ต้องแบ่งกันรับผิดชอบ ถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ทั้งที่พ่อไม่ได้ปรึกษาคนในครอบครัว
หรือพูดคุยกันก่อน ก่อนที่จะทำธุรกิจที่ใหญ่โตขึ้น แม่เรา เป็นคนที่ไม่ค่อยกล้าขัดกับพ่อ
เพราะแม่บอกเราเสมอว่า พ่อเขาไม่ฟังเราหรอก ท่านเป็นอดีตนักการเมืองท้องถิ่นที่ได้รับการยอมรับ
จากคนในสังคมมานาน ส่วนหนึ่งเราเข้าใจว่าท่านเป็นคนอย่างไร แต่เราไม่เข้าใจว่าทำไมไม่คุย
เรื่องนี้กับคนในครอบครัวก่อน เพราะแค่ธุรกิจเดียว ความแกร่งในการบริหารของเรายังไม่เพียงพอ
ทั้งเศรษฐกิจ การเมืองในยุคที่เรียกว่า ถ้าไม่มาเป็นผู้ประกอบการ คงไม่รู้ว่าขนหน้าแข้งมันเตียนไปหมด
การค้าขายมันติดขัดไปหมด ธุรกิจบ้านเรายิ่งถูกแยกออกไปเป็น 2 แห่ง ทำให้การเงินต้องถูกบีบ
ให้กระชับและวางแผนให้รอบคอบที่สุด จนสุดท้าย เราต้านทานกระแสความฝืดเคืองของเศรษฐกิจไม่ไหว
เราจำเป็นจะต้องปิดธุรกิจร้านแรกที่เปิดมาตั้งแต่เราอายุ 4 ขวบลง เหลือไว้แค่ธุรกิจที่พักที่ให้พี่ชาย
กับพี่สะใภ้ไว้ดูแล รับเงิน แต่ยังคงไว้สำหรับธุรกิจที่เปิดใหม่ของพ่อ เราต้องย้ายออกจากบ้านเดิม
มาอยู่บ้านใหม่กับพ่อแม่ ต้องแยกจากพี่ชายพี่สะใภ้และหลาน ที่เคยอยู่ด้วยกันมาเป็นครอบครัว
เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดความห่างเหิน
ในระหว่างนั้น ที่เราย้ายกลับจากกรุงเทพฯ มาอยู่บ้าน เราก็ช่วยงานที่บ้านมาตลอด ทำทุกอย่างที่ทำได้
ทั้งงานทำความสะอาด งานครัว งานบริการต้อนรับหน้าร้าน เสิร์ฟ คาราโอเกะ บัญชี ทุกอย่างที่ทำได้
ก่อนที่ธุรกิจแรกจะปิดตัว เราก็หมุนเวียนช่วยงานทั้ง 2 ธุรกิจ ที่ไหนมีงานเยอะก็แบ่งเวลาไปช่วยตลอด
เราได้เงินเดือนจากที่บ้าน 4,000 บาทต่อเดือน ซึ่งเราไม่เคยคิดน้อยใจอะไร และยังพยายามคิดหาเงิน
จากนอกบ้าน ที่ไม่ให้เดือดร้อนพ่อแม่ เราไปสมัครงานนอกบ้าน เป็นเจ้าหน้าที่ในสถานศึกษาใกล้บ้าน
ใกล้ชนิดที่เรียกว่า รั้วติดกัน เงินเดือนเดือนละ 11,500 บาท คิดว่าจะเก็บเงินสักก้อนไว้เรียนต่อปอโท
ระหว่างทำงานนอกบ้านก็ไม่ได้รับเงินเดือนจากที่บ้าน เราก็ไม่ได้อะไร เพราะเราเข้าใจว่านี่แหละคือเรา
กำลังช่วยแบ่งเบาภาระแม่อยู่นะ ท่านจะได้ไม่ต้องจ่ายเงินให้เรา เราหาเองได้ แต่ก็ยังช่วยงานที่บ้านอยู่
บนความขุ่นมัวในใจของพ่อเช่นเดิม กับการออกไปทำงานนอกบ้านของเรา ท่านมักจะพูดถึง
ลูกชายบ้านข้างๆ ที่เป็นเพื่อนเราเอง พ่อก็มักจะหยิบเอามาพูดถึงว่า เนี่ย เขาอยู่ช่วยงานพ่อแม่ที่บ้าน
ไม่เห็นจำเป็นต้องออกไปหาเงินนอกบ้านเลย .. เราฟังท่านพูด เรานี่นั่งน้ำตาไหลในรถเลย
เราก็เลยบอกว่า หนูอยากมีเงินเก็บบ้างน่ะพ่อ แล้วทุกวันนี้หนูก็ยังช่วยงานที่บ้านอยู่ด้วยไม่ใช่เหรอ
พ่อเราจะเป็นคนที่ถ้าพูดถึงอะไรแล้วก็จะพูดถึงอยู่บ่อยๆ ซ้ำๆ เรารู้สึกเหมือนถูกทิ่มแทงในใจตลอด
สุดท้ายพ่อต้องเลิกพูด เมื่อความจริงคือ สุดท้ายลูกชายบ้านข้างๆ ก็ออกจากบ้านไปทำงานซูเลี่ยน
เวลามีสัมมนา หรืออบรมอะไรที่น่าสนใจและเอามาประยุกต์กับบ้านเราได้ เราก็มักจะขออนุญาตพ่อแม่ไป
แต่หลายครั้ง พ่อแม่เราก็ไม่ค่อยพอใจกับการออกไปนอกบ้านของเรานัก ซึ่งเรียกว่าทุกครั้งก็ว่าได้
แต่ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา เรายืนยันได้เสมอ ว่าเราไม่ใช่คนที่บกพร่องต่อหน้าที่การเป็นลูกที่ดี
ไม่เคยมีเรื่องอะไรที่ทำให้ท่านหนักใจ เรามีแฟน เราก็บอกท่าน และพามาให้ท่านรู้จักเสมอ
ทุกอย่างเป็นไปตามกรอบที่ผู้ใหญ่มองเห็น ไม่งั้นเราคงเรียนไม่จบ ดื้อ เถลไถล ทั้งที่ไปเรียนไกลบ้าน
เดินทางไปและกลับ บ้านมหาลัย กว่า 200 กม. เดือนละ 3-4 ครั้ง ไม่เคยทอดทิ้งท่าน
เล่าต่อนะคะ ว่าหลังจากเราไปสมัครงานเป็นเจ้าหน้าที่ในสถานศึกษา ด้วยความที่ว่าใกล้บ้านมาก
ตอนเที่ยงเราก็จะกลับมากินข้าวที่บ้าน ถ้าที่บ้านมีงาน ก็จะอยู่ช่วยงานก่อน แล้วบ่ายก็กลับไปเข้างาน
คือไม่ให้เสียทั้งงานราษฎร์และงานหลวง หลังเลิกงานเสร็จห้าหกโมงเย็น ก็กลับมาอาบน้ำ
แต่งตัวช่วยงานที่บ้าน หมุนเวียนแบบนี้ จนมีเงินเก็บในระดับนึง ทำได้ 6 เดือน แต่สิ่งที่เกิดขึ้น
คือที่บ้าน เราเห็นแม่เราเหนื่อย ช่วงนั้นงานที่บ้านเข้ามาเยอะมาก เราจำต้องลาออกจากงานประจำ
เพราะสงสารแม่ ที่ท่านต้องแบกรับภาระหลายอย่าง พ่อก็อายุมากแล้ว เราเลยต้องลาออกมา
ช่วยงานที่บ้านอย่างเต็มรูปแบบ
จากวันนั้นที่เราย้ายจากกรุงเทพฯ กลับมาบ้าน จนถึงวันนี้กว่า 5 ปี
เราได้เงินจากที่บ้านเดือนละ 4,000 บาท เราเริ่มรู้สึกว่า เห่ย เรื่องเงินมันไม่ได้สำคัญเว้ย
แต่เราจะดำเนินชีวิตแบบหนอนกระดึ้บๆ แบบนี้ไปตลอดไม่ได้แล้วนะ เราเลยยอมใช้เงินสะสมที่มีทั้งหมด
ไปสมัครเรียนต่อปริญญาโท เพื่อออกไปเรียนรู้ สิ่งที่เราอยากรู้ และเอามันมาทำให้เป็นจริงสักที
เรามีสาขาเรียนในใจตั้งแต่หลังจากปอตรี ว่าจะเรียนต่อด้านนี้ เพื่อเอามาพัฒนาบ้านเกิด
เราสารภาพเลยว่าเรายอมทำอย่างนี้ ยอมใช้เงินทั้งหมดที่มี เสี่ยงไปในทางที่ทำให้การเงินเรา
ต้องควบคุมได้ยากขึ้น เงินเก็บเราหมดไปกับการเดินทางไปสอบ ไปสมัคร ค่าจิปาฐะ
เราพยายามจะส่งออกสินค้าจากทางบ้าน แต่ด้วยงบประมาณการเดินทางและทุนสนับสนุนเราไม่มี
ทำให้เรากำลังตกที่นั่งลำบาก แต่สิ่งที่เราแลกมาได้ คือ การที่พ่อแม่ไม่แอนตี้การที่เราออกนอกบ้าน
เพราะเรามาเรียนต่อ แต่ในระหว่างการเรียนต่อปริญญาโทของเรา นั่นแค่เฉพาะเสาร์และอาทิตย์
ส่วนวันปกติธรรมดา เราก็กลับบ้านไปช่วยงานที่บ้านเหมือนเดิม
สถานการณ์ทางการเงินของที่บ้าน ได้รับผลกระทบจากการกู้หนี้กว่า 6 ล้าน สะสมมาหลายปีเข้า
รวมถึงการบริหารจัดการธุรกิจที่ไม่ได้มีการพัฒนาและปรับให้สอดคล้องกับบริบทเศรษฐกิจในปัจจุบัน
หลายครั้งที่ความคิดเห็นที่ไม่ลงรอยของคนในครอบครัว บางครั้งความคิดหรือไอเดียที่ดี ไม่สามารถ
สู้กับอำนาจการตัดสินใจของคนโตได้ เราเลยไม่สามารถนำพาธุรกิจที่มีมานานมาปรับปรุงและพัฒนา
พ่อกับแม่เรา ไม่ค่อยจะเปิดโอกาสให้เรากับพี่ชายได้เสนอความคิดในการพัฒนาธุรกิจเท่าไหร่
จริงอยู่ที่ท่านมักจะถาม แต่ท่านไม่ค่อยได้เอาความคิดที่เราสองคนพี่น้องไปสังเคราะห์ใช้
มันเลยทำให้ทั้งเราและพี่ชาย ไม่รู้ว่าจะทำยังไงกับความเป็นไปของธุรกิจที่บ้านดี
ต่อให้เราคิดหรือเสนอไปดีเท่าไหร่ แต่ท่านก็ไม่เคยเอาไปใช้แก้ไขปัญหา
หลังจากเราตัดสินใจไปเรียนต่อปอโท ทำให้การเงินเราเริ่มแย่ลง แต่เราอยากใช้วิกฤตนี้
ที่เราเสี่ยงที่จะแลกมันมาให้เกิดประโยชน์ ด้วยการพยายามออกไปหา connection
ขายของจากที่บ้านเราเอง เราไม่มีทุน เราจึงต้องหยิบยืมต้นทุนจากที่บ้าน ไม่ใช่การขอเงิน
แต่เป็นการเอาของที่บ้านไปเสนอขาย หวังอยากให้เป็นสินค้าติดตลาด หวังจะหาเงินจากทางนี้
เพื่อช่วยทั้งตัวเราเอง และเป็นผลดีต่อธุรกิจทางบ้าน ล่าสุดมีลูกค้าที่มีชื่อติดตลาด
สนใจเอาของของเราไปขายต่อ แต่ก็ไม่ได้ทำการซื้อขายต่อเนื่อง ทำให้เรายังไม่ประสบความสำเร็จ
จนตอนนี้ การเงินเราแย่มาก .. เราไม่รู้ว่าเราจะทำยังไงกับชีวิตเราดี
เราอยากออกไปหางานทำนอกบ้านเหมือนกัน แต่เราก็สงสารที่บ้าน พนักงานก็ลาออก
แต่เราก็จะมีเงินเดือน 4,000 บาท ซึ่งใช้ไม่ค่อยพอ ต้องยืมแฟนบ้าง เพื่อนบ้างอยู่หลายครั้ง
ตอนนี้เราลองไปสมัครงาน แล้วบังเอิญเขาก็ติดต่อกลับมา รอเราตอบกลับไปว่าจะร่วมงานไหม
เราจะเลือกอะไรดี
ใจนึง ถ้าออกไปทำงานนอกบ้าน พ่อแม่คงผิดหวังและเสียใจ
แต่เราก็ไม่อยากจะเรียกร้องขอเงินจากท่านเพิ่มแน่ๆ หนี้สินที่บ้านเรามี
มันค้ำคอเรา จนทำให้เราไม่กล้าที่จะขอเงิน ซึ่งมันเป็นนิสัยเดิมๆของเรา
แต่ถ้าอยู่ช่วยงานที่บ้านไปแบบนี้เรื่อยๆ เราคงไม่มีเงินพอใช้แน่ๆ
ที่บ้านก็กำลังแบ่งขายที่ดิน 10 ไร่ ราคารวมล้านห้า เพื่อให้มีเงินหมุนเวียน
เราก็พยายามช่วยที่บ้านขาย ลงผ่านเน็ต ฝากบอกคนไปทั่ว
มีคนบอกให้ทำป้ายติดว่า ขาย เผื่อคนผ่านไปมาจะได้เห็น
ถ้าสนใจก็จะได้ติดต่อมา แต่พ่อก็ไม่ยอมทำ ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน
แต่ก็นั่นแหละ เศรษฐกิจแบบนี้ ใครจะซื้อที่ดิน ก็คงต้องคิดเยอะ
T^T ขอคำแนะนำ โปรดช่วยชี้แนะเราด้วย
เราจะพูดกับใครอะไรยังไง จะไปทางไหนดี ไม่รู้ว่าที่คิดน่ะ คิดผิดหรือคิดถูก
ขอบพระคุณล่วงหน้าด้วยค่ะ
เลือกอะไรดี ระหว่างมนุษย์เงินเดือนนอกบ้าน กับ ช่วยธุรกิจที่บ้าน เงินเดือน 4,000
อาจจะยาวหน่อยนะคะ แต่ต้องการเพื่อนช่วยคิด ช่วยหาทางออกให้เรา ช่วยหน่อยนะคะ
เราเครียดมากค่ะ กับการเลือกทางเดินไปข้างหน้าของชีวิตเรา อยากจะมาปรึกษา อยากได้คำแนะนำ
อยากเห็นมุมมองความคิดจากคนอื่นๆบ้างน่ะค่ะ เพราะเราไม่รู้ว่าเราควรจะทำยังไงดีกับอนาคต
ปัจจุบัน เราจบปริญญาตรีมาตั้งแต่ปี 2553 ที่บ้านมีธุรกิจเป็นร้านอาหารรีสอร์ทมายาวนาน
เป็นธุรกิจที่พ่อแม่สร้างขึ้นมา เงินทั้งหมดทั้งมวลที่หล่อเลี้ยงเรา มาจากธุรกิจอันสุจริตนี้ล้วนทั้งสิ้น
สมัยเรียนปอตรี เราเป็นคนใช้เงินประหยัดมากค่ะ ไม่เคยขอเงินพ่อแม่มาเกินกว่าที่ท่านให้มา
เพราะด้วยค่าเทอม ค่ากิน ค่าหอที่ท่านจ่ายให้เรามาตลอด 4 ปี ท่านก็คงต้องรับภาระมามากพอแล้ว
เงินที่เราใช้ไปเที่ยวไปกินอะไรที่มากไปกว่านั้น ก็เจียดจากเงินที่ท่านให้มา ไม่เคยขอเพิ่มให้เดือดร้อน
จนท่านเอ่ยปากชมว่าเราใช้เงินประหยัดมาก เรียนจบมาโดดเด่นทั้งกิจกรรมมหาลัยและได้เกียรตินิยม
แต่เราไม่มีเงินเก็บเลยสักบาทนะคะ ไม่มีเลย ชีวิตคือมีเงินใช้แค่ไหน ก็ใช้เท่านั้น วันละ 150 บาท
หลังจากเรียนจบ พ่อกับแม่ ก็อยากให้กลับมาช่วยงานที่บ้าน เราขอท่านว่าอยากจะทำงานหาประสบการณ์
แล้วค่อยกลับไปทำงานที่บ้าน พ่อก็ไม่ค่อยชอบใจนัก ท่านเป็นคนที่คาดหวังกับลูกทุกคนว่าจะต้องทำตาม
ในสิ่งที่ท่านหวังไว้ แต่เราก็มองว่าเราไม่ได้ทำอะไรผิด ประสบการณ์เป็นสิ่งที่เราต้องเรียนรู้
ถ้าวันนึงเราต้องกลับไปเป็นทายาททางธุรกิจจริงๆ เราควรเรียนรู้จากการเป็นลูกจ้างที่ดีก่อน
เราใช้ชีวิตทำงานหาเงินนอกบ้าน ท่ามกลางความขุ่นมัวในใจของพ่อ แต่เราก็พยายามทำให้ดีที่สุด
เรียนรู้งานบริการ งานรีสอร์ท งานร้านอาหาร งานคอลเซ็นเตอร์ ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับธุรกิจเรา
หลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในกรุงเทพฯ ทำให้เราต้องย้ายกลับมาอยู่บ้านโดยกระทันหัน
เราต้องกลับมาเป็นเจ้าของธุรกิจจริงๆแล้วเหรอ ?
ลืมบอกไปค่ะว่า เรามีพี่ชายอีกคนนึง พี่เรามีครอบครัวแล้ว แต่ความคิดไม่ค่อยลงรอยกับพ่อเท่าไหร่
จะขัดแย้งกับพ่ออยู่หลายครั้ง ซึ่งทั้งพ่อและพี่ชายต่างคนต่างมีความคิด เหตุและผลที่แตกต่างกัน
ทำให้พี่เรา ไม่ค่อยได้มีโอกาสช่วยงานที่บ้านสักเท่าไหร่ โชคดีที่ยังมีพี่สะใภ้เป็นแรงสำคัญ
ช่วยงานที่บ้านเรา เรารักและนับถือพี่สะใภ้เรามาก เหมือนเป็นพี่สาวแท้ๆคนนึงของเราเลย
ปัญหาใหญ่ของครอบครัวเรา ส่วนหนึ่งมาจากการที่บ้านเราไปกู้เงินธนาคาร มาทำธุรกิจ
ทั้งหมดทั้งมวล บ้านเรามีหนี้รวมกว่า 6 ล้าน ซึ่งเราไม่รู้ว่าพ่อกับแม่ไปกู้มาตั้งแต่ตอนไหน
มารู้อีกที ตอนช่วงที่เรากำลังจะเรียนจบปอตรี ที่บ้านเริ่มทำธุรกิจเพิ่มอีกสาขา ด้วยเงินกู้เหล่านั้น
บนความขัดแย้งในใจจากคนในครอบครัว และพ่อก็ยังยืนยันที่จะดำเนินการสร้างธุรกิจเพิ่ม
ด้วยเหตุนี้เอง มันเริ่มทำให้ความสุขของครอบครัวเรา หายไป ทั้งภาระทางการเงินที่เพิ่มมากขึ้น
และภาระหน้าที่ที่ต้องแบ่งกันรับผิดชอบ ถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ทั้งที่พ่อไม่ได้ปรึกษาคนในครอบครัว
หรือพูดคุยกันก่อน ก่อนที่จะทำธุรกิจที่ใหญ่โตขึ้น แม่เรา เป็นคนที่ไม่ค่อยกล้าขัดกับพ่อ
เพราะแม่บอกเราเสมอว่า พ่อเขาไม่ฟังเราหรอก ท่านเป็นอดีตนักการเมืองท้องถิ่นที่ได้รับการยอมรับ
จากคนในสังคมมานาน ส่วนหนึ่งเราเข้าใจว่าท่านเป็นคนอย่างไร แต่เราไม่เข้าใจว่าทำไมไม่คุย
เรื่องนี้กับคนในครอบครัวก่อน เพราะแค่ธุรกิจเดียว ความแกร่งในการบริหารของเรายังไม่เพียงพอ
ทั้งเศรษฐกิจ การเมืองในยุคที่เรียกว่า ถ้าไม่มาเป็นผู้ประกอบการ คงไม่รู้ว่าขนหน้าแข้งมันเตียนไปหมด
การค้าขายมันติดขัดไปหมด ธุรกิจบ้านเรายิ่งถูกแยกออกไปเป็น 2 แห่ง ทำให้การเงินต้องถูกบีบ
ให้กระชับและวางแผนให้รอบคอบที่สุด จนสุดท้าย เราต้านทานกระแสความฝืดเคืองของเศรษฐกิจไม่ไหว
เราจำเป็นจะต้องปิดธุรกิจร้านแรกที่เปิดมาตั้งแต่เราอายุ 4 ขวบลง เหลือไว้แค่ธุรกิจที่พักที่ให้พี่ชาย
กับพี่สะใภ้ไว้ดูแล รับเงิน แต่ยังคงไว้สำหรับธุรกิจที่เปิดใหม่ของพ่อ เราต้องย้ายออกจากบ้านเดิม
มาอยู่บ้านใหม่กับพ่อแม่ ต้องแยกจากพี่ชายพี่สะใภ้และหลาน ที่เคยอยู่ด้วยกันมาเป็นครอบครัว
เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดความห่างเหิน
ในระหว่างนั้น ที่เราย้ายกลับจากกรุงเทพฯ มาอยู่บ้าน เราก็ช่วยงานที่บ้านมาตลอด ทำทุกอย่างที่ทำได้
ทั้งงานทำความสะอาด งานครัว งานบริการต้อนรับหน้าร้าน เสิร์ฟ คาราโอเกะ บัญชี ทุกอย่างที่ทำได้
ก่อนที่ธุรกิจแรกจะปิดตัว เราก็หมุนเวียนช่วยงานทั้ง 2 ธุรกิจ ที่ไหนมีงานเยอะก็แบ่งเวลาไปช่วยตลอด
เราได้เงินเดือนจากที่บ้าน 4,000 บาทต่อเดือน ซึ่งเราไม่เคยคิดน้อยใจอะไร และยังพยายามคิดหาเงิน
จากนอกบ้าน ที่ไม่ให้เดือดร้อนพ่อแม่ เราไปสมัครงานนอกบ้าน เป็นเจ้าหน้าที่ในสถานศึกษาใกล้บ้าน
ใกล้ชนิดที่เรียกว่า รั้วติดกัน เงินเดือนเดือนละ 11,500 บาท คิดว่าจะเก็บเงินสักก้อนไว้เรียนต่อปอโท
ระหว่างทำงานนอกบ้านก็ไม่ได้รับเงินเดือนจากที่บ้าน เราก็ไม่ได้อะไร เพราะเราเข้าใจว่านี่แหละคือเรา
กำลังช่วยแบ่งเบาภาระแม่อยู่นะ ท่านจะได้ไม่ต้องจ่ายเงินให้เรา เราหาเองได้ แต่ก็ยังช่วยงานที่บ้านอยู่
บนความขุ่นมัวในใจของพ่อเช่นเดิม กับการออกไปทำงานนอกบ้านของเรา ท่านมักจะพูดถึง
ลูกชายบ้านข้างๆ ที่เป็นเพื่อนเราเอง พ่อก็มักจะหยิบเอามาพูดถึงว่า เนี่ย เขาอยู่ช่วยงานพ่อแม่ที่บ้าน
ไม่เห็นจำเป็นต้องออกไปหาเงินนอกบ้านเลย .. เราฟังท่านพูด เรานี่นั่งน้ำตาไหลในรถเลย
เราก็เลยบอกว่า หนูอยากมีเงินเก็บบ้างน่ะพ่อ แล้วทุกวันนี้หนูก็ยังช่วยงานที่บ้านอยู่ด้วยไม่ใช่เหรอ
พ่อเราจะเป็นคนที่ถ้าพูดถึงอะไรแล้วก็จะพูดถึงอยู่บ่อยๆ ซ้ำๆ เรารู้สึกเหมือนถูกทิ่มแทงในใจตลอด
สุดท้ายพ่อต้องเลิกพูด เมื่อความจริงคือ สุดท้ายลูกชายบ้านข้างๆ ก็ออกจากบ้านไปทำงานซูเลี่ยน
เวลามีสัมมนา หรืออบรมอะไรที่น่าสนใจและเอามาประยุกต์กับบ้านเราได้ เราก็มักจะขออนุญาตพ่อแม่ไป
แต่หลายครั้ง พ่อแม่เราก็ไม่ค่อยพอใจกับการออกไปนอกบ้านของเรานัก ซึ่งเรียกว่าทุกครั้งก็ว่าได้
แต่ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา เรายืนยันได้เสมอ ว่าเราไม่ใช่คนที่บกพร่องต่อหน้าที่การเป็นลูกที่ดี
ไม่เคยมีเรื่องอะไรที่ทำให้ท่านหนักใจ เรามีแฟน เราก็บอกท่าน และพามาให้ท่านรู้จักเสมอ
ทุกอย่างเป็นไปตามกรอบที่ผู้ใหญ่มองเห็น ไม่งั้นเราคงเรียนไม่จบ ดื้อ เถลไถล ทั้งที่ไปเรียนไกลบ้าน
เดินทางไปและกลับ บ้านมหาลัย กว่า 200 กม. เดือนละ 3-4 ครั้ง ไม่เคยทอดทิ้งท่าน
เล่าต่อนะคะ ว่าหลังจากเราไปสมัครงานเป็นเจ้าหน้าที่ในสถานศึกษา ด้วยความที่ว่าใกล้บ้านมาก
ตอนเที่ยงเราก็จะกลับมากินข้าวที่บ้าน ถ้าที่บ้านมีงาน ก็จะอยู่ช่วยงานก่อน แล้วบ่ายก็กลับไปเข้างาน
คือไม่ให้เสียทั้งงานราษฎร์และงานหลวง หลังเลิกงานเสร็จห้าหกโมงเย็น ก็กลับมาอาบน้ำ
แต่งตัวช่วยงานที่บ้าน หมุนเวียนแบบนี้ จนมีเงินเก็บในระดับนึง ทำได้ 6 เดือน แต่สิ่งที่เกิดขึ้น
คือที่บ้าน เราเห็นแม่เราเหนื่อย ช่วงนั้นงานที่บ้านเข้ามาเยอะมาก เราจำต้องลาออกจากงานประจำ
เพราะสงสารแม่ ที่ท่านต้องแบกรับภาระหลายอย่าง พ่อก็อายุมากแล้ว เราเลยต้องลาออกมา
ช่วยงานที่บ้านอย่างเต็มรูปแบบ
จากวันนั้นที่เราย้ายจากกรุงเทพฯ กลับมาบ้าน จนถึงวันนี้กว่า 5 ปี
เราได้เงินจากที่บ้านเดือนละ 4,000 บาท เราเริ่มรู้สึกว่า เห่ย เรื่องเงินมันไม่ได้สำคัญเว้ย
แต่เราจะดำเนินชีวิตแบบหนอนกระดึ้บๆ แบบนี้ไปตลอดไม่ได้แล้วนะ เราเลยยอมใช้เงินสะสมที่มีทั้งหมด
ไปสมัครเรียนต่อปริญญาโท เพื่อออกไปเรียนรู้ สิ่งที่เราอยากรู้ และเอามันมาทำให้เป็นจริงสักที
เรามีสาขาเรียนในใจตั้งแต่หลังจากปอตรี ว่าจะเรียนต่อด้านนี้ เพื่อเอามาพัฒนาบ้านเกิด
เราสารภาพเลยว่าเรายอมทำอย่างนี้ ยอมใช้เงินทั้งหมดที่มี เสี่ยงไปในทางที่ทำให้การเงินเรา
ต้องควบคุมได้ยากขึ้น เงินเก็บเราหมดไปกับการเดินทางไปสอบ ไปสมัคร ค่าจิปาฐะ
เราพยายามจะส่งออกสินค้าจากทางบ้าน แต่ด้วยงบประมาณการเดินทางและทุนสนับสนุนเราไม่มี
ทำให้เรากำลังตกที่นั่งลำบาก แต่สิ่งที่เราแลกมาได้ คือ การที่พ่อแม่ไม่แอนตี้การที่เราออกนอกบ้าน
เพราะเรามาเรียนต่อ แต่ในระหว่างการเรียนต่อปริญญาโทของเรา นั่นแค่เฉพาะเสาร์และอาทิตย์
ส่วนวันปกติธรรมดา เราก็กลับบ้านไปช่วยงานที่บ้านเหมือนเดิม
สถานการณ์ทางการเงินของที่บ้าน ได้รับผลกระทบจากการกู้หนี้กว่า 6 ล้าน สะสมมาหลายปีเข้า
รวมถึงการบริหารจัดการธุรกิจที่ไม่ได้มีการพัฒนาและปรับให้สอดคล้องกับบริบทเศรษฐกิจในปัจจุบัน
หลายครั้งที่ความคิดเห็นที่ไม่ลงรอยของคนในครอบครัว บางครั้งความคิดหรือไอเดียที่ดี ไม่สามารถ
สู้กับอำนาจการตัดสินใจของคนโตได้ เราเลยไม่สามารถนำพาธุรกิจที่มีมานานมาปรับปรุงและพัฒนา
พ่อกับแม่เรา ไม่ค่อยจะเปิดโอกาสให้เรากับพี่ชายได้เสนอความคิดในการพัฒนาธุรกิจเท่าไหร่
จริงอยู่ที่ท่านมักจะถาม แต่ท่านไม่ค่อยได้เอาความคิดที่เราสองคนพี่น้องไปสังเคราะห์ใช้
มันเลยทำให้ทั้งเราและพี่ชาย ไม่รู้ว่าจะทำยังไงกับความเป็นไปของธุรกิจที่บ้านดี
ต่อให้เราคิดหรือเสนอไปดีเท่าไหร่ แต่ท่านก็ไม่เคยเอาไปใช้แก้ไขปัญหา
หลังจากเราตัดสินใจไปเรียนต่อปอโท ทำให้การเงินเราเริ่มแย่ลง แต่เราอยากใช้วิกฤตนี้
ที่เราเสี่ยงที่จะแลกมันมาให้เกิดประโยชน์ ด้วยการพยายามออกไปหา connection
ขายของจากที่บ้านเราเอง เราไม่มีทุน เราจึงต้องหยิบยืมต้นทุนจากที่บ้าน ไม่ใช่การขอเงิน
แต่เป็นการเอาของที่บ้านไปเสนอขาย หวังอยากให้เป็นสินค้าติดตลาด หวังจะหาเงินจากทางนี้
เพื่อช่วยทั้งตัวเราเอง และเป็นผลดีต่อธุรกิจทางบ้าน ล่าสุดมีลูกค้าที่มีชื่อติดตลาด
สนใจเอาของของเราไปขายต่อ แต่ก็ไม่ได้ทำการซื้อขายต่อเนื่อง ทำให้เรายังไม่ประสบความสำเร็จ
จนตอนนี้ การเงินเราแย่มาก .. เราไม่รู้ว่าเราจะทำยังไงกับชีวิตเราดี
เราอยากออกไปหางานทำนอกบ้านเหมือนกัน แต่เราก็สงสารที่บ้าน พนักงานก็ลาออก
แต่เราก็จะมีเงินเดือน 4,000 บาท ซึ่งใช้ไม่ค่อยพอ ต้องยืมแฟนบ้าง เพื่อนบ้างอยู่หลายครั้ง
ตอนนี้เราลองไปสมัครงาน แล้วบังเอิญเขาก็ติดต่อกลับมา รอเราตอบกลับไปว่าจะร่วมงานไหม
เราจะเลือกอะไรดี
ใจนึง ถ้าออกไปทำงานนอกบ้าน พ่อแม่คงผิดหวังและเสียใจ
แต่เราก็ไม่อยากจะเรียกร้องขอเงินจากท่านเพิ่มแน่ๆ หนี้สินที่บ้านเรามี
มันค้ำคอเรา จนทำให้เราไม่กล้าที่จะขอเงิน ซึ่งมันเป็นนิสัยเดิมๆของเรา
แต่ถ้าอยู่ช่วยงานที่บ้านไปแบบนี้เรื่อยๆ เราคงไม่มีเงินพอใช้แน่ๆ
ที่บ้านก็กำลังแบ่งขายที่ดิน 10 ไร่ ราคารวมล้านห้า เพื่อให้มีเงินหมุนเวียน
เราก็พยายามช่วยที่บ้านขาย ลงผ่านเน็ต ฝากบอกคนไปทั่ว
มีคนบอกให้ทำป้ายติดว่า ขาย เผื่อคนผ่านไปมาจะได้เห็น
ถ้าสนใจก็จะได้ติดต่อมา แต่พ่อก็ไม่ยอมทำ ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน
แต่ก็นั่นแหละ เศรษฐกิจแบบนี้ ใครจะซื้อที่ดิน ก็คงต้องคิดเยอะ
T^T ขอคำแนะนำ โปรดช่วยชี้แนะเราด้วย
เราจะพูดกับใครอะไรยังไง จะไปทางไหนดี ไม่รู้ว่าที่คิดน่ะ คิดผิดหรือคิดถูก
ขอบพระคุณล่วงหน้าด้วยค่ะ