จิตเดิมแท้ประภัสสร

จิตของเด็กทุกคนที่เพิ่งเกิดมาใหม่ๆนั้นจะมีความประภัสสร (คือบริสุทธิ์หรือไม่มีกิเลส ไม่มีอุปาทานหรือความยึดถือว่าจิตใจและร่างกายนี้คือตนเอง) อยู่แล้วตามธรรมชาติ ซึ่งจิตที่ประภัสสรนี้เองที่มีนิพพานหรือความสงบเย็น (เพราะไม่มีความทุกข์) อยู่แล้วตามธรรมชาติ ซึ่งจิตของสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายนั้น เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วแม้จะไม่มีกิเลสและความยึดถือว่ามีตนเองอยู่แล้วตามธรรมชาติก็ตาม แต่มันก็มีสัญชาติญาณ (ความรู้ที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับจิตโดยไม่ต้องมีใครสอน) ว่ามีตนเองเกิดขึ้นมาด้วยเล็กน้อย

สัญชาติญาณหรือความรู้ว่ามีตนเองนี้เองที่ทำให้ทุกชีวิตเมื่อเกิดมาแล้วจึงเกิดความรู้สึกว่ามีตนเองอยู่จริงๆ เมื่อทุกชีวิตมีความรู้สึกว่ามีตนเอง จึงทำให้รักตนเอง เมื่อรักตนเองจึงทำให้พยายามเอาตัวรอด จึงทำให้เกิดสัญชาติญาณหรือความรู้อื่นๆตามมาอีก เช่น สัญชาติญาณในการหาอาหาร กินอาหาร สืบพันธ์ เลี้ยงลูก หนีภัย เป็นต้น ดังนั้นสัญชาติญาณว่ามีตนเองจึงเป็นสัญชาติญาณใหญ่ที่ทำให้เกิดสัญชาติญาณอื่นๆตามมาอีก ถ้าสิ่งที่มีชีวิตใดไม่มีสัญชาติญาณว่ามีคตนเอง สิ่งที่มีชีวิตนั้นก็ย่อมที่จะสูญพันธ์ไปจากโลก ซึ่งสัญชาติญาณหรือความรู้ว่ามีตนเองนี้เอง ที่ทางพุทธศาสนาจัดว่าเป็น อวิชชา ที่หมายถึง ความไม่รู้ คือเป็นความโง่สูงสุดของจิตที่ไม่รู้จักความจริงสูงสุดของธรรมชาติในเรื่องที่ว่ามันไม่มีตัวเราอยู่จริง คือสรุปแล้วหมายถึงว่า ความรู้ว่ามีตนเองนี้มันเป็นความโง่สูงสุดของมนุษย์

อวิชชา (ความรู้ว่ามีตนเอง) นี้เองที่เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วมันก็จะมาครอบงำจิต แล้วทำให้จิตของเด็กทุกคนที่แม้เพิ่งเกิดขึ้นมาเกิดความรู้สึกว่ามีตนเองอยู่ตลอดเวลา แม้จะยังไม่เกิดกิเลสและความยึดถือว่ามีตนเองก็ตาม แต่เมื่อจิตของเด็กนั้นได้รับรู้สิ่งต่างๆของโลกผ่าน ตา หู จูก ลิ้น และกาย (เช่นเมื่อแม่เอานมให้ลูกดูดกิน) ก็ย่อมที่จะทำให้เกิดความรู้สึกขึ้นมาแก่จิตของเด็ก (เช่นเมื่อเด็กได้ดูดนมก็จะเกิดความรู้สึกอร่อยหรือน่าพอใจ) เมื่อเกิดความรู้สึกขึ้นมาแล้วก็จะทำให้เกิดกิเลสตามมาทันทีตามสัญาชาติญาณว่ามีตนเอง (คือเกิดความพอใจในความเอร็ดร่อย) เมื่อเกิดกิเลสแล้วก็จะเกิดความยึดถือว่ามีตนเองที่เป็นผู้มีกิเลสเกิดขึ้นตามมาทันที (คือเกิดความยึดถือว่ามตัวเองที่เป็นผู้มีความพอใจในความเอร็ดอร่อย) ซึ่งทุกครั้งที่จิตของเด็กนั้นเกิดกิเลส ก็จะทำให้ความประภัสสรและนิพพานหรือความสงบเย็นของจิตที่มีอยู่ก่อนนั้นหายไปทันที แต่พอกิเลสดับหายไป (เพราะมันไม่เที่ยง) ความประภัสสรและนิพพานก็จะกลับมาปรากฏได้อีกเรื่อยไป

ทุกครั้งที่จิตของเด็กเกิดกิเลสและดับหายไป มันก็จะทิ้งความเคยชิน (อนุสัย) เอาใว้ให้แก่จิต ยิ่งเมื่อเด็กนั้นโตขึ้น ก็ย่อมที่จะเคยเกิดกิเลสมาแล้วมากมาย จึงเท่ากับมีความเคยชินของกิเลสมากตามไปด้วย ดังนั้นเมื่อจิตของเด็กที่โตแล้วนั้นได้รับรู้สิ่งต่างๆของโลก แล้วเกิดความรู้สึกต่างๆขึ้น (เกิดเวทนา) ความเคยชินของกิเลสจึงได้ไหลออกมา (ที่เรียกว่าอาสวะกิเลส) เป็นกิเลสและความยึดถือว่ามีตนเองขึ้นมาอีกได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว ชนิดที่ห้ามได้ยากหรือแทบไม่ได้เลย นี่เองที่ทำให้จิตของเรานั้นเกิดความทุกข์ขึ้นมาตามความยึดถือว่ามีตัวเรา เพราะมีอวิชชาเป็นต้นเหตุ แต่เมื่อกิเลสดับหายไป ความยึดถือว่ามีตัวเราและความทุกข์ก็จะพลอยดับหายตามไปด้วยทันที แล้วความประภัสสรของจิตและนิพพานก็จะกลับมาปรากฎได้อีก (จะไม่ใช้คำว่าเกิดกับนิพพาน เพราะนิพพานไม่มีการเกิด คือคำว่า ปรากฏ จะหมายถึง มันมีอยู่แล้วตลอดเวลา แต่มันถูกปิดบังหรือครอบงำจากสิ่งอื่นเอาไว้ พอเอาสิ่งที่ปิดบังหรือครอบงำนั้นออกไป เราก็จะพบสิ่งที่ถูกปิดบังหรือครอบงำนั้นทันที)

สรุปได้ว่า จิตดั้งเดิม (จิตเดิมแท้) ของมนุษย์คนนั้นจะไม่มีกิเลสและความยึดถือว่ามีตนเองอยู่แล้วทุกคน แต่เพราะมีอวิชชาครอบงำและได้รับการอบรมสั่งสอนที่แตกต่างกัน จึงทำให้จิตของเด็กทั้งหลายเกิดความรู้สึกและยึดถือว่ามีตนเองที่แตกต่างกันขึ้นมา แล้วก็ทำให้มนุษย์ทั้งหลายเกิดความเห็นแก่ตัวขึ้นมา ซึ่งความเห็นแก่ตัวนี้เองที่ทำให้เกิดความทุกข์แก่จิตใจของตนเอง และยังทำให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบหรือเบียดเบียนชีวิตของคนอื่นรวมทั้งสัตว์ทั้งหลายและแม้พืชทั้งหลายด้วย จนทำให้สังคมมนุษย์มีแต่ความเดือดร้อนวุ่นวายและโลกมีแต่วิกฤติการณ์จนหาสันติภาพไม่ได้อย่างเช่นในปัจจุบัน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่