‎ผลตรวจ HIV ผิดพลาดได้จริงหรือเปล่า‬ ?

จริงๆ ต้องบอกว่ามีคนถามเรื่องนี้เข้ามามาก หมอเลยอยากจะอธิบายเรื่องนี้ใน ฐานคนนอก ( ไม่ได้รู้เรื่องราวทั้งหมด แต่รู้จากสื่อ ) โดยหมอจะขอรวบรวมคำถามทั้งหมดมาให้คำตอบดังนี้ครับ
1.‪‎ผลตรวจHIVผิดพลาดได้จริงหรือเปล่า‬ ?
ตอบ : จริงครับ ผลที่ได้จะเรียกว่า ผลบวกปลอม ( ไม่ได้ป่วยแต่ผลเลือดบอกว่าป่วย ) ซึ่งพบได้ 0.3 % และ แน่นอนว่า แม้ตรวจว่าผลเป็น ลบ ก็มีผลลบปลอม ( ป่วยแต่ตรวจแล้วไม่พบ ) ได้ 0.3 % เช่นกัน‬
2. ‪ในกรณีตรวจHIVแล้วได้ผลบวกจำเป็นต้องมีการตรวจซ้ำหรือไม่‬‬ ?
ตอบ : ถ้าได้ผลบวก จำเป็นต้องบอกผู้ป่วย และแนะนำตรวจซ้ำอย่างน้อยอีก 2ครั้งจึงยืนยันผล สรุปว่า ต้องตรวจเลือดอย่างน้อย 3 ครั้งและ ต้องได้ผลบวกทั้ง 3 ครั้ง ( ทั้งนี้ทั้งนั้น ขึ้นกับ ชนิดของการตรวจด้วยว่าเป็นชนิดไหน... ตรงนี้หมอจะไม่ลงรายละเอียดนะครับ )
3.‪‎เมื่อได้ผลเลือดเป็นHIVแน่แล้วทำอย่างไรต่อ‬ ?
ตอบ : ตรวจร่างกายในส่วนอื่นๆของคนไข้ว่าป่วยด้วยโรคแทรกซ้อนอื่นๆหรือไม่ และทำการรักษา เตรียมร่างกายผู้ป่วยให้พร้อมก่อนที่จะรับยาต้านไวรัส‬
4. ‪‎ก่อนให้ยาต้านไวรัสนั้นจำเป็นต้อเจาะเลือดอีกไหมถ้าเจาะเจาะดูอะไร‬‬?
ตอบ : ก่อนจะให้ยาต้านไวรัส แพทย์จำเป็นต้องเจาะ ดูระดับเม็ดเลือดขาวที่เรียกว่า ‪#‎CD4‬‬ ก่อน เพื่อเป็นแนวทางการติดตามผลของการให้ยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่อง
5. ‪การให้ยาต้านไวรัสดูอย่างไรว่ายาได้ผลหรือไวรัสดื้อต่อยา‬‬ ?
ตอบ การจะดูว่ายาต้านไวรัสสูตรที่ให้ได้ผลหรือไม่ ดูจากการเจาะเลือดอีกที่เรียกว่า ‪#‎Viral‬‬ load testing เพื่อดูปริมาณของเชื้อไวรัสว่า หลังจากได้ยาต้านไวรัสไประยะหนึ่งนั้น จำนวนไวรัสลดลงหรือไม่
หลังจากที่ทุกท่านอ่านคำถาม-ตอบแล้ว ย่อมมีคำถามเกิดขึ้นว่า จากแนวทางการรักษา นั้นแทบจะมีการเจาะเลือดคนไข้เกือบตลอด แทบทุก 3 /6 /12 เดือน
โดยเฉพาะ Viral Load ( ซึ่งเป็นการวัดปริมาณเชื้อ HIV ) ??
ในฐานคนนอกที่ได้ยินข่าวมา หมอจึงสงสัยว่า ในระยะเวล4ปีที่คนไข้รักษาอยู่ด้วยตลอดนั้น แพทย์น่าจะมีการตรวจเลือดอยู่หลายครั้ง แพทย์ผู้รักษา ย่อมต้องเห็นผลเลือดไม่ว่าจะเป็น ผล CD4 และ ผล Viral Load อย่างต่อเนื่อง... เพราะต้องมีการปรับให้ยามาตลอด และ เมื่อคนไข้มาขอตรวจเลือด ซ้ำแล้วไม่พบว่า มี เชื้อ HIV อยู่ในร่างกายนั้น น่าที่จะบอกได้ 3 อย่างคือ
1. คนไข้มีปริมาณ เชื้อ HIV ( ลดลงจน ตรวจไม่เจอ ซึ่งอาจต้องตรวจซ้ำ เพราะอย่างที่กล่าวมาข้างต้นว่า มีผลลบลวงได้เช่นกันยิ่งถ้าคนไข้ได้รับการรักษามาแล้ว ถึง 4 ปี )
2. ถ้าตรวจสอบประวัติการรักษาย้อนหลังทั้งหมด ตลอด 4 ปี แล้วพบความผิดปกติอื่นๆที่ น่าสงสัยว่าคนไข้ไม่ได้ป่วยอันนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่
3. การสื่อสารกันระหว่าง หมอกับเจ้าของไข้ที่อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิด เช่น หมอบอกว่า ปัจจุบันตรวจไม่พบ เชื้อ HIV แล้วนะ ( ในความหมายคือ ตรวจไม่พบในขณะนั้น แต่ไม่ได้หมายความว่าก่อนหน้านั้นไม่ได้ไม่มีเชื้อ HIV ) แต่คนไข้เข้าใจผิด ว่าไม่ได้เป็นมาตั้งแต่ต้น และคิดว่าจะไม่มีเชื้อได้ยังงัย เพราะศึกษามาแล้วว่า HIV ต้องทานยาตลอดชีวิต
อย่างไรก็ตาม คงต้องมีการพูดคุยกันว่า แท้จริงเกิดอะไรขึ้นแน่ เพราะไม่งั้นอาจเกิด วิกฤตศรัทธาระหว่างหมอกับคนไข้ เราคนทั่วไปหรือแม้แต่ตัวหมอเอง ปฏิเสธไม่ได้ว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องธรรมชาติ และ เราคงปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่า เกิด แก่ เจ็บ และ ตาย เราย่อมหลีกเลี่ยงที่จะไม่เจอหมอไม่ได้เช่นกัน
ฉะนั้น เมื่อความสัมพันธ์ระหว่างหมอกับคนไข้ แนบแน่นซ่ะขนาดนั้น ไม่ต่างจาก ลิ้นกับฟันที่ยังงัยก็ต้องสัมผัสและเจอกันอยู่ตลอดเวลา
ขอขอบคุณข้อมูลจาก    ทีมแพทย์ฯ‬เฉพาะทางบาทเดียว

Report : LIV Capsule
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่