น้อมเกล้าถวายความอาลัย น้อมระลึกถึงพระคุณ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

น้อมระลึกถึงพระคุณ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก พระผู้ถึงพร้อมด้วย “ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ”

       ตลอดพระชนม์ชีพของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก นับแต่ทรงบรรพชาอุปสมบท
จนถึงวันที่ทรงละสรีระสังขารไปเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2556 สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 19 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์พระองค์นี้
เพียบพร้อมไปด้วยวัตรปฏิบัติและปฏิปทาอันงด งาม ทรงเป็น “พระผู้เจริญพร้อม” ทั้ง “ปริยัติ ปฏิบัติและปฏิเวธ” สมกับเป็น
ผู้สืบทอดบวรพระพุทธศาสนาจากองค์พระศาสดา พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน พ.ศ.2552 ได้
ให้ความหมายของคำทั้ง 3 คำไว้ว่า ปริยัติ หมายถึง การเล่าเรียนพระไตรปิฎก ปฏิบัติ หมายถึง การดำเนินการไปตามระเบียบ
แบบแผน การกระทำเพื่อให้เกิดความชำนาญ ปฏิเวธ หมายถึง เข้าใจตลอด ลุล่วงผลปฏิบัติ ด้วยเหตุดังกล่าว เจ้าประคุณ
สมเด็จฯ จึงเป็นที่เคารพสักการะของพุทธศาสนิกชน ไม่เพียงเฉพาะแต่ในประเทศไทย หากแต่ตลอดรวมไปถึงทั่วโลก

    สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงมีความใฝ่เรียนและใฝ่รู้ที่มั่นคงสม่ำเสมอในตัว
พระองค์ท่าน โดยเฉพาะในทาง พระพุทธศาสนานับแต่สมัยเป็น พระภิกษุหนุ่มจากต่างจังหวัด กระทั่งเข้ามาถวายตัวศึกษา
พระปริยัติธรรมกับสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ที่วัดบวรนิเวศวิหาร และต่อมาได้รับโปรดเกล้าฯ สถาปนา
เป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 19 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ภายในปีแรกที่เข้ามาอยู่ที่วัดบวรนิเวศวิหาร เจ้าประคุณสมเด็จฯ
เมื่อครั้งเป็นสามเณรสามารถสอบได้นักธรรมชั้นตรี ถัดมาปี พ.ศ.2473 อายุ 18 ปี สอบได้นักธรรมชั้นโทและเปรียญธรรม
3 ประโยค และสอบได้ทั้งนักธรรมชั้นเอกและเปรียญธรรม 4 ประโยคในปี พ.ศ.2475 ขณะที่เปรียญธรรม 5 ประโยคเป็นต้น
ไป เจ้าประคุณสมเด็จฯ สอบได้ชั้นสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ชนิดแทบจะเรียกได้ว่า “ปีเว้นปี” กระทั่งสอบได้เปรียญธรรม 9 ประโยค
อันถือเป็นระดับชั้นสูงสุดในปี พ.ศ.2484 ขณะมีอายุได้ 29 ปีและมีพรรษาได้เพียง 9 พรรษาเท่านั้น ไม่เพียงแต่ด้านปริยัติ
เท่านั้น เจ้าประคุณสมเด็จฯ ยังมีความถึงพร้อมทางด้าน “ปฏิบัติ” อีกด้วย โดยเจ้าประคุณสมเด็จ ทรงเจริญสมาธิกรรมฐาน
เป็นประจำอย่างต่อเนื่องแม้ว่าพระองค์จะประทับอยู่ใน พระอารามที่อยู่ท่ามกลางบ้านเมืองที่เรียกว่า “คามวาสี” แต่ก็ทรง
ปฏิบัติพระองค์ตามอย่างของพระที่ประจำอยู่ในวัดท่ามกลางป่าเขาที่เรียกว่า “อรัญวาสี” นอกจากนั้นนับแต่ทรงดำรงสมณ
ศักดิ์ที่พระสาสนโสภณ เจ้าประคุณสมเด็จฯ มักเสด็จไปปฏิบัติกรรมฐาน ณ สำนักวัดป่าในภาคอีสานช่วงปลายปีเสมอ จึง
ทรงได้รับการยอมรับจากพระสายวัดป่าว่า พระกรรมฐานกลางกรุง คำถามที่ 32 ซึ่งบันทึกไว้ในหนังสือ “99 คำถามเกี่ยว
กับสมเด็จพระสังฆราช” ถามเอาไว้ว่า “หลายคนบอกว่าทรงสื่อสารทางจิตได้” คำตอบที่หนังสือเล่มนี้ซึ่งจัดพิมพ์เป็นที่
ระลึกในงานบำเพ็ญพระกุศล คล้ายวันประสูติเจริญพระชันษา 99 พรรษา วันที่ 3 ตุลาคม 2555 บันทึกเอาไว้ว่า “มีบางคน
เข้าใจเช่นนั้น ก็อาจเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ แต่ผู้ที่จะตอบเรื่องนี้ได้ก็ต้องมีจิตที่ได้รับการฝึกฝนอบรมในระดับเดียว กับเจ้าประ
คุณสมเด็จฯ”
     ขณะเดียวกันเมื่อรับทราบข้อมูลจากบรรดาพระลูกศิษย์ ก็ยิ่งตอกย้ำให้ เห็น ชัดเจนว่า เจ้าประคุณสมเด็จฯ เป็นผู้ถึง
พร้อมทางด้านปฏิบัติ พระเทพสารเวที ผู้ปฏิบัติหน้าที่เลขานุการสมเด็จ พระสังฆราช กล่าวว่าพระองค์เป็นพระนักปฏิบัติ
กรรมฐาน ถึงแม้ช่วงเวลาที่ใกล้สิ้นพระชนม์ก็ยังทรงกรรมฐานอยู่ ถือว่าพระองค์เป็นพระนักปฏิบัติโดยแท้ ถือเป็นต้นแบบ
ของพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ

    และข้อมูลที่น่าสนใจไม่แพ้กันก็คือ ข้อมูลที่บันทึกเอาไว้หนังสือ “พระเครื่องสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราช
สกลมหาสังฆปริณายก” ซึ่งอ้างอิงจาก “หนังสือมนต์พระปริตร” โดยคุณหลวงและคณะ “เรื่องที่ทราบกันดีในหมู่ศิษย์เจ้า
ประคุณฯ ว่าหลังจากอาการอาพาธของเจ้าประคุณฯ ดีขึ้นนั้นแพทย์และบุรุษพยาบาล รวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้องได้เจอกับเรื่อง
ประหลาดกันบ้างพอหอมปากหอมคอ กล่าวคือตามปกติเวลาที่ลูกศิษย์ไม่ว่าจะทำอะไรที่ต้องเกี่ยวข้องกับเจ้า ประคุณฯ
นั้น เป็นที่รู้กันว่า ต้องขออนุญาตทุกครั้งไป แต่สำหรับแพทย์ที่ไม่คุ้นเคยกับธรรมเนียม เวลาเจาะพระโลหิตไปตรวจ หาก
มีลูกศิษย์อยู่ด้วย ลูกศิษย์ก็จะกราบเรียนขออนุญาตจากเจ้าประคุณฯ ว่าจะขออนุญาตเจาะพระโลหิต และเมื่อพระองค์พยัก
หน้าอนุญาต แพทย์จึงจะเข้ามาเจาะพระโลหิต ซึ่งเหตุการณ์ก็น่าจะเป็นปกติ “บ่ายวันที่เกิดเหตุการณ์ แพทย์ได้เข้ามาที่
ห้องและบอกกับลูกศิษย์ว่าจะเจาะพระโลหิตเจ้าประคุณฯ เพื่อทำการตรวจ ลูกศิษย์ที่เฝ้าอยู่ได้บอกว่าต้องขออนุญาตเจ้า
ประคุณฯ ก่อน แพทย์มองหน้าและทำสีหน้างงพร้อมกับกล่าวว่า ไม่ต้องรบกวนพระองค์หรอก เพราะทรงบรรทมอยู่ เจาะ
ตรวจนิดเดียว พระผู้ทำหน้าที่ดูแลอยู่ตรงนั้นซึ่งตามปกติอยู่ที่วัด พระรูปนี้ไม่ได้มีหน้าที่ดังกล่าว ได้ต่อว่าลูกศิษย์ผู้นั้นว่า
"เรื่องแค่นี้ก็ต้องกวนท่าน ยุ่งไม่เป็นเรื่อง เชิญคุณหมอเลย" “พระรูปนั้นพูดจบ แพทย์ก็นำเข็มเจาะเลือดเล่มเล็กๆ ที่ติดอยู่
กับอุปกรณ์คล้ายปากกาวางลงตรงนิ้วของเจ้าประคุณฯ อย่างแผ่วเบา แล้วกดเพื่อให้เข็มเจาะทะลุชั้นผิวหนัง แต่เข็มก็ไม่
สามารถเจาะลงผิวหนังเจ้าประคุณฯได้ เดิมทีแพทย์ผู้นั้นใช้มือเค้นที่นิ้วท่านเพื่อให้เลือดหยดออกมา แต่ก็ไม่มีเลือด แพทย์
ได้เปลี่ยนเข็มอยู่ 2-3 ครั้งแต่ก็ยังไม่สามารถเจาะเลือดได้ “ในขณะที่ทุกคนมองหน้ากันอยู่นั้น ลูกศิษย์คนเดิมได้เดินไปที่
ข้างเตียงพร้อมกล่าวว่า "เจ้าประคุณฯ ครับคุณหมอขออนุญาตเจาะเลือดได้ไหมครับ" “เจ้าประคุณฯไม่ได้ลืมตา แต่ได้กล่าว
เป็นเชิงอนุญาตว่า "อืม.....ได้" ซึ่งทำให้ได้ทราบกันว่าท่านไม่ได้หลับตามที่เข้าใจกันแต่เดิมว่าหลับเพราะ ฉันยา จากนั้น
เมื่อแพทย์ได้ใช้เข็มเล่มจิ๋วเจาะลงที่ปลายนิ้วของท่าน เลือดของเจ้าประคุณฯก็ออกมาตามปกติ” และที่ไม่อาจกล่าวถึงได้
ก็คือพระนิพนธ์ของเจ้าประคุณสมเด็จเกี่ยวกับ พุทธศาสนาที่ให้ความรู้ทั้งภาคปริยัติ(ภาคทฤษฎี) และภาคปฏิบัติที่มีอยู่อย่าง
มากมายและเป็นพระนิพนธ์ที่นับว่ามีคุณค่าในด้าน การศึกษาเป็นอย่างมาก

     กล่าวเฉพาะพระนิพนธ์ภาคปฏิบัตินั้น เจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้นิพนธ์ไว้จำนวนไม่น้อย เช่น หนังสือเรื่องแนวปฏิบัติใน
สติปัฏฐานและการปฏิบัติทางจิต ธรรมกถาในการปฏิบัติอบรมจิต เป็นต้น หนังสือเหล่านี้เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่ทำให้ตระหนัก
รู้ได้ว่า สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายกทรงเป็นทั้งนักปริยัติคือทรงสำเร็จเปรียญ ธรรม 9
ประโยค และนักปฏิบัติคือทรงปฏิบัติสมาธิกรรมฐานต่อเนื่องมาโดยตลอด จึงสามารถอธิบายภาคปฏิบัติได้อย่างแจ่มแจ้งแดง
ชัด และด้วยเหตุนี้ที่ทรงเป็นทั้งนักปริยัติและนักปฏิบัติ จึงสามารถกล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ถึงพร้อมและเข้าใจในหัวใจของพระพุทธศาสนาซึ่งนำไปสู่การหลุดพ้นคือปฏิเวธ
ได้ อย่างสมบูรณ์ ดังคำกล่าวที่ว่า “ปริยัติที่ถูกต้อง ย่อมนำไปสู่ปฏิบัติที่ถูกต้อง ปฏิบัติที่ถูกต้อง ย่อมนำไปสู่ปฏิเวธที่ถูกต้อง”

บทความจาก ASTV ผู้จัดการรายวัน 2 พฤศจิกายน
--------------------------------------------------



ขอน้อมอัญเชิญ บทธรรม คติธรรม

"ดับความโกรธ ด้วยเมตตา"
" .. เมื่อใจกำลังจะร้อนด้วยความโกรธ เพราะการกระทำคำพูดของใครคนใดคนหนึ่ง ผู้มุ่งมั่นอบรมเมตตาให้เกิดในใจตน
จะสามารถหยุดความโกรธได้อย่างไม่ยากจนเกินไปนัก
เพียงด้วย "ความมีสติ" รู้ว่ากำลังโกรธเขาแล้ว เพราะเขาพูดเขาทำที่ไม่เหมาะไม่ควรอย่างยิ่ง เมื่อสติรู้อารมณ์ตนเช่นนั้น
"ผู้มั่นคงอยู่ในการอบรมเมตตา" ก็ดำเนินวิธีดับความโกรธต่อไป
ด้วยการตำหนิหรือเยาะเย้ยตัวเองว่า "นี่หรือคนมีธรรมะ คนมีเมตตา" เพียงเท่านี้ก็เมตตาไม่พอแล้ว "เมตตาไม่พอ เมตตา
ไม่พอ เมตตาไม่พอ" ความคิดเช่นนี้จะดับความโกรธได้จริง ในเวลาไม่เนิ่นช้า .. "
----------------------------------------------------------------------------
            ในระหว่างวันที่ 12 – 14 กันยายน 2532 สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช เสด็จเยี่ยมภิกษุสามเณร
และประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เมื่อเดินทางผ่านวัดหรือจังหวัดในเส้นทางที่มีพระผู้ใหญ่ที่ทรงเคารพนับถือ
ก็จะทรงแวะแสดงสามีจิกรรมต่อพระผู้ใหญ่ สวนโมกขพลาราม อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี อยู่ในหมายกำหนดการที่เจ้า
พระคุณสมเด็จฯจะต้องแวะเพื่อไปถวายสักการะท่านอาจารย์พุทธทาส เนื่องจากทรงคุ้นเคยตั้งแต่คราวอบรมพระธรรม
ทูตไปต่างประเทศ เมื่อปี 2509












































แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่