ในวันที่อายุก้าวเข้าสู่วัย 30 ก็เริ่มต้องมองหากีฬาทางเลือกที่สองไว้บ้างนอกจากบาสเกตบอล สาเหตุง่ายมากคือมองไปซ้ายหรือทางขวากับเพื่อนรุ่น ๆ ที่เล่นกันมาด้วยกันเริ่มต้องพันหัวเข่าเล่น ข้อเท้านี้ไม่ต้องพูดถึงพลิกแล้วพลิกอีก ทั้งข้างซ้ายและขวา ถ้ายังคงเล่นหนัก ๆ อยู่ ไม่แคล้วว่าคงต้องพันหัวเข่าเล่นไปอีกคน
สาเหตุอีกประการคือเวลา ด้วยความนิยมในกีฬาบาสที่น้อยลงอย่างน่าใจหาย แป้นบาสส่วนใหญ่ถูกยึดครองไปเป็นสนามฟุตบอล (สนามหญ้าเทียมยังไม่มีให้เล่นเหมือนในทุกวันนึ้) ครั่นจะไปแย่งกลับมาก็ลำบากเพราะด้วยจำนวนคนที่น้อยลงไป ต้องย้ายไปแป้นที่มีคนเล่นเยอะ ๆ ก็ไกล ต้องนัดรวมพลกันวุ่นวาย เพราะฉะนั้นก็เปลี่ยนกีฬาเล่นมันซะเลย
หันไปดูสนามข้าง ๆ ตึกคณะที่เรียนโท เห็นมีคอร์ดเทนนิสว่างอยู่ไม่ค่อยมีคนใช้ บวกกับมีเพื่อนพอตีได้ชวนให้ลอง ก็รับคำไปลองเล่นดู อุปกรณ์อะไรก็ยืมเค้าทั้งหมด ปรากฏเป็นกีฬาที่เรียกเหงื่อได้ดีมาก เพราะในหนึ่งชั่วโมงที่เล่น วิ่งไม่ได้หยุดเลย หมายถึงวิ่งเก็บลูกนะครับ เนื่องจากตีไป 1 ชั่วโมง ใช้เวลาวิ่งเก็บลูกไปแล้วไม่ต่ำกว่า 45 นาที อีก 10 นาทีคือนั่งพักเหนื่อย (ฮ่าๆๆ)
เพื่อนเห็นดังนั้นด้วยความเห็นใจ หรือว่าขี้เกียจสอนก็ไม่รู้ เพื่อนก็พาจูงมือไปหาคุณครูที่สอนอยูแถวนั้นจับวงให้ และผมก็ได้เรียนรู้อย่างหนึ่งว่ากีฬาเทนนิส (รวมถึงกอล์ฟ) ด้วย ไม่ควรจะหัดเอง เพราะไม่มีทางที่เราจะเล่นกีฬานี้ได้ด้วยตัวเองอย่างถูกต้องตามเบสิก
สิ่งหนึ่งที่ผมได้เรียนรู้และจำได้แม่นในสิ่งที่คุณครู (ชื่อครูหมู) สอนคือประโยคที่แกชอบพูดซ้ำ ๆ ว่า
"ให้หมุนตัวมารับบอล ให้คิดรับ อย่าคิดส่ง"
ณ ตอนนั้นผมก็ยิ่งงงว่าแล้วถ้าแค่ตั้งหน้าไม้หมุนสะโพกรับ แล้วจะไปมีพลังได้ยังไง นี้แกมาหลอกเลี้ยงไข้หรือเปล่าเนี้ย คอร์ดข้าง ๆ แค่เอาแขนอัดบอลกันเปรี้ยง ๆ นี้เรามาเดินหมุนสะโพกรับบอลทำอะไรอยู่เนี้ย!!! ถึงจะแอบบ่นในใจแต่ผมก็ไปเรียนกับแกทุกสัปดาห์ จนสองปีผ่านไป ผมก็ได้สกิลใหม่ติดตัวมานั่นคือการหมุนเอาช่วงล่างเข้าปะทะบอล ซึ่งในเทนนิสเค้าเรียกมันว่า Compact Swing
จนมาวันนี้ผมถึงจะมาเข้าใจว่านั้นคือวิธีการนำเอาพลังจากร่างกายมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งพลังทึ่ว่านั้นก็คือ พลังแห่งการหมุน (Rotary Power)
ในหลัก Biomechanics นิยามการเคลื่อนที่ไว้สองแบบ
1. การเคลื่อนที่แนวตรง (Linear motion) ตัวอย่างเช่น น้องขนมปังเห็นแฟนเก่าคือพี่ต้ายืนคุยกับว่าที่แฟนใหม่พี่เต้ย ก็เดินถือแก้วน้ำแดงเข้าไปหา พี่ต้าก็นึกว่าน้องขนมปังถือแก้วน้ำมาให้ ในขณะยื่นมือไปรับน้องขนมปังก็ปล่อยมือให้แก้วน้ำแดงหล่นพื้น ปรากฏการณ์ที่แก้วน้ำเคลื่อนที่ด้วยแรงโน้มถ่วงตกไปบนพื้นเรียกว่า Linear motion (จริง ๆ ไม่จำเป็นต้องเป็นระนาบตั้งฉากกับพื้นโลก การขว้างหอกไปข้างหน้าก็เรียก Linear motion เช่นเดียวกัน)
2. การเคลื่อนทึ่แบบหมุน (Angular motion) หมายถึงการหมุนรอบตัวเอง เช่น การหมุนของแผ่น CD, การหมุนของลูกข่าง หรือการหมุนของล้อรถยนต์ หรือในเคสนัองขนมปัง แทนที่จะขว้างแก้วน้ำใส่หน้าพี่เต้ย ก็เพิ่มการสะบัดข้อมือให้แก้วหมุนรอบตัวขณะที่ขว้างแก้วน้ำออกไป
การเคลื่อนที่แบบหมุน (Angular motion) นี้แหละเป็นการเคลื่อนที่ ๆ ใช้ตลอดทุกส่วนในวงสวิง ดังคำสอนยอดนิยมตลอดกาลของกอล์ฟว่า อยากตีไกลให้หมุนเยอะ ๆ
คำถามต่อมาคือ แล้วต้องหมุนยังไงให้ได้พลังเยอะ ๆ (Rotary Power)
ก่อนที่เราจะมาดูว่าหมุนยังไงให้ได้พลังก็ต้องเข้าใจหลักการพื้นฐานเสียก่อน
Moment Of Inertia (MOI)
โมเมนต์ความเฉื่อย เป็นคุณสมบัติของวัตถุที่จะกำหนดค่าความต้านทานต่อการเปลี่ยนแปลงของความเร็วเชิงมุมรอบแกนของการหมุนของมัน มันเป็นวิธีการหมุนของวัตถุอันเป็นผลมาจากกฎการเคลื่อนที่ของนิวตัน, ซึ่งระบุว่า "วัตถุทุกชนิดจะรักษาสภาพหยุดนิ่งหรือสภาพเคลื่อนที่อย่างสม่ำเสมอเป็นเส้นตรงนอกจากจะมีแรงลัพธ์ที่มีค่าไม่เป็นศูนย์มากระทำ"
ข้อมูลจากวิกิพีเดียภาษาไทย
ถ้าเป็นหัวข้อเกี่ยวกับ อุปกรณ์กอล์ฟคงไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะค่า MOI ถูกนำมาใช้เป็นจุดขายของไม้กอล์ฟ โดยมีความหมายว่า ยิ่งอุปกรณ์ไหนมีค่า MOI สูงแสดงว่าเป็นไม้ที่ตีง่าย ตีตรง จะไกลไม่ไกลอีกเรื่อง
แต่หลายคนยังไม่เข้าใจความหมายจริง ๆ ว่ามันคืออะไร
Scotty Cameron กูรูในการออกแบบพัตเตอร์ให้ความหมายไว้สั้น ๆ ที่น่าสนใจว่า
"MOI หมายถึงค่าต่อต้านการหมุน ยิ่งค่า MOI มาก เรายิ่งจะหมุนวัตถุนั้นยาก
เช่น การออกแบบพัตเตอร์ ไม่ว่าจะโดนบริเวณไหนของหน้าไม้ ถ้าหัวพัตเตอร์นั้นมีค่า MOI ที่สูงพอ หัวพัตเตอร์นั้นก็จะไม่เปิดปิดไปจากที่ต้องการ เช่นหัวพัตเตอร์รุ่น Futura"
จากความรู้ข้อนี้ แสดงว่า ค่า MOI มีนัยยะสำคัญเป็นอย่างมากกับการสร้างพลังงานจากการหมุน (Rotary power)
ศาสตร์ทาง Mechanics ระบุไว้ว่า ยิ่งเราพยายามออกแรงหมุนวัตถุ ณ ตำแหน่งที่อยู่ห่างจากจุดศูนย์กลางมวล (Center of Mass) มากเท่าไหร่ ค่า MOI ก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
เดี๋ยวก่อนนะ เราเริ่มมีศัพท์ใหม่ มาอีกตัวละนั่นคือ จุดศูนย์กลางมวล (Center of Mass) หรือเรียกสั้น ๆ ว่า CM
ศูนย์กลางมวล (อังกฤษ: center of mass) ของระบบหนึ่งๆ เป็นจุดเฉพาะเจาะจงซึ่งเสมือนหนึ่งมวลของระบบรวมตัวกันอยู่ ณ จุดนั้น เป็นฟังก์ชันของตำแหน่งและมวลขององค์ประกอบที่รวมกันอยู่ในระบบ
...
ตำแหน่งศูนย์กลางมวลของวัตถุหนึ่งๆ ไม่จำเป็นต้องเป็นจุดศูนย์กลางทางเรขาคณิตของรูปร่างวัตถุนั้น
ข้อมูลจากวิกิพีเดียภาษาไทย
เราสามารถหา CM ของ วัตถุใด ๆ แบบง่าย ๆ โดยการวัดหาจุดสมดุล เช่น ไม้กอล์ฟ โดยการกางนิ้วออกมาหนึ่งนิ้วขนานพื้น แล้ววางไม้กอล์ฟลงบนนิ้วมือโดยรักษาสมดุลไม่ให้ไม้กอล์ฟหล่นลงไปที่พื้น ท่านจะพบว่าตำแหน่งบริเวณคอค่อนไปทางใบจะเป็นตำแหน่งที่ท่านรักษาสมดุลไม่ให้ไม้กอล์ฟหล่นไปที่พื้น และนั้นแหละคือจุด CM ของไม้กอล์ฟ
เราสามารถพิสูจน์กฏของค่า MOI ได้ง่าย ๆ เพียงแค่ท่านกำมือจับไม้กอล์ฟในตำแหน่ง CM แล้วลองหมุนข้อมือไปมา ท่านจะพบว่าสามารถหมุนไม้กอล์ฟได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว และลองค่อย ๆ เลื่อนตำแหน่งการจับมาทีละนิดจนมาสุดที่ด้าม ท่านจะรู้สึกได้ถึงความสัมพันธ์ระหว่าง MOI กับจุด CM
มีต่อ
พลังนี้ท่านได้แต่ใดมา (ตอนที่ 2)
สาเหตุอีกประการคือเวลา ด้วยความนิยมในกีฬาบาสที่น้อยลงอย่างน่าใจหาย แป้นบาสส่วนใหญ่ถูกยึดครองไปเป็นสนามฟุตบอล (สนามหญ้าเทียมยังไม่มีให้เล่นเหมือนในทุกวันนึ้) ครั่นจะไปแย่งกลับมาก็ลำบากเพราะด้วยจำนวนคนที่น้อยลงไป ต้องย้ายไปแป้นที่มีคนเล่นเยอะ ๆ ก็ไกล ต้องนัดรวมพลกันวุ่นวาย เพราะฉะนั้นก็เปลี่ยนกีฬาเล่นมันซะเลย
หันไปดูสนามข้าง ๆ ตึกคณะที่เรียนโท เห็นมีคอร์ดเทนนิสว่างอยู่ไม่ค่อยมีคนใช้ บวกกับมีเพื่อนพอตีได้ชวนให้ลอง ก็รับคำไปลองเล่นดู อุปกรณ์อะไรก็ยืมเค้าทั้งหมด ปรากฏเป็นกีฬาที่เรียกเหงื่อได้ดีมาก เพราะในหนึ่งชั่วโมงที่เล่น วิ่งไม่ได้หยุดเลย หมายถึงวิ่งเก็บลูกนะครับ เนื่องจากตีไป 1 ชั่วโมง ใช้เวลาวิ่งเก็บลูกไปแล้วไม่ต่ำกว่า 45 นาที อีก 10 นาทีคือนั่งพักเหนื่อย (ฮ่าๆๆ)
เพื่อนเห็นดังนั้นด้วยความเห็นใจ หรือว่าขี้เกียจสอนก็ไม่รู้ เพื่อนก็พาจูงมือไปหาคุณครูที่สอนอยูแถวนั้นจับวงให้ และผมก็ได้เรียนรู้อย่างหนึ่งว่ากีฬาเทนนิส (รวมถึงกอล์ฟ) ด้วย ไม่ควรจะหัดเอง เพราะไม่มีทางที่เราจะเล่นกีฬานี้ได้ด้วยตัวเองอย่างถูกต้องตามเบสิก
สิ่งหนึ่งที่ผมได้เรียนรู้และจำได้แม่นในสิ่งที่คุณครู (ชื่อครูหมู) สอนคือประโยคที่แกชอบพูดซ้ำ ๆ ว่า
"ให้หมุนตัวมารับบอล ให้คิดรับ อย่าคิดส่ง"
ณ ตอนนั้นผมก็ยิ่งงงว่าแล้วถ้าแค่ตั้งหน้าไม้หมุนสะโพกรับ แล้วจะไปมีพลังได้ยังไง นี้แกมาหลอกเลี้ยงไข้หรือเปล่าเนี้ย คอร์ดข้าง ๆ แค่เอาแขนอัดบอลกันเปรี้ยง ๆ นี้เรามาเดินหมุนสะโพกรับบอลทำอะไรอยู่เนี้ย!!! ถึงจะแอบบ่นในใจแต่ผมก็ไปเรียนกับแกทุกสัปดาห์ จนสองปีผ่านไป ผมก็ได้สกิลใหม่ติดตัวมานั่นคือการหมุนเอาช่วงล่างเข้าปะทะบอล ซึ่งในเทนนิสเค้าเรียกมันว่า Compact Swing
จนมาวันนี้ผมถึงจะมาเข้าใจว่านั้นคือวิธีการนำเอาพลังจากร่างกายมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งพลังทึ่ว่านั้นก็คือ พลังแห่งการหมุน (Rotary Power)
ในหลัก Biomechanics นิยามการเคลื่อนที่ไว้สองแบบ
1. การเคลื่อนที่แนวตรง (Linear motion) ตัวอย่างเช่น น้องขนมปังเห็นแฟนเก่าคือพี่ต้ายืนคุยกับว่าที่แฟนใหม่พี่เต้ย ก็เดินถือแก้วน้ำแดงเข้าไปหา พี่ต้าก็นึกว่าน้องขนมปังถือแก้วน้ำมาให้ ในขณะยื่นมือไปรับน้องขนมปังก็ปล่อยมือให้แก้วน้ำแดงหล่นพื้น ปรากฏการณ์ที่แก้วน้ำเคลื่อนที่ด้วยแรงโน้มถ่วงตกไปบนพื้นเรียกว่า Linear motion (จริง ๆ ไม่จำเป็นต้องเป็นระนาบตั้งฉากกับพื้นโลก การขว้างหอกไปข้างหน้าก็เรียก Linear motion เช่นเดียวกัน)
2. การเคลื่อนทึ่แบบหมุน (Angular motion) หมายถึงการหมุนรอบตัวเอง เช่น การหมุนของแผ่น CD, การหมุนของลูกข่าง หรือการหมุนของล้อรถยนต์ หรือในเคสนัองขนมปัง แทนที่จะขว้างแก้วน้ำใส่หน้าพี่เต้ย ก็เพิ่มการสะบัดข้อมือให้แก้วหมุนรอบตัวขณะที่ขว้างแก้วน้ำออกไป
การเคลื่อนที่แบบหมุน (Angular motion) นี้แหละเป็นการเคลื่อนที่ ๆ ใช้ตลอดทุกส่วนในวงสวิง ดังคำสอนยอดนิยมตลอดกาลของกอล์ฟว่า อยากตีไกลให้หมุนเยอะ ๆ
คำถามต่อมาคือ แล้วต้องหมุนยังไงให้ได้พลังเยอะ ๆ (Rotary Power)
ก่อนที่เราจะมาดูว่าหมุนยังไงให้ได้พลังก็ต้องเข้าใจหลักการพื้นฐานเสียก่อน
Moment Of Inertia (MOI)
โมเมนต์ความเฉื่อย เป็นคุณสมบัติของวัตถุที่จะกำหนดค่าความต้านทานต่อการเปลี่ยนแปลงของความเร็วเชิงมุมรอบแกนของการหมุนของมัน มันเป็นวิธีการหมุนของวัตถุอันเป็นผลมาจากกฎการเคลื่อนที่ของนิวตัน, ซึ่งระบุว่า "วัตถุทุกชนิดจะรักษาสภาพหยุดนิ่งหรือสภาพเคลื่อนที่อย่างสม่ำเสมอเป็นเส้นตรงนอกจากจะมีแรงลัพธ์ที่มีค่าไม่เป็นศูนย์มากระทำ"
ข้อมูลจากวิกิพีเดียภาษาไทย
ถ้าเป็นหัวข้อเกี่ยวกับ อุปกรณ์กอล์ฟคงไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะค่า MOI ถูกนำมาใช้เป็นจุดขายของไม้กอล์ฟ โดยมีความหมายว่า ยิ่งอุปกรณ์ไหนมีค่า MOI สูงแสดงว่าเป็นไม้ที่ตีง่าย ตีตรง จะไกลไม่ไกลอีกเรื่อง
แต่หลายคนยังไม่เข้าใจความหมายจริง ๆ ว่ามันคืออะไร
Scotty Cameron กูรูในการออกแบบพัตเตอร์ให้ความหมายไว้สั้น ๆ ที่น่าสนใจว่า
"MOI หมายถึงค่าต่อต้านการหมุน ยิ่งค่า MOI มาก เรายิ่งจะหมุนวัตถุนั้นยาก
เช่น การออกแบบพัตเตอร์ ไม่ว่าจะโดนบริเวณไหนของหน้าไม้ ถ้าหัวพัตเตอร์นั้นมีค่า MOI ที่สูงพอ หัวพัตเตอร์นั้นก็จะไม่เปิดปิดไปจากที่ต้องการ เช่นหัวพัตเตอร์รุ่น Futura"
จากความรู้ข้อนี้ แสดงว่า ค่า MOI มีนัยยะสำคัญเป็นอย่างมากกับการสร้างพลังงานจากการหมุน (Rotary power)
ศาสตร์ทาง Mechanics ระบุไว้ว่า ยิ่งเราพยายามออกแรงหมุนวัตถุ ณ ตำแหน่งที่อยู่ห่างจากจุดศูนย์กลางมวล (Center of Mass) มากเท่าไหร่ ค่า MOI ก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
เดี๋ยวก่อนนะ เราเริ่มมีศัพท์ใหม่ มาอีกตัวละนั่นคือ จุดศูนย์กลางมวล (Center of Mass) หรือเรียกสั้น ๆ ว่า CM
ศูนย์กลางมวล (อังกฤษ: center of mass) ของระบบหนึ่งๆ เป็นจุดเฉพาะเจาะจงซึ่งเสมือนหนึ่งมวลของระบบรวมตัวกันอยู่ ณ จุดนั้น เป็นฟังก์ชันของตำแหน่งและมวลขององค์ประกอบที่รวมกันอยู่ในระบบ
...
ตำแหน่งศูนย์กลางมวลของวัตถุหนึ่งๆ ไม่จำเป็นต้องเป็นจุดศูนย์กลางทางเรขาคณิตของรูปร่างวัตถุนั้น
ข้อมูลจากวิกิพีเดียภาษาไทย
เราสามารถหา CM ของ วัตถุใด ๆ แบบง่าย ๆ โดยการวัดหาจุดสมดุล เช่น ไม้กอล์ฟ โดยการกางนิ้วออกมาหนึ่งนิ้วขนานพื้น แล้ววางไม้กอล์ฟลงบนนิ้วมือโดยรักษาสมดุลไม่ให้ไม้กอล์ฟหล่นลงไปที่พื้น ท่านจะพบว่าตำแหน่งบริเวณคอค่อนไปทางใบจะเป็นตำแหน่งที่ท่านรักษาสมดุลไม่ให้ไม้กอล์ฟหล่นไปที่พื้น และนั้นแหละคือจุด CM ของไม้กอล์ฟ
เราสามารถพิสูจน์กฏของค่า MOI ได้ง่าย ๆ เพียงแค่ท่านกำมือจับไม้กอล์ฟในตำแหน่ง CM แล้วลองหมุนข้อมือไปมา ท่านจะพบว่าสามารถหมุนไม้กอล์ฟได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว และลองค่อย ๆ เลื่อนตำแหน่งการจับมาทีละนิดจนมาสุดที่ด้าม ท่านจะรู้สึกได้ถึงความสัมพันธ์ระหว่าง MOI กับจุด CM
มีต่อ