M I N I N O V E L
-1-
คานทองวิลลา
5
เมื่อถึงวันงาน นาปีก็มารอรับนาปรัง ถึงสโมสรตั้งแต่ตีห้ากว่าๆ เป็นอัมราที่อ้าปากหาวเดินมาเปิดประตูรับเขาเข้ามาพลางบ่นเสียงยืดยาว
“มาซะเช้าขนาดนี้ นอนรอไปเลยละกันเพราะคุณหญิงเขาเพิ่งตื่น”
“ไม่เป็นไร ฉันรอได้ งานเองก็เริ่มตั้งแปดโมง”
“เออใช่สิ งานก็เริ่มตั้งแปดโมง แต่แกนี่มารอแล้วตั้งแต่ตีห้า ทำตัว...ไปร่วมงานนะเว้ยไม่ได้ไปแต่งเอง ตื่นเต้นซะ”ที่พูด อัมราไม่ได้คิดอะไร จะมีก็แต่นาปีเองนั่นแหละที่คิดไปไกลจนหน้าแดงยืนยิ้มอยู่คนเดียว
“รอข้างล่างนี่ก่อนละกัน ประมาณชั่วโมงนึงนั่นแหละ ปรังมันแต่งตัวไม่นานหรอก”
“อือๆๆ” เขาพยักหน้า “แกขึ้นไปนอนต่อเถอะ ฉันอยู่คนเดียวได้” ชายหนุ่มยิ้ม เขาเข้าใจว่าเพื่อนคงง่วงมากเพราะถึงตอนนี้แล้วก็ยังหาวไม่หยุด อัมราปรือตามองถามเขาว่าเอางั้นเหรอ ชายหนุ่มพยักหน้ากลั้นขำ อัมราจึงพยักหน้าบ้าง ก่อนจะขอตัวขึ้นไปนอนต่อ แต่พอขึ้นไปก็ไม่ลืมที่จะตะโกนเร่งเพื่อนสาว
“ไอ้ปรัง! ปีมันรออยู่นะ เร็วๆ หน่อยล่า!”
“เอออออ! ก็กำลังอาบน้ำอยู่นี่ไงเล่า!”
นาปีที่ได้ยินเสียงเพื่อนสาวอีกคนแว่วมาเบาๆ ก็ให้กะพริบตาปริบๆ ก่อนความคิดลึกจะทำให้เขาสะดุ้งเฮือก รีบตบหน้าตัวเองแรงๆ ทันทีจนต้องร้องซี้ดเพราะเล่นใหญ่ไปหน่อย
ห้าสิบนาทีผ่านไป เสียงปิดประตูก็ดังขึ้นพร้อมเสียงบ่นจากคนที่กำลังเดินลงมา
“จะรีบมาทำไมวะปี งานเริ่มแปดโมงไม่ใช่รึไง”
นาปีไม่ได้ตะโกนตอบอะไร เพราะเขากำลังตื่นเต้นที่จะได้เห็นเพื่อนสาวแต่งชุดสวย เขาแอบตื่นเต้นอยู่เงียบๆจนกระทั่งเห็นเธอลงมาพลางติดต่างหูข้างสุดท้ายก็ให้ตะลึง...ยิ้มกว้าง...
หญิงสาวในชุดเดรสสีแดงสดแขนกุดกระโปรงจีบบานใหญ่ซึ่งเพิ่งจะติดเครื่องประดับที่หูเสร็จก็เงยหน้าขึ้นขณะเดินเข้ามาหาเขา ครั้นพอเห็นเขามองแล้วยิ้มไม่หุบก็ให้หัวเราะ แซว
“เป็นอะไร ไม่เคยเห็นคนสวยรึไง”
“เคย แต่วันนี้สวยกว่าทุกวัน”
นาปรังยิ้มเก้อ หน้าร้อนขึ้นมานิดๆ ก็รู้ตัวทันทีว่ากำลังเขิน แต่ไม่ได้นะ! คำชมจากอิปีของเธอมันคือยาพิษมันคือกลลวงให้เธอได้เสียหน้ามากกว่า เพราะงั้น...อย่าเคลิ้มเชียวนะปรัง!
“เฮ้อ เบื่อคนตอแ-” เธอแกล้งว่ากลบเกลื่อน และแทนที่นาปีจะไม่พอใจ เขากลับยิ้ม
“รู้อีก”
“เอ้า! ไอ้นี่หนิ ตกลงฉันสวยหรือไม่สวยกันแน่?!”
นาปีหัวเราะเมื่อเห็นเพื่อนถลึงตาถามอย่างเอาจริงเอาจัง เขาแกล้งต่อ
“ก็...ก็โอนะ”
นาปรังหรี่ตาจ้องเขม็ง
“ฉัน-เกลียด-คำ-นี้! อิบ้า!”
ว่าเสร็จก็เดินชนแขนเขาไปก่อนจะผลักประตูออกไปด้วยท่าทางแสนตลกในสายตาเขา นาปีหัวเราะ รีบเดินตามเธอออกไปก่อนที่เจ้าตัวจะเดินห่างเขาไปไกลกว่านี้
7.55 น. ณ สนามหญ้าด้านหน้าของคานทองวิลลา
พอใกล้เวลาเริ่มงานเต็มที บรรดาแขกเหรื่อทั้งหลายต่างก็ทยอยกันมานั่งเก้าอี้ที่เจ้าภาพได้จัดไว้ให้จนเกือบเต็มส่วนนาปีและนาปรังที่เลือกนั่งแถวหลังสุด ก็มองดูผู้คนเดินไปมาอย่างเพลินๆ นาปรังที่ได้มาสัมผัสงานแต่งแบบนี้ก็รู้สึกได้ถึงความสุขจากทุกคน ความสุขพวกนั้นมีอิทธิพลต่อเธอมาก เพราะตอนนี้หัวใจเธอมันพองโต มันอิ่มใจแทนบ่าวสาวคู่นั้นจริงๆ โดยที่ไม่รู้เลยว่ารอยยิ้มเธอเองก็มีอิทธิพลต่อคนข้างตัวเหมือนกัน
เมื่อเวลาผ่านไปจนเข้าสู่ช่วงพิธีสาบานรักแบบคริสต์ นาปรังก็นั่งนิ่งยิ้มดูพวกเขาสาบานรักกัน น้ำตาที่คลอหน่วยนั้นค่อยไหลออกมาทันทีที่พวกเขาสาบานรักด้วยเสียงอันหนักแน่นและก่อนจะจบท้ายด้วยจุมพิตแสนหวาน เธอยิ้มทั้งน้ำตา ปรบมือไปพร้อมทุกคนเมื่อทั้งคู่จุมพิตกัน นาปีหันมามองเพื่อนสาวคนข้างๆ ที่ยกมือขึ้นปาดน้ำตาก็ให้แซวยิ้มๆ
“ไง ซึ้งจัดเลยเหรอ น้ำตาไหลเป็นเขื่อนแตกเลย”
“บ้า ซึ้งเซิ้งอะไรกัน” ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่มือก็ปาดน้ำตาไม่หยุด
“อ๋อเหรอ จะบอกว่าฝุ่นเข้าตางั้นสิ?”
หญิงสาวเลิกปาดน้ำตามามองค้อนเขาแทน เขายิ้ม ยกมือยอม
“โอเคๆๆ ไม่ล้อแล้ว”
นาปรังให้ค้อนวงสุดท้ายก่อนจะหันกลับมาให้ความสนใจคู่บ่าวสาวคู่นั้นอีกครั้ง ดูไป...ก็อดพูดขึ้นไม่ได้
“ดูพวกเขารักกันดีเนอะ ว่ามั้ย”
นาปีกะจะหันมาตอบให้แบบกวนๆ แล้ว แต่เมื่อได้เห็นสีหน้าเธอยิ้มแปลกๆ ทั้งน้ำตาที่ไหล ก็ให้ยั้งปากไว้แค่นั้น ไม่รู้ทำไมคราวนี้เขาถึงรู้สึกสงสารเธอมากกว่าความอยากแกล้ง
ชายหนุ่มได้แต่มองเธอเนิ่นนาน...มองแล้วก็ให้กลับมาคิดกับตัวเองว่าแท้จริงแล้วนาปรังไม่ใช่คนงี่เง่าอย่างที่เขาคิดมาตลอด เธอยังคงยินดีกับความรัก ยังมีความสุขที่เห็นคนรักกัน แต่ที่ต้องตั้งกฎบ้าๆ อะไรนั่นเขาเชื่อว่ามันต้องมีเหตุผลแน่ๆ และคงเป็นเหตุผลที่ลึกซึ้งเกินกว่าใครจะเข้าใจได้เอง
แต่อะไรล่ะ...
นาปีหันไปมองเพื่อนสาวอีกครั้ง คิดว่าสักวันเขาต้องรู้เหตุผลของการสร้างกฎพวกนั้นขึ้นมาให้ได้
MINI NOVEL #1 คานทองวิลลา [ตอนที่ 5]
-1-
คานทองวิลลา
5
เมื่อถึงวันงาน นาปีก็มารอรับนาปรัง ถึงสโมสรตั้งแต่ตีห้ากว่าๆ เป็นอัมราที่อ้าปากหาวเดินมาเปิดประตูรับเขาเข้ามาพลางบ่นเสียงยืดยาว
“มาซะเช้าขนาดนี้ นอนรอไปเลยละกันเพราะคุณหญิงเขาเพิ่งตื่น”
“ไม่เป็นไร ฉันรอได้ งานเองก็เริ่มตั้งแปดโมง”
“เออใช่สิ งานก็เริ่มตั้งแปดโมง แต่แกนี่มารอแล้วตั้งแต่ตีห้า ทำตัว...ไปร่วมงานนะเว้ยไม่ได้ไปแต่งเอง ตื่นเต้นซะ”ที่พูด อัมราไม่ได้คิดอะไร จะมีก็แต่นาปีเองนั่นแหละที่คิดไปไกลจนหน้าแดงยืนยิ้มอยู่คนเดียว
“รอข้างล่างนี่ก่อนละกัน ประมาณชั่วโมงนึงนั่นแหละ ปรังมันแต่งตัวไม่นานหรอก”
“อือๆๆ” เขาพยักหน้า “แกขึ้นไปนอนต่อเถอะ ฉันอยู่คนเดียวได้” ชายหนุ่มยิ้ม เขาเข้าใจว่าเพื่อนคงง่วงมากเพราะถึงตอนนี้แล้วก็ยังหาวไม่หยุด อัมราปรือตามองถามเขาว่าเอางั้นเหรอ ชายหนุ่มพยักหน้ากลั้นขำ อัมราจึงพยักหน้าบ้าง ก่อนจะขอตัวขึ้นไปนอนต่อ แต่พอขึ้นไปก็ไม่ลืมที่จะตะโกนเร่งเพื่อนสาว
“ไอ้ปรัง! ปีมันรออยู่นะ เร็วๆ หน่อยล่า!”
“เอออออ! ก็กำลังอาบน้ำอยู่นี่ไงเล่า!”
นาปีที่ได้ยินเสียงเพื่อนสาวอีกคนแว่วมาเบาๆ ก็ให้กะพริบตาปริบๆ ก่อนความคิดลึกจะทำให้เขาสะดุ้งเฮือก รีบตบหน้าตัวเองแรงๆ ทันทีจนต้องร้องซี้ดเพราะเล่นใหญ่ไปหน่อย
ห้าสิบนาทีผ่านไป เสียงปิดประตูก็ดังขึ้นพร้อมเสียงบ่นจากคนที่กำลังเดินลงมา
“จะรีบมาทำไมวะปี งานเริ่มแปดโมงไม่ใช่รึไง”
นาปีไม่ได้ตะโกนตอบอะไร เพราะเขากำลังตื่นเต้นที่จะได้เห็นเพื่อนสาวแต่งชุดสวย เขาแอบตื่นเต้นอยู่เงียบๆจนกระทั่งเห็นเธอลงมาพลางติดต่างหูข้างสุดท้ายก็ให้ตะลึง...ยิ้มกว้าง...
หญิงสาวในชุดเดรสสีแดงสดแขนกุดกระโปรงจีบบานใหญ่ซึ่งเพิ่งจะติดเครื่องประดับที่หูเสร็จก็เงยหน้าขึ้นขณะเดินเข้ามาหาเขา ครั้นพอเห็นเขามองแล้วยิ้มไม่หุบก็ให้หัวเราะ แซว
“เป็นอะไร ไม่เคยเห็นคนสวยรึไง”
“เคย แต่วันนี้สวยกว่าทุกวัน”
นาปรังยิ้มเก้อ หน้าร้อนขึ้นมานิดๆ ก็รู้ตัวทันทีว่ากำลังเขิน แต่ไม่ได้นะ! คำชมจากอิปีของเธอมันคือยาพิษมันคือกลลวงให้เธอได้เสียหน้ามากกว่า เพราะงั้น...อย่าเคลิ้มเชียวนะปรัง!
“เฮ้อ เบื่อคนตอแ-” เธอแกล้งว่ากลบเกลื่อน และแทนที่นาปีจะไม่พอใจ เขากลับยิ้ม
“รู้อีก”
“เอ้า! ไอ้นี่หนิ ตกลงฉันสวยหรือไม่สวยกันแน่?!”
นาปีหัวเราะเมื่อเห็นเพื่อนถลึงตาถามอย่างเอาจริงเอาจัง เขาแกล้งต่อ
“ก็...ก็โอนะ”
นาปรังหรี่ตาจ้องเขม็ง
“ฉัน-เกลียด-คำ-นี้! อิบ้า!”
ว่าเสร็จก็เดินชนแขนเขาไปก่อนจะผลักประตูออกไปด้วยท่าทางแสนตลกในสายตาเขา นาปีหัวเราะ รีบเดินตามเธอออกไปก่อนที่เจ้าตัวจะเดินห่างเขาไปไกลกว่านี้
7.55 น. ณ สนามหญ้าด้านหน้าของคานทองวิลลา
พอใกล้เวลาเริ่มงานเต็มที บรรดาแขกเหรื่อทั้งหลายต่างก็ทยอยกันมานั่งเก้าอี้ที่เจ้าภาพได้จัดไว้ให้จนเกือบเต็มส่วนนาปีและนาปรังที่เลือกนั่งแถวหลังสุด ก็มองดูผู้คนเดินไปมาอย่างเพลินๆ นาปรังที่ได้มาสัมผัสงานแต่งแบบนี้ก็รู้สึกได้ถึงความสุขจากทุกคน ความสุขพวกนั้นมีอิทธิพลต่อเธอมาก เพราะตอนนี้หัวใจเธอมันพองโต มันอิ่มใจแทนบ่าวสาวคู่นั้นจริงๆ โดยที่ไม่รู้เลยว่ารอยยิ้มเธอเองก็มีอิทธิพลต่อคนข้างตัวเหมือนกัน
เมื่อเวลาผ่านไปจนเข้าสู่ช่วงพิธีสาบานรักแบบคริสต์ นาปรังก็นั่งนิ่งยิ้มดูพวกเขาสาบานรักกัน น้ำตาที่คลอหน่วยนั้นค่อยไหลออกมาทันทีที่พวกเขาสาบานรักด้วยเสียงอันหนักแน่นและก่อนจะจบท้ายด้วยจุมพิตแสนหวาน เธอยิ้มทั้งน้ำตา ปรบมือไปพร้อมทุกคนเมื่อทั้งคู่จุมพิตกัน นาปีหันมามองเพื่อนสาวคนข้างๆ ที่ยกมือขึ้นปาดน้ำตาก็ให้แซวยิ้มๆ
“ไง ซึ้งจัดเลยเหรอ น้ำตาไหลเป็นเขื่อนแตกเลย”
“บ้า ซึ้งเซิ้งอะไรกัน” ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่มือก็ปาดน้ำตาไม่หยุด
“อ๋อเหรอ จะบอกว่าฝุ่นเข้าตางั้นสิ?”
หญิงสาวเลิกปาดน้ำตามามองค้อนเขาแทน เขายิ้ม ยกมือยอม
“โอเคๆๆ ไม่ล้อแล้ว”
นาปรังให้ค้อนวงสุดท้ายก่อนจะหันกลับมาให้ความสนใจคู่บ่าวสาวคู่นั้นอีกครั้ง ดูไป...ก็อดพูดขึ้นไม่ได้
“ดูพวกเขารักกันดีเนอะ ว่ามั้ย”
นาปีกะจะหันมาตอบให้แบบกวนๆ แล้ว แต่เมื่อได้เห็นสีหน้าเธอยิ้มแปลกๆ ทั้งน้ำตาที่ไหล ก็ให้ยั้งปากไว้แค่นั้น ไม่รู้ทำไมคราวนี้เขาถึงรู้สึกสงสารเธอมากกว่าความอยากแกล้ง
ชายหนุ่มได้แต่มองเธอเนิ่นนาน...มองแล้วก็ให้กลับมาคิดกับตัวเองว่าแท้จริงแล้วนาปรังไม่ใช่คนงี่เง่าอย่างที่เขาคิดมาตลอด เธอยังคงยินดีกับความรัก ยังมีความสุขที่เห็นคนรักกัน แต่ที่ต้องตั้งกฎบ้าๆ อะไรนั่นเขาเชื่อว่ามันต้องมีเหตุผลแน่ๆ และคงเป็นเหตุผลที่ลึกซึ้งเกินกว่าใครจะเข้าใจได้เอง
แต่อะไรล่ะ...
นาปีหันไปมองเพื่อนสาวอีกครั้ง คิดว่าสักวันเขาต้องรู้เหตุผลของการสร้างกฎพวกนั้นขึ้นมาให้ได้