ทริป พังงา- อุบล-จำปาสัก (สปป.ลาว) 15-19 ตุลาคม 2558 วันที่ 2 ตอนที่ 1

16 ตุลาคม 2558 “แสงแรกแห่งตะวัน ณ โขงเจียม”
    เช้านี้เราถูกปลุกประมาณ 05.00 น. โดยตากล้องหนุ่มใหญ่ประจำทริปนี้ แสงแรกของวันนี้กำลังจะปรากฏ ต้องรีบเลยค่ะ ก่อนที่จะพลาดโอกาสดี รับอาบน้ำ แต่งตัว และแล้วเราทั้งหมดก็ไปยืนรอบนสะพานข้ามแม่น้ำมูล ใกล้ๆที่พักของเรานั้นเอง ไม่นานเท่าไรแสงตะวันแสงแรกของวันนี้ก็เริ่มปรากฏ มันช่างสวยงามจริงๆ สมใจเราที่อุตส่าห์ตื่นแต่เช้า เก็บภาพไปตามระเบียบ

กองทัพต้องเดินด้วยท้องฉันใด การเดินทางของเราก็เช่นกัน เรามุ่งหน้าไปยังตลาดเช้าของอำเภอโขงเจียม ตลาดเช้าวันนี้พลุกพล่านไปด้วยผู้คนที่ออกมาจับจ่ายซื้อของ อาหารสดๆจำพวกผัก ปลาในลำน้ำโขงรวมถึงอาหารและขนมที่ดูน่ารับประทานไปหมด และเพื่อความเป็นสิริมงคลสำหรับการเดินทางครั้งนี้ วันนี้ที่ตลาดมีพระมาบิณฑบาต 1 รูป เราเลยตักบาตรด้วยขนมครกและข้าวเหนียวปิ้ง (สาธุ) หลังจากการเดินตลาดทำให้เราได้ขนมมาพอสมควร เราก็ไปเช็คอินที่ป้ายริมแม่น้ำโขง “ตะวันออกสุดเขตประเทศไทย เห็นแสงตะวันก่อนใครในสยาม” ซึ่งอีกฝั่งของลำน้ำโขง (แม่น้ำนานาชาติ) ก็จะเป็นทิวทัศน์ในฝั่งประเทศลาว แขวงจำปาสัก สถานที่เป้าหมายของเราในวันนี้

เก็บภาพไว้เป็นที่น่าพอใจ ก็ต้องหาอะไรมาเติมท้องให้อิ่มอย่างเป็นทางการสักที เราแวะร้านข้างทางในตัวเมืองโขงเจียม(เมืองเล็กๆริมลำนำโขง) ร้านนี้ตกแต่งแบบสบายๆน่านั่ง และที่สำคัญมีจักรยานคันงามจอดไว้หน้าร้าน จะอยู่เฉยทำไมล่ะค่ะ ผู้รักสุขภาพอย่างเรา ก็แวะทันที บรรดาขนมที่เราหอบหิ้วมาจากตลาด พร้อมกับเครื่องดื่มสุดโปรดของแต่ละคน นั่งทานไป นั่งดูอะไรเรื่อยเปื่อย แขกในร้านเริ่มเพิ่มจำนวนมาเรื่อยๆเช่นกัน และที่ถูกใจมากที่สุดก็เป็นเพราะมีคุณพี่ปั่นจักรยานมาประมาณ 4-5 คน (คอเดียวกัน) ไม่รอช้า รีบเสนอหน้าเข้าไปทำความรู้จักทันที พี่ๆแต่ละคนเจ๋ง แข็งแรงมาก ปั่นมาในระยะทางที่ยาวมากๆ(ทึ่งสิค่ะ ตัวเองยังทำไม่ได้เหมือนพี่เค้า) และแต่ละคนก็อายุมากกว่าเราทั้งนั้น พูดคุยกันพอหอมปากหอมคอ ก็ต้องอำลา เพื่อเดินทางต่อไปยัง “ช่องเม็ก” ช่องผ่านแดนไทย – ลาว ซึ่งตั้งอยู่ในเขตอำเภอสิรินธร  อุบลราชธานีนั้นเอง

ระหว่างทางพลขับของเรา ก็เลี้ยวซ้ายเข้าสู่วัดสิรินธรวรารามภูพร้าว หรือเรียกกันว่า “วัดเรืองแสง” เป็นวัดที่ตั้งอยู่บนเนินเขาสูง โดยจำลองสภาพแวดล้อมของวัดป่าหิมพานต์หรือเขาไกรลาศ บริเวณบนยอดเขาจะมองเห็นพระอุโบสถสีทองตั้งเด่นเป็นสง่า จุดเด่นของวัดคือการได้มาชมภาพเรืองแสงเป็นสีเขียวของต้นกัลปพฤกษ์ ที่เป็นจิตรกรรมที่อยู่บนผนังด้านหลังของอุโบสถ นอกจากความมหัศจรรย์ของพระอุโบสถแล้ว วัดแห่งนี้ยังเป็นจุดชมวิวทิวทัศน์ของลำนำโขง ทิวทัศน์ฝั่งประเทศลาว และมองเห็นด่านสากลช่องเม็กอย่างสวยงาม วันนี้มีนักท่องเที่ยวมาประมาณ 2-3 คันรถ อาจดูไม่มาก เนื่องจากยังเป็นเวลาเช้า เส้นทางจากทางหลวงแผ่นดินเข้ามาในบริเวณวัด เรียกว่าอยู่ในช่วงของการพัฒนา สังเกตจากถนน 2 มาตรฐาน (คือฝั่งหนึ่งราดพื้น ส่วนอีกฝั่งยังคงเป็นส่วนที่เป็นดินลูกรัง) คิดว่าในเร็วๆนี้ ทางวัดคงมีพร้อมมากขึ้นกับการต้อนรับนักแสวงบุญและนักท่องเที่ยวมากขึ้น

และแล้วเราถึงช่องเม็ก “ด่านพรมแดนสากลไทย – ลาว ภายในตลาดช่องเม็กถือเป็นตลาดชายแดนที่ใหญ่โต มีการจำหน่ายสินค้ามากมายทั้งของฝั่งไทยและฝั่งลาว (แต่เราก็คงไม่มีโอกาสได้แวะหรอกค่ะ)  มีถนนหนทางกว้างขวาง(คงเป็นเพราะเพื่ออำนวยความสะดวกในการขนถ่ายสินค้าระหว่างประเทศ) เราไม่ได้หนังสือขออนุญาตนำรถข้ามแดน เราจึงต้องหาสถานที่รับฝากรถ ซึ่งมีอยู่หลายที่ใกล้ตลาด(สะดวกสบายมาก) สถานที่ที่เราไปฝากเราอยู่ไม่ไกลจากด่านมากนัก พิเศษตรงที่สถานที่นี้มีห้องพักให้ด้วย (หากใครคิดจะเดินทางไปเที่ยวลาวใต้ อาจจะพักสักคืนก่อนข้ามพรมแดนก็ได้) เราจัดเตรียมสัมภาระ ขนถ่ายเสื้อผ้าลงในกระเป๋าใบเล็ก และก็เดินเท้ากันจากจุดรับฝากรถไปยังด่าน เพื่อยื่นเอกสารขอผ่านแดนกับเจ้าหน้าที่ศุลกากร ของฝั่งไทย วันนี้อากาศค่อนข้างร้อน เราต้องรีบดำเนินการยื่นเอกสารให้เสร็จเรียบร้อยก่อนเข้าฝั่งลาว ที่สำคัญทางด่าน ตม.ของไทยจะไม่อนุญาตให้เราบันทึกภาพหรือบันทึกวิดีโอ (แป้ว....)

การผ่านด่านชายแดนครั้งนี้ เราใช้เป็นหนังสือผ่านแดน ซึ่งไกด์คนสวยของเราได้ไปดำเนินการทำหนังสือขออนุญาตให้ที่ศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานี มาแล้ว หนังสือขออนุญาตผ่านแดนนี้จะมีระยะเวลาเพียง 3 วัน 2 คืนเท่านั้นและมีค่าใช้จ่ายประมาณคนละ 40 บาทเอง การผ่านด่านฝั่งไทยใช้เวลาไม่นานค่ะ สักพักเราก็สามารถข้ามมาฝั่งลาว โดยใช้อุโมงค์ลอดใต้ดิน เดินแป้บเดียวเราก็โผล่มาฝั่งลาวแล้ว (สะบายดี ปากเซ)
    ออกจากอุโมงค์ เราก็ต้องหาวิธีเพื่อเดินทางไปยังปากเซ ระหว่างที่เรายืนหันรีหันขวาง เราก็เจอกับคุณพี่พิมพ์ (คนลาว) ที่มีอาชีพขับรถเช่า (แท็กซี่) พี่แกแนะนำ พูดคุยถึงโปรแกรมที่จะเดินทาง ก่อนหน้านี้เราก็หาข้อมูลมาบ้างแล้ว ว่าจะไปเที่ยวที่ไหนได้บ้าง และราคาก็ตกลงกันได้ ด้วยความพอใจของทั้งสองฝ่าย 2,300 บาท รวมค่าน้ำมันตลอดเส้นทาง) และก่อนจะเข้าไปยังด่าน ตม.ลาว เราก็ต้องหาซิมโทรศัพท์ที่ใช้ในประเทศลาว (ซิมลาว) ซึ่งเราเลือกชนิดเติมเงิน เผื่อไว้ใช้ติดต่อธุระกับคนในประเทศไทย ราคาซิมลาว ประมาณ 100 บาท  คราวนี้เราต้องเดินเข้าสู่ด่าน ตม. ลาว เพื่อดำเนินเอกสารของเข้าประเทศลาว อย่างเป็นทางการ (สภาพของด่านลาว หากจะเทียบขนาดความหรูหรา แพ้ทางฝั่งไทยค่ะ) เราใช้เวลาดำเนินการผ่านด่าน ไม่นานค่ะ มีค่าใช้จ่ายเล็กน้อยก่อนเข้าสู่ดินแดนลาว (คนละ 100 บาท) ตอนนี้เราก็ยืนเหยียบแผ่นดินของประเทศลาวอย่างสมบูรณ์ (ขอสูดอากาศฝั่งประเทศลาวให้เต็มปอด ก่อนที่จะสำลักควัน และฝุ่นที่ลอยฟุ้งกระจายอยู่ในอากาศ)

คุณพี่พิมพ์ พาเราไปยังวินมอเตอร์ไซค์ค่ะ เพื่อจะเดินทางไปยังคิวจอดรถแท็กซี่ พี่พิมพ์บอกว่า บริเวณนี้ทางลาวจะไม่อนุญาตให้รถยนต์เข้ามา (คิดนะค่ะ คิดว่า เนี่ยอาจจะเป็นกุศโลบายที่จะหารายได้ให้คนท้องถิ่นหรือเปล่านะ) ค่ามอเตอร์ไซค์ คนละ 20 บาท ไม่มีหมวกกันน็อก ไม่ถึง 5 นาทีก็ถึงบริเวณจอดรถแท็กซี่ (อึ้งเลยค่ะ โอ้แม่เจ้า แท็กซี่เมืองลาว เค้าใช้รถ Toyota Wish อย่างหรูค่ะ การเดินทางทริปนี้)
    เริ่มต้นการเดินทางออกจากด่าน มุ่งหน้าไปยังเมืองปากเซ ขับออกมาไม่นาน ระหว่างทางเราเจอปั๊ม ปตท. พี่พิมพ์แวะเข้าไปเติมน้ำมันค่ะ เราจ่ายค่าน้ำมันไปก่อน 1000 บาท ระหว่างนั้นเราเริ่มสอดส่ายสายตาดูว่าปั๊ม ปตท. เมืองลาว จะเหมือนในประเทศไทยหรือไม่ เจอแล้วค่ะ ร้านกาแฟอเมซอน ขายทุกอย่างเหมือนในประเทศไทย  ทั้งเครื่องดื่มและขนม ราคาก็คุ้นเคย รสชาติก็คุ้นชิน แต่ไกด์สาวบอกเราว่ารสชาติกาแฟจะกลมกล่อมมากกว่าฝั่งไทย ตรงนี้เป็นจุดแรกที่มีฟรี wifi เลยต้องแวะเช็คอิน ส่งข่าวให้เพื่อนฝูงในเมืองไทย รับทราบ “สบายดีปากเซ) ตากล้องของเราก็ไม่รอช้า อยากจะลองซิมโทรศัพท์ลาว หลังจากเปิดขออนุญาตใช้ซิม คุณท่านก็พยายาม โทรติดต่อกลับเมืองไทย หาเพื่อนฝูง กลัวเพื่อนฝูงจะเป็นห่วง (คิดไปเองหรือเปล่า) พยายามเกือบ 10 กว่าเบอร์ ไม่มีใครกล้ารับสาย น่าจะกลัวเบอร์แปลกๆ จนมีคนหลวมตัวจนได้ ครูกวาง น้องรักนั้นเอง คุยกันหอมปากหอมคอ เพื่อยืนยันว่าขณะนี้พี่อยู่นอกประเทศ ต่างประเทศแล้วจร้า (จริงๆ)

ออกจากปั๊ม เดินทางต่อ มุ่งหน้าไปยังปากเซ ระหว่างเดินทางเข้าปากเซ เพื่อเป็นการแก้ง่วงและเป็นการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ระหว่างการเดินทาง (มีคนเคยบอกว่าการเรียนรู้ เราสามารถทำได้ตลอดชีวิต) เราชมทัศนียภาพสองข้างทางที่มันดูคล้ายๆกับบ้านเมืองเราเมื่อสัก 30-40 ปีมาแล้ว  เราช่วยกันฝึกอ่านภาษาลาว จากป้ายข้างทาง ไม่ยากค่ะ อ่านถูกบ้าง ผิดบ้าง (ไม่เป็นไรค่ะ ผิดเป็นครู)
    ในที่สุดเราก็เดินทางมาถึงปากเซ จนได้ ถือว่าเป็นเมืองขนาดใหญ่ของแขวงจำปาสัก (หากในประเทศไทย น่าจะเป็นตัวอำเภอ ส่วนแขวงนั้นน่าจะเป็นจังหวัด) รถของเราผ่านคฤหาสน์หรู หลังใหญ่โต โอ่โถงมาก ทราบว่าเป็นของเจ้ดาวเรือง คหบดีแห่งลาวใต้ เจ้าของธุรกิจ Duty Free ของประเทศลาว และเจ้าของธุรกิจกาแฟดาว ที่มีชื่อเสียงโด่งดังคุ้นหูคอกาแฟในเมืองไทย ภายใต้สโลแกน “เอิ้นดาวก็ได้”  คุณพี่พิมพ์ของอนุญาตเราเข้าไปรับหวานใจเพื่อร่วมทริปกับคณะเราในวันนี้ด้วย หวานใจพี่พิมพ์ ชื่อ คุณพี่ขัน ถือเป็นผู้หญิงสาวที่แต่งตัวสวยงามตามแบบฉบับสาวลาวจริงๆ (เสียดายที่เราไม่ได้เก็บภาพพี่ขันเอาไว้ เสียดายมาก)
    หลังจากรับพี่ขันเราก็เดินทางออกจากปากเซในทันที มุ่งหน้าไปยังเมืองปากซอง คราวนี้มีเหตุจะต้องโทรติดต่อธุระเรื่องงานที่เมืองไทย แต่ติดต่อไม่ได้ เนื่องจาก “หมายเลขที่ท่านเอิ้น บ่มีเงินแล้ว” เมื่อกี้โทรแป้บเดียวเอง เงินหมดเสียแล้ว คุยกับพี่พิมพ์(คนขับรถ) ได้ความว่า หากโทรจากลาวไปไทย จะมีค่าบริการนาทีละ10 กว่าบาท แต่หากโทรหาเบอร์ลาว ค่าบริการนาทีละ 2 บาทกว่า เดือนร้อนแล้วค่ะ เราต้องหาร้านเติมเงิน พี่พิมพ์พาเราแวะซื้อบัตรเติมเงิน บริเวณทางแยกไปเมืองบาเจียง เติมเงินโทรศัพท์ไปอีก 100 บาท กว่าจะถึงเมืองปากซอง ซึ่งดูป้ายบอกระยะทางแล้ว ไม่ไกลนัก แต่เราใช้เวลาในการเดินทางพอสมควร ทั้งนี้เนื่องจากถนนหนทางในลาวใต้มีเพียง 2 เลน และสภาพของถนนก็ยังคงไม่ดีนัก ทำให้เราไม่สามารถใช้ความเร็วได้ดังใจ (หากเป็นเมืองไทย ระยะทางเพียงเท่านี้ แป้บเดียวก็ถึง) ตอนนี้คณะเราอันเดินทางมาจากเมืองไทยเริ่มมึนงง กับการเดินทางแล้ว เนื่องจากการจราจรในประเทศลาว จะขับรถทางเลนขวา ซึ่งแตกต่างจากเมืองไทยบ้านเราที่สัญจรไปมาทางเลนซ้าย สักพักรถก็เลี้ยวขวาเข้าไปในเส้นทางเล็กๆ ที่ไม่ราดยาง(ถนนดินลูกรัง) ...มีต่อตอนที่ 2 จ้า

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่