กระทู้ก่อนนอน (๕๓)

กระทู้สนทนา
ช่วงวันหยุดนี้ มีเรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ นำเสนอครับ



เวลาอ่านหนังสือเก่าๆ มักจะเล่าถึงขบวนคาราวานขนสินค้านำโดย "นายฮ้อย" หรือว่า หัวหน้า จากเมืองต่างๆ ในภาคอีสานมายังพระนคร สระบุรี และนครราชสีมา หลังจากทางรถไฟสายโคราชสุดทางที่นั่น เสียงกระดึงผูกคอวัวนับร้อยดังกังวานไปทั่ว ว่ากันว่า ในพระนครสมัยนั้น ขบวนคาราวานจะปล่อยวัวต่างให้พักผ่อนกินหญ้าแถวสะพานควาย จนกว่าการค้าขายจะแล้วเสร็จ จึงเดินทางกลับภูมิลำเนา

ยังมีขบวนคาราวานอีกขบวนหนึ่งเริ่มต้นจากอุบลราชธานี ล่องแม่น้ำโขงไปยังเมืองไซ่ง่อนของอินโดจีนฝรั่งเศส ทำให้เมืองอุบลราชธานีและหัวเมืองริมแม่น้ำโขงในสมัยนั้นมีศิลปจากวัสดุทางเวียตนามและประเทศตะวันตก เช่น วัดสุปัฏนารามวรวิหาร เป็นต้น

ถ้าจะพูดถึงรายละเอียดปลีกย่อยเกี่ยวกับ " นายฮ้อย" หมายถึง ผู้ที่เป็นหัวหน้าในการค้าขาย เป็นผู้ที่มีบารมี มีอำนาจรู้จักเส้นทางการค้าขายเป็นอย่างดีเป็นที่เกรงขาม และชาวบ้านให้ความนับถือ

สาเหตุที่เรียกนายฮ้อย เนื่องจากในสมัยก่อนนั้นรูปแบบของการค้ามีทั้งแบบแลกเปลี่ยนสิ่งของต่อสิ่งของและการใช้เงินตรา การใช้ในสมัยก่อนนิยมใช้เงินเหรียญเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยน  การเก็บรักษาเงินของพ่อค้าในสมัยนั้นใช้ผ้าเย็บเป็นถุงขนาดกว้างพอเหมาะกับความกว้างของเงินเหรียญแล้วเอาเงินเหรียญบรรจุลง ชาวบ้านเรียกถุงเงินแบบนี้ว่า “ถุงไถ่” เวลาพ่อค้าเดินทางไปค้าขายก็มักจะเอาถุงไถ่ร้อยเป็นพวงสอดเข้าแขนบางทีก็พันไว้รอบเอว หรือไม่ก็เอาคล้องไว้ที่คอม้า  พ่อค้าที่พกเงินถุงไถ่ไปค้าขายจึงถูกเรียกว่า “นายร้อย” ในเวลาต่อมาคนไทยอีสานออกเสียง “ร” เป็น “ฮ” จึงทำให้ออกเสียงจาก ร้อย เป็น ฮ้อย นี้คือลักษณะของนายฮ้อย และที่มาของคำว่านายฮ้อย

ในส่วนของสาเหตุที่มีนายฮ้อยเกิดขึ้นอย่างแพร่หลาย และผลประโยชน์ของชาวอีสานที่ได้จากนายฮ้อย  ตลอดจนถึงการหมดบทบาทลงของนายฮ้อยซึ่งผู้เขียนจะได้อธิบายดังต่อไปนี้

นายฮ้อยเป็นอาชีพพ่อค้าที่ทำการเดินทางไปค้าขายยังต่างแดน เส้นทางการค้าขายทั้งทางบกและทางน้ำ การค้าขายของนายฮ้อยนั้นจะเรียกชื่อนายฮ้อยตามสิ่งที่นายฮ้อยทำการค้าขาย เช่น ถ้าค้าขายกระบือก็จะเรียกว่า นายฮ้อยกระบือ ถ้าค้าเกลือก็จะเรียก นายฮ้อยเกลือ ค้าหมูก็จะเรียกว่า นายฮ้อยหมูเป็นต้น

อาชีพค้าขายโดยพ่อค้าชาวอีสานที่ทำการไปค้าต่างหรืออาชีพนายฮ้อยนั้นเริ่มมีมาตั้งแต่หลังจาก ปี พ.ศ.๒๓๙๘ กล่าวคือตังแต่ช่วงที่รัฐบาลได้ทำสนธิสัญญาทางการค้ากับประเทศอังกฤษ หรือที่เรียกกันว่าสนธิสัญญาเบาว์ริ่ง หลังจากที่ได้ทำสนธิสัญญาทำให้เศรษฐกิจไทยได้เปลี่ยนจากระบบแบบเลี้ยงตัวเองกลายมาเป็นระบบเศรษฐกิจเพื่อการค้า กล่าวคือ  ระบบแบบเลี้ยงตัวเองนั้นระบบการค้าภายในประเทศจะอยู่ในขอบเขตที่แคบส่วนใหญ่จะเป็นการแลกสิ่งของต่อสิ่งของและการใช้แรงงานก็ยังไม่มีแพร่หลาย แต่หลังจากที่ได้สนธิสัญญาแล้วก็ทำให้รูปแบบการผลิตเปลี่ยนไปทำให้การผลิตเพื่อการค้าในประเทศเพิ่มขึ้น

ระบบการผลิตเพิ่มขึ้นก็ทำให้ต้องการแรงงานเพิ่มมากขึ้น  สภาพเศรษฐกิจในส่วนกลางขยายตัวอย่างกว้างขวางและมีการลงทุนมากขึ้น  จึงส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในระดับภูมิภาคด้วย โดยเฉพาะในภาคอีสานนั้นสภาพเศรษฐกิจยังเป็นแบบเลี้ยงตัวเองการผลิตมีปริมาณไม่มากและลู่ทางในการหาเงินก็มีน้อย จึงทำให้ชาวอีสานลงมาทำนารับจ้างในแถบภาคกลางปีละหลายพันคน ในการเดินทางเพื่อที่จะไปรับจ้างทำนาก็จะมีผู้ที่นำทางลงไปยังภาคกลาง ก็คือนายฮ้อย

ในช่วงที่การคมนาคมยังไม่ดีเท่าที่ควรนั้นกล่าวคือในช่วงที่ยังไม่มีเส้นทางรถไฟ นายฮ้อยจะพาแรงงานรับจ้างนี้ลงไปพร้อมกับฝูงวัวควายที่ตนต้อนลงไปขาย โดยนายฮ้อยคนหนึ่งจะคุมคนตั้งแต่ ๑๗ ถึง ๑๒๐ คน โดยนายฮ้อยจะได้รับค่าตอบแทนต่อรายหัวตังแต่ประมาณ ๒ ถึง ๑๐ บาท อาชีพนายฮ้อยจึงเป็นอาชีพที่ทำรายได้ดี

การค้าขายโดยทั่วไปในภาคอีสานนั้น การค้าขายถือเป็นอาชีพที่สำคัญอย่างหนึ่งของชาวอีสานที่ควบคูไปกับการการเพาะปลูกเลี้ยงสัตว์ เมื่อเสร็จจากฤดูเก็บเกี่ยวแล้วชาวนาจะมีเวลาว่างถึงหกเดือน ในช่วงนี้เป็นโอกาสให้ชาวนาแสวงหารายได้เพื่อมาจุนเจือครอบครัว และเสียภาษี

ด้วยเวลาที่ว่างเว้นจากการทำนานี้เองจึงทำให้นายฮ้อย ทำการรวบรวมทุนออกหาซื้อสินค้าตามหมู่บ้านต่างๆ สินค้าที่ซื้อดังเช่น ผลเร่ว ครั่ง เขาสัตว์หมู วัว ควาย เป็นต้น นายฮ้อยคนเดียวจะค้าขายสินค้าเฉพาะอย่างเท่านั้น

ความคิดและความเชื่อของนายฮ้อยอีสานในเรื่องของความคิดของนายฮ้อยเกี่ยวกับการค้านั้น  ไม่มีการพัฒนารูปแบบให้ดีขึ้นเท่าที่ควร เนื่องจากนายฮ้อยที่เดินทางไปค้าขายต่างแดนนั้นจะไม่นิยมซื้อสินค้ากลับมาขายยังถิ่นที่ตนอาศัยอยู่ แต่จะซื้อเพียงของฝากติดมือมาเท่านั้น เนื่องจากนายฮ้อยอีสานไม่นิยมการค้าขายเพื่อมุ่งสร้างกำไรและมุ่งเร่งสร้างทุน แต่ส่วนใหญ่แล้วนายฮ้อยจะเป็นกลุ่มคนที่มีบทบาทเป็นผู้ได้นำเอาวัฒนธรรมจากต่างถิ่นเข้ามาเห็นได้จากการที่นายฮ้อยได้นำเอาวัฒนธรรมต่างๆ จากภาคกลางเข้ามา เช่น ภาษาพูด ค่านิยม หรือแนวคิดใหม่ๆ ทำให้วัฒนธรรมเหล่านี้ได้แพร่ขยายเข้าสู่ภาคอีสานและการที่นายฮ้อยได้ต้อนวัวควายไปค้าขายที่ภาคกลาง และการที่ชาวอีสานได้มีโอกาสทำการติดต่อค้าขายหรือไปรับจ้างทำนาในภาคกลางโดยการที่นายฮ้อยได้นำพาไปนั้น จึงเป็นการแลกเปลี่ยนทั้งทางสังคมและวัฒนธรรมในเวลาต่อมาได้เด่นชัดมากขึ้น

ส่วนในเรื่องของความเชื่อของนายฮ้อย นายฮ้อยจะมีความเชื่อทางไสยศาสตร์ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามความเชื่อของแต่ละบุคคล ความเชื่อส่วนใหญ่จะออกมาในรูปของเครื่องรางของขลัง ฤกษ์ยาม ผีสางเทวดา เห็นได้จากการที่จะเคลื่อนขบวนคาราวานในแต่ละครั้ง  นายฮ้อยจะประกอบพิธีทางไสยศาสตร์เพื่อเป็นศิริมงคลทุกครั้งเช่น มีการทำพิธีบายศรีสูตรขวัญให้แก่นายฮ้อยและผู้ที่ติดตามตลอดจนฝูงควาย

บทบาทของนายฮ้อยเริ่มเสื่อมลงเนื่องมาจากการคมนาคมมีความสะดวกสบายขึ้น กล่าวคือมีเส้นทางรถไฟผ่าน การคมนาคมทางบกเริ่มมีความทันสมัยขึ้น ผู้คนเริ่มนิยมทำการค้าขายโดยใช้รถไฟเป็นหลักเพราะมีความสะดวกสบาย ประหยัดเวลาในการขนส่งแทนที่จะเดินเป็นคาราวานต้อนวัวควายไปขาย ก็เปลี่ยนมาเป็นต้อนขึ้นรถไฟไปขายจะสะดวกมากกว่า และในช่วงหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.๒๔๗๕ รัฐบาลได้ทำการสนับสนุนให้มีการคมนาคมทางบกอย่างเต็มที่ นี่เป็นสาเหตุที่ต้องทำให้นายฮ้อยเริ่มสูญหายไป

นอกจากบทบาทของนายฮ้อยที่สะท้อนถึงเรื่องเศรษฐกิจของอีสานแล้ว ยังสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อของคนอีสานได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ ผีสางเทวดา ฤกษ์ยามอีกมากมาย ซึ่งความเชื่อในเรื่องแบบนี้มีมาจนถึงปัจจุบัน

..........................................................

ขอขอบคุณข้อมูลจาก facebook โดย คุณเกรียนประวัติศาสตร์ มา ณ โอกาสนี้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่