ย้อนรอยคดีดังเมื่อประมาณเกือบๆยี่สิบปีที่แล้ว ในวันที่ 1 สิงหาคม 2540 รปภ.ประจำสนามบินดอนเมือง ชื่อ "วิโรจน์" โทรศัพท์แจ้งมายังรายการวิทยุ "ร่วมด้วยช่วยกัน" ว่า พบแท็กซี่ สร้างวีรกรรมน่ายกย่อง ด้วยการนำเงินสดกว่า 19 ล้านบาท พร้อมโฉนดที่ดินคืนให้กับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติบริเวณอาคารผู้โดยสารภายในประเทศ สร้างความปลื้มปิติ ต่อเจ้าของเงินเป็นอย่างมาก หลังรับรู้เรื่องราวอันแสนประทับใจ เจ้าหน้าที่รายการรีบประกาศตามหาตัวโชเฟอร์คนซื่อทันที
เวลาเดียวกันนั้น สมพงษ์ แท็กซี่คนดี กำลังขับรถคู่ใจไปส่งผู้โดยสารยังตลาดมีนบุรี และเปิดฟังรายการร่วมด้วยช่วยกันพอดีจึงได้โทรศัพท์กลับไปโดยไม่ลืมที่จะแนะนำตัวเองว่า ชื่อ “สมพงษ์ เลือดทหาร” พร้อมเปิดฉากเล่าวีรกรรมอันสุดซาบซึ้ง...ณ วันที่ 1นายสมพงษ์อ้างว่าเมื่อเวลา 7.00 น. ของวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2540 นายสมพงษ์ รับผู้โดยสารชาวต่างชาติชื่อ มิสเตอร์จอห์น เป็นชาวฝรั่งเศส พร้อมกระเป๋าใบใหญ่ 2 ใบ และกระเป๋าถืออีก 2 ใบ หน้าโรงแรมแอมบาสซาเดอร์ สุขุมวิท พาไปส่งยังสนามบินดอนเมือง เมื่อส่งผู้โดยสารถึงที่หมายพร้อมสัมภาระก็รับผู้โดยสารชาวต่างชาติรายใหม่จากสนามบินดอนเมืองไปส่งย่านราชเทวี
และผู้โดยสารรายใหม่นี้พบกระเป๋าใบหนึ่งตกอยู่ที่เบาะหลัง และได้สอบถามนายสมพงษ์ด้วยภาษาไทยแบบกระท่อนกระแท่นว่า นี่เป็นกระเป๋าของนายสมพงษ์ใช่หรือไม่ เมื่อส่งผู้โดยสารรายนี้แล้ว นายสมพงษ์ได้เปิดกระเป๋าออกและพบว่าภายในบรรจุเงินสดจำนวนมากและโฉนดที่ดินจำนวนหนึ่ง นายสมพงษ์จึงรู้ว่าเป็นกระเป๋าของผู้โดยสารที่ชื่อ มิสเตอร์จอห์น นายสมพงษ์จึงขับรถกลับไปที่สนามบินดอนเมืองอีกครั้งเพื่อส่งกระเป๋าคืน
เมื่อไปถึงพบเจ้าของกระเป๋านั่งร้องไห้อยู่หน้าอาคารผู้โดยสารในประเทศ แต่เมื่อเห็นนายสมพงษ์นำกระเป๋ามาคืน ก็โผเข้ากอดและยกร่างจนตัวลอยด้วยความดีใจเต็มที่ อีกทั้งผู้ที่อยู่ในบริเวณนั้นพบเห็นเหตุการณ์ก็ได้ชื่นชมต่อการกระทำของนายสมพงษ์
หลังจากนั้นไม่นาน กรณีนี้ก็เป็นข่าวโด่งดังในสังคม มีการแจกรางวัลจากหน่วยงานต่าง ๆ รวมทั้งนักการเมืองและสื่อมวลชนประเภทต่าง ๆ ได้ออกข่าวยกย่องการกระทำครั้งนี้ มีการเชิญตัวนายสมพงษ์พร้อมครอบครัวออกรายการโทรทัศน์หลายรายการ ที่ผมจำได้แม่นคือรายการเจาะใจของนาย ดำรงค์ พุฒตาล ซึ่งดังมากในสมัยนั้น
ส่วนคนดังๆที่แจกรางวัลให้นายสมพงษ์ ที่ผมจำได้แม่นก็คือ นายพลเสื้อคับ หรือที่เรียกว่าบิ๊กจ๊อด แล้วก็นักการเมืองอย่างนายเปรมศักดิ์ สส.ขอนแก่น ที่ทำไม้บรรทัดทองคำให้ในตอนหลัง ทั้งๆที่ตอนนั้น เรื่องราวพิรุธต่างๆของนายสมพงษ์เริ่มทำให้สังคมเกิดความคลางแคลงน่าสงสัยมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว แต่นายเปรมศักดิ์ยังเดินหน้าทำไม้บรรทัดทองคำให้ต่อไป พร้อมทั้งวลีเด็ดว่า
"ผมมั่นใจว่าคุณสมพงษ์เป็นคนดี การทำความดีไม่จำเป็นต้องตรวจสอบ"
จำได้เช่นกันว่า เพราะประโยค "การทำความดีไม่จำเป็นต้องตรวจสอบ" นี้ ทำให้นาย วานิช จรุงกิจอนันต์ นักเขียนชื่อดัง เขียนอุทานคำว่า "ศิวลึงค์" ดังๆให้กับนายเปรมศักดิ์ในคอลัมน์หนังสือพิมพ์ จนถูกนายเปรมศักดิ์ฟ้องหมิ่นประมาทในเวลาต่อมา
ตอนที่นายสมพงษ์เป็นข่าวใหม่ๆ สื่อต่างๆไม่ว่าหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ ต่างพากันออกข่าวใหญ่โต ต่างพากันยกย่องชื่นชมให้นายสมพงษ์เป็น HERO โดยไม่มีความสงสัยหรือฉุกใจคิดถึงความเป็นเหตุเป็นผล หรือที่มาที่ไป ส่วนผู้คนก็พร้อมที่จะเสพข่าวที่ตัวเองอยากได้ยินอยากฟัง (สมัยนี้ก็ต้องเรียกว่าอยากฟิน) ตรงนี้สะท้อนให้เห็นถึงอะไรบางอย่างที่ขาดแคลนและเป็นที่โหยหาในสังคมไทยมาทุกยุคทุกสมัย
นั่นคือ
คนดี และความดี
ในภาพลักษณ์ที่สังคมไทย มีแต่เรื่องโกงกิน คอรัปชั่น เมื่อมี HERO คนนึงที่สร้างภาพลักษณ์ว่าเป็นคนดี คนซื่อสัตย์สุจริตเกิดขึ้น แน่นอนว่าสังคมย่อมตื่นเต้นและเชิดชู
แต่โชคดีที่ประเทศนี้ยังมีสื่อบางฉบับที่ยังพอมีจิตสำนึกของความเป็นสื่อ ซึ่งคดีนี้ผมยกเครดิตให้กับหนังสือพิมพ์ข่าวสด ที่ไม่ไหลไปตามกระแสน้ำตอนนั้น แต่พยายามหาข่าวสารจากอีกมุมหนึ่งที่มาหักล้างกับเรื่องทุกอย่างที่นายสมพงษ์กล่าวอ้าง ไม่ว่าจะเป็น รปภ.วิโรจน์คนที่โทรเข้ามาแจ้งเรื่องตอนแรก หรือผู้โดยสารที่ทำเงินหาย ในขณะเดียวกันที่สื่อยักษ์ใหญ่อย่างไทยรัฐและเดลินิวส์ต่างพากันออกแต่ข่าวชื่นชม โดยไม่คิดจะขุดคุ้ยความจริงแม้แต่น้อย ( ถ้าเป็นสมัยนี้ คงมีนักสืบพันทิป ขุดคุ้ยกันสนุก แต่สมัยนั้นไม่ใช่ ทุกเรื่องราวต้องฟังจากสื่ออย่างเดียว)
ว่ากันว่า เวลานั้น ถือเป็นสงครามสื่อระหว่างหนังสือพิมพ์เล็กๆน้องใหม่อย่างข่าวสด และหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่อย่างไทยรัฐกับเดลินิวส์ ที่พากันพาดหัวข่าวบลัฟกันไปมา วันต่อวัน ในยุคที่เรายังไม่มีอินเตอร์เนทเหมือนทุกวันนี้ ข่าวพาดหัวตอนเช้าของสื่อแต่ละฉบับในประเด็นนี้ เป็นเรื่องตื่นเต้นน่าติดตามที่สุดสำหรับคนไทยในยุคนั้นแล้ว จะบอกว่าแบ่งข้างกันเชียร์ก็ว่าได้ ( พอๆกับข่าวคดีฆาตกรรมสองแม่ลูก“ศรีธนะขัณฑ์” ที่สร้างชื่อให้กับหนังสือพิมพ์ข่าวสด ชนิดที่ว่าถ้าไม่รีบไปแผงหนังสือแต่เช้า หมดแน่นอน เรียกว่าเกลี้ยงแผงทุกวัน)
สุดท้ายแล้ว ความจริงทุกอย่างก็เปิดเผย
เมื่อพล.ต.ต.กว้าง ชาญศิลป์ ผบก.ทท. (ยศและตำแหน่งในขณะนั้น) ได้เข้ามาตรวจสอบเบื้องต้น พบพิรุธหลายประการ เพราะจากการตรวจสอบ รปภ. ที่ชื่อ วิโรจน์ ผู้จุดประกายความดีของ สมพงษ์ ก็หาได้มีตัวตน รวมทั้ง มิสเตอร์จอห์น ชาวฝรั่งเศส จากรายชื่อผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ ในวันและเวลาที่ สมพงษ์ ระบุไม่พบว่ามีชายชาวต่างชาติดังกล่าวเดินทางออกนอกประเทศแต่อย่างใด อีกทั้งเมื่อดูจากภาพโทรทัศน์วงจรปิดในวันและเวลาที่ สมพงษ์กล่าวอ้างกลับไม่พบภาพของนายสมพงษ์ และ มิสเตอร์จอห์น แต่อย่างใด
และจากการตรวจสอบหลักฐานชิ้นสำคัญของตำรวจที่สุด คือผลการตรวจพิสูจน์เสียงในโทรศัพท์ ที่ทำให้ทุกอย่างกระจ่างขึ้นและรู้ว่าเรื่องราวทั้งหมดเป็นเรื่องที่เพียงการอุปโลกน์ ขึ้น คือ "รปภ.วิโรจน์"กับ "นายสมพงษ์" คือคน ๆ เดียวกัน
เพียงชั่วข้ามคืนอีกเช่นกัน สมพงษ์ ต้องกลายเป็นผู้ต้องหาทันที เมื่อถูกออกหมายจับในความผิดฐานฉ้อโกง และหลอกลวงประชาชน หยุดพฤติกรรมลวงโลก ส่วนเงินรางวัลโล่เชิดชูเกียรติต่างๆ ถูกยึดคืนทั้งหมด!!!
หลังจำนนต่อหลักฐาน สมพงษ์ สารภาพว่า เรื่องทั้งหมดแค่ต้องการล้อเล่นเท่านั้นแต่ที่กลายเป็นเรื่องอื้อฉาว เพราะการโหมกระพือข่าวของสื่อ ส่วนเสียง รปภ.วิโรจน์ เกิดจากการพูดโดยปิดรูจมูกไว้ข้างหนึ่ง
คดีนี้ สมพงษ์ ถูกศาลพิพากษาจำคุกเป็นเวลา 1 ปี 6 เดือน ปิดตำนานคนดี HERO ของคนไทย
ก็ไม่มีอะไรครับ เอาคดีดังในอดีตมาย้อนรอยให้ฟัง เหตุการณ์นี้ถึงแม้จะผ่านมาเกือบยี่สิบปีแล้ว แต่สิ่งที่สะท้อนให้เราได้เห็นอย่างชัดเจนก็คือ สังคมไทยยังมีความรู้สึกขาดแคลนคนดี คนไทยทุกคนอยากได้คนดี โหยหาคนดี เราจึงมักจะได้ยินคำพูดกรอกหูอยู่เสมอว่าให้เลือกคนดี ส่งเสริมคนดี ฯลฯ
หนักเข้ายุคสมัยนี้ แค่สร้างสถานการณ์ว่าตัวเองเป็นคนดีแบบนายสมพงษ์มันไม่พอเสียแล้ว
การจะยกตัวเองเป็นคนดี มันต้องพยายามชี้หน้าคนอื่นว่าเป็นคนเลว
การจะบอกว่าตัวเองรักชาติ มันต้องพยายามด่าคนอื่นว่าขายชาติ
การจะบอกว่าตัวเองซื่อสัตย์สุจริต มันต้องพยายามบอกว่าคนอื่นขี้โกง ทุจริตหรืออย่างน้อยก็ส่อว่าจะทุจริต
การจะบอกว่าตัวเองเป็นคนฉลาดเป็นคนเก่ง มันต้องพยายามดูถูกคนอื่นว่าเป็นพวกโง่ ไร้การศึกษา
แต่สุดท้ายแล้ว ทำไมผมมักจะเห็นว่าพวกที่ชอบออกมาย้ำออกมาพล่ามว่าตัวเองเป็นคนดี เป็นคนรักชาติ เป็นคนซื่อสัตย์ เป็นคนเสียสละ เป็นผู้ทดแทนคุณแผ่นดิน บลาๆๆ ทำไมภาพที่เห็นมันตรงกันข้ามหมดเลยก็ไม่รู้ หลายๆคนก็มีแต่คดีอื้อฉาวเต็มไปหมด ทั้งก่อนหน้าและปัจจุบัน (อนาคต?)
ปล. ใครสงสัยเหมือนผมว่า นามสกุลของนายสมพงษ์ ท่านได้แต่ใดมา
ยังจำกันได้หรือเปล่า TAXI HERO คนดีที่ไม่จำเป็นต้องตรวจสอบ
เวลาเดียวกันนั้น สมพงษ์ แท็กซี่คนดี กำลังขับรถคู่ใจไปส่งผู้โดยสารยังตลาดมีนบุรี และเปิดฟังรายการร่วมด้วยช่วยกันพอดีจึงได้โทรศัพท์กลับไปโดยไม่ลืมที่จะแนะนำตัวเองว่า ชื่อ “สมพงษ์ เลือดทหาร” พร้อมเปิดฉากเล่าวีรกรรมอันสุดซาบซึ้ง...ณ วันที่ 1นายสมพงษ์อ้างว่าเมื่อเวลา 7.00 น. ของวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2540 นายสมพงษ์ รับผู้โดยสารชาวต่างชาติชื่อ มิสเตอร์จอห์น เป็นชาวฝรั่งเศส พร้อมกระเป๋าใบใหญ่ 2 ใบ และกระเป๋าถืออีก 2 ใบ หน้าโรงแรมแอมบาสซาเดอร์ สุขุมวิท พาไปส่งยังสนามบินดอนเมือง เมื่อส่งผู้โดยสารถึงที่หมายพร้อมสัมภาระก็รับผู้โดยสารชาวต่างชาติรายใหม่จากสนามบินดอนเมืองไปส่งย่านราชเทวี
และผู้โดยสารรายใหม่นี้พบกระเป๋าใบหนึ่งตกอยู่ที่เบาะหลัง และได้สอบถามนายสมพงษ์ด้วยภาษาไทยแบบกระท่อนกระแท่นว่า นี่เป็นกระเป๋าของนายสมพงษ์ใช่หรือไม่ เมื่อส่งผู้โดยสารรายนี้แล้ว นายสมพงษ์ได้เปิดกระเป๋าออกและพบว่าภายในบรรจุเงินสดจำนวนมากและโฉนดที่ดินจำนวนหนึ่ง นายสมพงษ์จึงรู้ว่าเป็นกระเป๋าของผู้โดยสารที่ชื่อ มิสเตอร์จอห์น นายสมพงษ์จึงขับรถกลับไปที่สนามบินดอนเมืองอีกครั้งเพื่อส่งกระเป๋าคืน
เมื่อไปถึงพบเจ้าของกระเป๋านั่งร้องไห้อยู่หน้าอาคารผู้โดยสารในประเทศ แต่เมื่อเห็นนายสมพงษ์นำกระเป๋ามาคืน ก็โผเข้ากอดและยกร่างจนตัวลอยด้วยความดีใจเต็มที่ อีกทั้งผู้ที่อยู่ในบริเวณนั้นพบเห็นเหตุการณ์ก็ได้ชื่นชมต่อการกระทำของนายสมพงษ์
หลังจากนั้นไม่นาน กรณีนี้ก็เป็นข่าวโด่งดังในสังคม มีการแจกรางวัลจากหน่วยงานต่าง ๆ รวมทั้งนักการเมืองและสื่อมวลชนประเภทต่าง ๆ ได้ออกข่าวยกย่องการกระทำครั้งนี้ มีการเชิญตัวนายสมพงษ์พร้อมครอบครัวออกรายการโทรทัศน์หลายรายการ ที่ผมจำได้แม่นคือรายการเจาะใจของนาย ดำรงค์ พุฒตาล ซึ่งดังมากในสมัยนั้น
ส่วนคนดังๆที่แจกรางวัลให้นายสมพงษ์ ที่ผมจำได้แม่นก็คือ นายพลเสื้อคับ หรือที่เรียกว่าบิ๊กจ๊อด แล้วก็นักการเมืองอย่างนายเปรมศักดิ์ สส.ขอนแก่น ที่ทำไม้บรรทัดทองคำให้ในตอนหลัง ทั้งๆที่ตอนนั้น เรื่องราวพิรุธต่างๆของนายสมพงษ์เริ่มทำให้สังคมเกิดความคลางแคลงน่าสงสัยมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว แต่นายเปรมศักดิ์ยังเดินหน้าทำไม้บรรทัดทองคำให้ต่อไป พร้อมทั้งวลีเด็ดว่า "ผมมั่นใจว่าคุณสมพงษ์เป็นคนดี การทำความดีไม่จำเป็นต้องตรวจสอบ"
จำได้เช่นกันว่า เพราะประโยค "การทำความดีไม่จำเป็นต้องตรวจสอบ" นี้ ทำให้นาย วานิช จรุงกิจอนันต์ นักเขียนชื่อดัง เขียนอุทานคำว่า "ศิวลึงค์" ดังๆให้กับนายเปรมศักดิ์ในคอลัมน์หนังสือพิมพ์ จนถูกนายเปรมศักดิ์ฟ้องหมิ่นประมาทในเวลาต่อมา
ตอนที่นายสมพงษ์เป็นข่าวใหม่ๆ สื่อต่างๆไม่ว่าหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ ต่างพากันออกข่าวใหญ่โต ต่างพากันยกย่องชื่นชมให้นายสมพงษ์เป็น HERO โดยไม่มีความสงสัยหรือฉุกใจคิดถึงความเป็นเหตุเป็นผล หรือที่มาที่ไป ส่วนผู้คนก็พร้อมที่จะเสพข่าวที่ตัวเองอยากได้ยินอยากฟัง (สมัยนี้ก็ต้องเรียกว่าอยากฟิน) ตรงนี้สะท้อนให้เห็นถึงอะไรบางอย่างที่ขาดแคลนและเป็นที่โหยหาในสังคมไทยมาทุกยุคทุกสมัย
นั่นคือ คนดี และความดี
ในภาพลักษณ์ที่สังคมไทย มีแต่เรื่องโกงกิน คอรัปชั่น เมื่อมี HERO คนนึงที่สร้างภาพลักษณ์ว่าเป็นคนดี คนซื่อสัตย์สุจริตเกิดขึ้น แน่นอนว่าสังคมย่อมตื่นเต้นและเชิดชู
แต่โชคดีที่ประเทศนี้ยังมีสื่อบางฉบับที่ยังพอมีจิตสำนึกของความเป็นสื่อ ซึ่งคดีนี้ผมยกเครดิตให้กับหนังสือพิมพ์ข่าวสด ที่ไม่ไหลไปตามกระแสน้ำตอนนั้น แต่พยายามหาข่าวสารจากอีกมุมหนึ่งที่มาหักล้างกับเรื่องทุกอย่างที่นายสมพงษ์กล่าวอ้าง ไม่ว่าจะเป็น รปภ.วิโรจน์คนที่โทรเข้ามาแจ้งเรื่องตอนแรก หรือผู้โดยสารที่ทำเงินหาย ในขณะเดียวกันที่สื่อยักษ์ใหญ่อย่างไทยรัฐและเดลินิวส์ต่างพากันออกแต่ข่าวชื่นชม โดยไม่คิดจะขุดคุ้ยความจริงแม้แต่น้อย ( ถ้าเป็นสมัยนี้ คงมีนักสืบพันทิป ขุดคุ้ยกันสนุก แต่สมัยนั้นไม่ใช่ ทุกเรื่องราวต้องฟังจากสื่ออย่างเดียว)
ว่ากันว่า เวลานั้น ถือเป็นสงครามสื่อระหว่างหนังสือพิมพ์เล็กๆน้องใหม่อย่างข่าวสด และหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่อย่างไทยรัฐกับเดลินิวส์ ที่พากันพาดหัวข่าวบลัฟกันไปมา วันต่อวัน ในยุคที่เรายังไม่มีอินเตอร์เนทเหมือนทุกวันนี้ ข่าวพาดหัวตอนเช้าของสื่อแต่ละฉบับในประเด็นนี้ เป็นเรื่องตื่นเต้นน่าติดตามที่สุดสำหรับคนไทยในยุคนั้นแล้ว จะบอกว่าแบ่งข้างกันเชียร์ก็ว่าได้ ( พอๆกับข่าวคดีฆาตกรรมสองแม่ลูก“ศรีธนะขัณฑ์” ที่สร้างชื่อให้กับหนังสือพิมพ์ข่าวสด ชนิดที่ว่าถ้าไม่รีบไปแผงหนังสือแต่เช้า หมดแน่นอน เรียกว่าเกลี้ยงแผงทุกวัน)
สุดท้ายแล้ว ความจริงทุกอย่างก็เปิดเผย
เมื่อพล.ต.ต.กว้าง ชาญศิลป์ ผบก.ทท. (ยศและตำแหน่งในขณะนั้น) ได้เข้ามาตรวจสอบเบื้องต้น พบพิรุธหลายประการ เพราะจากการตรวจสอบ รปภ. ที่ชื่อ วิโรจน์ ผู้จุดประกายความดีของ สมพงษ์ ก็หาได้มีตัวตน รวมทั้ง มิสเตอร์จอห์น ชาวฝรั่งเศส จากรายชื่อผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ ในวันและเวลาที่ สมพงษ์ ระบุไม่พบว่ามีชายชาวต่างชาติดังกล่าวเดินทางออกนอกประเทศแต่อย่างใด อีกทั้งเมื่อดูจากภาพโทรทัศน์วงจรปิดในวันและเวลาที่ สมพงษ์กล่าวอ้างกลับไม่พบภาพของนายสมพงษ์ และ มิสเตอร์จอห์น แต่อย่างใด
และจากการตรวจสอบหลักฐานชิ้นสำคัญของตำรวจที่สุด คือผลการตรวจพิสูจน์เสียงในโทรศัพท์ ที่ทำให้ทุกอย่างกระจ่างขึ้นและรู้ว่าเรื่องราวทั้งหมดเป็นเรื่องที่เพียงการอุปโลกน์ ขึ้น คือ "รปภ.วิโรจน์"กับ "นายสมพงษ์" คือคน ๆ เดียวกัน
เพียงชั่วข้ามคืนอีกเช่นกัน สมพงษ์ ต้องกลายเป็นผู้ต้องหาทันที เมื่อถูกออกหมายจับในความผิดฐานฉ้อโกง และหลอกลวงประชาชน หยุดพฤติกรรมลวงโลก ส่วนเงินรางวัลโล่เชิดชูเกียรติต่างๆ ถูกยึดคืนทั้งหมด!!!
หลังจำนนต่อหลักฐาน สมพงษ์ สารภาพว่า เรื่องทั้งหมดแค่ต้องการล้อเล่นเท่านั้นแต่ที่กลายเป็นเรื่องอื้อฉาว เพราะการโหมกระพือข่าวของสื่อ ส่วนเสียง รปภ.วิโรจน์ เกิดจากการพูดโดยปิดรูจมูกไว้ข้างหนึ่ง
คดีนี้ สมพงษ์ ถูกศาลพิพากษาจำคุกเป็นเวลา 1 ปี 6 เดือน ปิดตำนานคนดี HERO ของคนไทย
ก็ไม่มีอะไรครับ เอาคดีดังในอดีตมาย้อนรอยให้ฟัง เหตุการณ์นี้ถึงแม้จะผ่านมาเกือบยี่สิบปีแล้ว แต่สิ่งที่สะท้อนให้เราได้เห็นอย่างชัดเจนก็คือ สังคมไทยยังมีความรู้สึกขาดแคลนคนดี คนไทยทุกคนอยากได้คนดี โหยหาคนดี เราจึงมักจะได้ยินคำพูดกรอกหูอยู่เสมอว่าให้เลือกคนดี ส่งเสริมคนดี ฯลฯ
หนักเข้ายุคสมัยนี้ แค่สร้างสถานการณ์ว่าตัวเองเป็นคนดีแบบนายสมพงษ์มันไม่พอเสียแล้ว
การจะยกตัวเองเป็นคนดี มันต้องพยายามชี้หน้าคนอื่นว่าเป็นคนเลว
การจะบอกว่าตัวเองรักชาติ มันต้องพยายามด่าคนอื่นว่าขายชาติ
การจะบอกว่าตัวเองซื่อสัตย์สุจริต มันต้องพยายามบอกว่าคนอื่นขี้โกง ทุจริตหรืออย่างน้อยก็ส่อว่าจะทุจริต
การจะบอกว่าตัวเองเป็นคนฉลาดเป็นคนเก่ง มันต้องพยายามดูถูกคนอื่นว่าเป็นพวกโง่ ไร้การศึกษา
แต่สุดท้ายแล้ว ทำไมผมมักจะเห็นว่าพวกที่ชอบออกมาย้ำออกมาพล่ามว่าตัวเองเป็นคนดี เป็นคนรักชาติ เป็นคนซื่อสัตย์ เป็นคนเสียสละ เป็นผู้ทดแทนคุณแผ่นดิน บลาๆๆ ทำไมภาพที่เห็นมันตรงกันข้ามหมดเลยก็ไม่รู้ หลายๆคนก็มีแต่คดีอื้อฉาวเต็มไปหมด ทั้งก่อนหน้าและปัจจุบัน (อนาคต?)
ปล. ใครสงสัยเหมือนผมว่า นามสกุลของนายสมพงษ์ ท่านได้แต่ใดมา