ขอกราบไหว้พระรัตนตรัยด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง
----------------------
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๔
มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์
มหาโคสิงคสาลสูตร
การสนทนาธรรมเรื่องผู้ทำให้ป่างาม
(บางส่วน)
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ป่าโคสิงคสาลวัน
พร้อมด้วยพระสาวกผู้เถระซึ่งมีชื่อเสียงมากรูป คือ
ท่านพระสารีบุตร ท่านพระมหาโมคัลลานะ ท่านพระมหากัสสป
ท่านพระอนุรุทธ ท่านพระเรวตะ ท่านพระอานนท์
และพระสาวกผู้เถระ ซึ่งมีชื่อเสียงอื่นๆ
...
ป่าโคสิงคสาลวัน เป็นสถานน่ารื่นรมย์ ราตรีแจ่มกระจ่าง ไม้สาละบานสะพรั่งทั่วต้น กลิ่นคล้ายทิพย์ ย่อมฟุ้งไป
ป่าโคสิงคสาลวัน จะพึงงามด้วยภิกษุเห็นปานไร?
ท่านพระอานนท์ตอบว่า ...
ท่านพระเรวตะตอบว่า ...
ท่านพระอนุรุทธะตอบว่า ...
ท่านพระมหากัสสปะตอบว่า ...
ท่านพระมหาโมคคัลลานะตอบว่า ...
ท่านพระสารีบุตรตอบว่า ...
ทรงรับรองทรรศนะของพระเถระทั้งหมด
ท่านพระสารีบุตรได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า
พระพุทธเจ้าข้า คำของใครหนอเป็นสุภาษิต?
---------------
พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อตรัสมหาโคสิงคสูตร จึงตรัสว่า
ดูก่อนสารีบุตร ภิกษุในศาสนานี้ในภายหลังภัต... ดูก่อนสารีบุตร ป่าโคสิงคสาลวันพึงงามด้วยภิกษุเห็นปานนี้แล.
ภิกษุทั้งหลายคิดว่า พวกเราจักถือเอาอัชฌาศัยของพระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้
กลับจากบิณฑบาตในภายหลังภัต ตั้ง
ความเพียรมีองค์ ๔ มีใจแน่วแน่ จักสำคัญสมณธรรมอันตนควรทำว่า
พวกเรายังไม่บรรลุอรหัต จักไม่ทำลายการนั่งขัดสมาธินี้ดังนี้.
ภิกษุเหล่านั้นปฏิบัติแล้วอย่างนี้ จักทำที่สุดแห่งชาติ ชราและมรณะได้ โดยวันเล็กน้อยเท่านั้น
ดังนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงอนุเคราะห์ชนผู้เกิดภายหลังนี้ ทรงแสดงข้อปฏิบัติอันเป็นสาระแก่กัลยาณปุถุชน จึงตรัสอย่างนี้.
บทว่า
เอวรูเปน โข สารีปุตฺต ภิกฺขุนา โคสิงฺคสาลวนํ โสเภยฺย ความว่า
ดูก่อนสารีบุตร ป่าโคสิงคสาลวันพึงงามด้วยภิกษุเห็นปานนี้โดยตรงแล จบพระธรรมเทศนาด้วยอนุสนธิดังนี้แล.
จบอรรถกถามหาโคสิงคสาลสูตรที่ ๒
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=12&i=369&p=1
ความเพียรมีองค์ ๔
ความเพียรมีองค์ ๔ คือ ยอมเหลือแต่หนัง ๑ เอ็น ๑ กระดูก ๑ เนื้อเลือดจะแห้งไปก็ตาม ๑
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=26&i=64&p=1
พระโพธิสัตว์ก็ทรงอธิษฐานความเพียรมีองค์ ๔ ว่า
เราไม่บรรลุโพธิญาณแล้วจักไม่ทำลายบัลลังก์
แล้วทรงคู้บัลลังก์นั่งขัดสมาธิ ประทับนั่งให้ต้นโพธิ์อยู่เบื้องพระปฤษฎางค์ หันพระพักตร์ออกสู่ทิศบูรพา.
ทันใดนั้นเอง มารผู้รังควานโลกทั้งปวง ก็เนรมิตแขนพันแขนขึ้น ขี่พระยาช้าง ผู้กำจัดศัตรูตัวยงชื่อคิริเมขละ ขนาด ๑๕๐ โยชน์
เสมือนยอดเขาหิมวันตคิรี ถูกห้อมล้อมด้วยพลมารหนาแน่นยิ่งนัก มีพลธนู พลดาบ พลขวาน พลศร พลหอกเป็นกำลัง
ครอบทะมึนโดยรอบดุจภูเขา ยาตรเยื้องเข้าหาพระมหาสัตว์ผู้เป็นประดุจศัตรูใหญ่.
พระมหาบุรุษ เมื่อดวงอาทิตย์ตั้งอยู่นั่นแล ก็ทรงกำจัดพลมารจำนวนมากมายได้ ถูกบูชาด้วยยอดอ่อนโพธิที่งดงามน่าดู
เสมือนหน่อแก้วประพาฬสีแดง ซึ่งร่วงตกลงบนจีวรที่มีสีเสมือนดอกชะบาแย้ม ประหนึ่งแทนปีติทีเดียว
ปฐมยามก็ทรงได้บุพเพนิวาสานุสสติญาณ
มัชฌิมยามก็ทรงชำระทิพยจักษุญาณ
ปัจฉิมยามก็ทรงหยั่งพระญาณลงในปฏิจจสมุปบาท
ทรงพิจารณาวัฏฏะและวิวัฏฏะ
พออรุณอุทัยก็ทรงเป็นพระพุทธเจ้า ได้ทรงเปล่งอุทานนี้ว่า
เราแสวงหาช่างผู้สร้างเรือนคืออัตภาพ เมื่อไม่พบ
ก็ท่องเที่ยวไปสิ้นสงสารนับด้วยชาติมิใช่น้อย ความเกิด
บ่อยๆ เป็นทุกข์. ดูก่อนช่างผู้สร้างเรือนคืออัตภาพ เรา
พบท่านแล้ว ท่านจักสร้างเรือนคืออัตภาพอีกไม่ได้ โครง
เรือนของท่านเราหักเสียหมดแล้ว ยอดเรือนคืออวิชชา
เราก็รื้อเสียแล้ว จิตของเราถึงพระนิพพานแล้ว เพราะเรา
ได้บรรลุธรรมเป็นที่สิ้นตัณหาทั้งหลายแล้ว.
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=33.2&i=1&p=2
การปรารภความเพียร
เป็นความเพียรที่บริบูรณ์ ประคับประคองไว้สม่ำเสมอ
ไม่หย่อนนัก ไม่ตึงนัก ไม่ให้จิตปรุงแต่งภายใน ไม่ให้ฟุ้งซ่านภายนอก
ความเพียรทางกาย เช่น เพียรพยายามทางกายตลอดคืนและวัน ดุจในประโยคว่า
“
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากธรรมที่กั้นจิตไม่ให้บรรลุความดีด้วยการเดินจงกรม
ด้วยการนั่งตลอดวัน”
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=35&A=7871&Z=8548
ความเพียรทางจิต เช่น ความเพียรพยายามผูกจิตไว้ด้วยการกำหนดสถานที่เป็นต้น ดุจในประโยคว่า
“
เราจะไม่ออกจากถ้ำนี้จนกว่าจิตของเราจะหลุดพ้นจากอาสวะไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน”
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=30&A=7901&Z=8165&pagebreak=0
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=13&i=24
วัณณุปถชาดก
ว่าด้วยผู้ไม่เกียจคร้าน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อประทับอยู่ในพระนครสาวัตถี ตรัสพระธรรมเทศนานี้
ทรงปรารภภิกษุผู้สละความเพียรรูปหนึ่ง
ภิกษุรูปนี้ อุปสมบทได้ ๕ พรรษา เพียรพยายามอยู่ แต่ไม่อาจทำโอภาสหรือนิมิตให้เกิดขึ้น จึงได้มีความคิดว่า
พระศาสดาตรัสบุคคล ๔ จำพวก ในบุคคล ๔ จำพวกนั้น เราคงจะเป็นปทปรมะ เราเห็นจะไม่มีมรรคหรือผลในอัตภาพนี้
แล้วได้สละความเพียร เมื่อเพื่อนภิกษุเห็นดังนั้น ก็พาไปเข้าเฝ้าพระศาสดา
พระศาสดาตรัสว่า
เมื่อครั้งก่อน เธอได้เป็นผู้มีความเพียรมิใช่หรือ เมื่อเกวียน ๕๐๐ เล่ม ไปในทางกันดารเพราะทราย
พวกมนุษย์และโคทั้งหลายได้นํ้าดื่มมีความสุข เพราะอาศัยความเพียร ซึ่งเธอผู้เดียวกระทำแล้ว
เพราะเหตุไร บัดนี้ เธอจึงละความเพียรเสีย.
.......
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครั้นตรัสพระธรรมเทศนานี้แล้ว ทรงเป็นผู้ตรัสรู้ยิ่งเองเทียว จึงตรัสพระคาถานี้ว่า
ชนทั้งหลายผู้ไม่เกียจคร้าน ขุดภาคพื้นที่ทางทราย ได้พบนํ้าในทางทรายนั้น ณ ที่ลานกลางแจ้งฉันใด
มุนีผู้ประกอบด้วยความเพียรและกำลัง เป็นผู้ไม่เกียจคร้าน พึงได้ความสงบใจฉันนั้น
บทว่า วิริยพลูปปนฺโน ได้แก่ ผู้ประกอบด้วยความเพียร และกำลังกายกับกำลังญาณ.
บทว่า อกิลาสุ ความว่า ผู้ไม่เกียจคร้าน คือชื่อว่า ผู้ไม่เกียจไม่คร้าน เพราะประกอบด้วยความเพียร อันประกอบด้วยองค์ ๔
ซึ่งท่านกล่าวไว้อย่างนี้ว่า
เนื้อและเลือดในร่างกายของเรานี้ทั้งหมด จงเหือดแห้งไป
จะเหลือแต่หนังเอ็น และกระดูก ก็ตามที.
ดูก่อนภิกษุ ในกาลก่อน เธอนั้นกระทำความเพียรเพื่อต้องการทางนํ้า
บัดนี้ เพราะเหตุไร เธอจึงละความเพียรในศาสนาอันเป็นเครื่องนำออกจากทุกข์ เพื่อประโยชน์แก่มรรคผล เห็นปานนี้.
พระศาสดา ครั้นทรงแสดงพระธรรมเทศนานี้อย่างนี้แล้ว จึงทรงประกาศสัจจะ ๔
ในเวลาจบสัจจะ ภิกษุผู้ละความเพียรดำรงอยู่ในพระอรหัต อันเป็นผลอันเลิศ.
จบอรรถกถา วัณณุปถชาดกที่ ๒
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=27&i=2
.. ป่างามด้วยความเพียร ..
----------------------
มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์
การสนทนาธรรมเรื่องผู้ทำให้ป่างาม
พร้อมด้วยพระสาวกผู้เถระซึ่งมีชื่อเสียงมากรูป คือ
ท่านพระสารีบุตร ท่านพระมหาโมคัลลานะ ท่านพระมหากัสสป
ท่านพระอนุรุทธ ท่านพระเรวตะ ท่านพระอานนท์
และพระสาวกผู้เถระ ซึ่งมีชื่อเสียงอื่นๆ
...
ป่าโคสิงคสาลวัน เป็นสถานน่ารื่นรมย์ ราตรีแจ่มกระจ่าง ไม้สาละบานสะพรั่งทั่วต้น กลิ่นคล้ายทิพย์ ย่อมฟุ้งไป
ป่าโคสิงคสาลวัน จะพึงงามด้วยภิกษุเห็นปานไร?
ท่านพระเรวตะตอบว่า ...
ท่านพระอนุรุทธะตอบว่า ...
ท่านพระมหากัสสปะตอบว่า ...
ท่านพระมหาโมคคัลลานะตอบว่า ...
ท่านพระสารีบุตรตอบว่า ...
พระพุทธเจ้าข้า คำของใครหนอเป็นสุภาษิต?
ดูกรสารีบุตร คำของพวกเธอทั้งหมด เป็นสุภาษิตโดยปริยาย (โดยเหตุนั้น ๆ)
แต่พวกเธอจงฟังคำของเรา คำถามว่า ป่าโคสิงคสาลวัน จะพึงงามด้วยภิกษุเห็นปานไรนั้น
เราตอบว่า
นั่งคู้บัลลังก์ (นั่งพับขาเข้าหากันทั้ง ๒ ข้าง เรียกว่า นั่งขัดสมาธิ)
ตั้งกายให้ตรง ดำรงสติมั่นเฉพาะหน้าว่า
จิตของเรายังไม่หมดความถือมั่น ยังไม่หลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลายเพียงใด
เราจักไม่ทำลายบัลลังก์นี้เพียงนั้น ดังนี้
ดูกรสารีบุตร ป่าโคสิงคสาลวัน พึงงามด้วยภิกษุเห็นปานนี้แล
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=12&A=6877&Z=7105
พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อตรัสมหาโคสิงคสูตร จึงตรัสว่า
ดูก่อนสารีบุตร ภิกษุในศาสนานี้ในภายหลังภัต... ดูก่อนสารีบุตร ป่าโคสิงคสาลวันพึงงามด้วยภิกษุเห็นปานนี้แล.
ภิกษุทั้งหลายคิดว่า พวกเราจักถือเอาอัชฌาศัยของพระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้
กลับจากบิณฑบาตในภายหลังภัต ตั้งความเพียรมีองค์ ๔ มีใจแน่วแน่ จักสำคัญสมณธรรมอันตนควรทำว่า
พวกเรายังไม่บรรลุอรหัต จักไม่ทำลายการนั่งขัดสมาธินี้ดังนี้.
ภิกษุเหล่านั้นปฏิบัติแล้วอย่างนี้ จักทำที่สุดแห่งชาติ ชราและมรณะได้ โดยวันเล็กน้อยเท่านั้น
ดังนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงอนุเคราะห์ชนผู้เกิดภายหลังนี้ ทรงแสดงข้อปฏิบัติอันเป็นสาระแก่กัลยาณปุถุชน จึงตรัสอย่างนี้.
บทว่า เอวรูเปน โข สารีปุตฺต ภิกฺขุนา โคสิงฺคสาลวนํ โสเภยฺย ความว่า
ดูก่อนสารีบุตร ป่าโคสิงคสาลวันพึงงามด้วยภิกษุเห็นปานนี้โดยตรงแล จบพระธรรมเทศนาด้วยอนุสนธิดังนี้แล.
จบอรรถกถามหาโคสิงคสาลสูตรที่ ๒
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=12&i=369&p=1
ความเพียรมีองค์ ๔
ความเพียรมีองค์ ๔ คือ ยอมเหลือแต่หนัง ๑ เอ็น ๑ กระดูก ๑ เนื้อเลือดจะแห้งไปก็ตาม ๑
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=26&i=64&p=1
พระโพธิสัตว์ก็ทรงอธิษฐานความเพียรมีองค์ ๔ ว่า เราไม่บรรลุโพธิญาณแล้วจักไม่ทำลายบัลลังก์
แล้วทรงคู้บัลลังก์นั่งขัดสมาธิ ประทับนั่งให้ต้นโพธิ์อยู่เบื้องพระปฤษฎางค์ หันพระพักตร์ออกสู่ทิศบูรพา.
ทันใดนั้นเอง มารผู้รังควานโลกทั้งปวง ก็เนรมิตแขนพันแขนขึ้น ขี่พระยาช้าง ผู้กำจัดศัตรูตัวยงชื่อคิริเมขละ ขนาด ๑๕๐ โยชน์
เสมือนยอดเขาหิมวันตคิรี ถูกห้อมล้อมด้วยพลมารหนาแน่นยิ่งนัก มีพลธนู พลดาบ พลขวาน พลศร พลหอกเป็นกำลัง
ครอบทะมึนโดยรอบดุจภูเขา ยาตรเยื้องเข้าหาพระมหาสัตว์ผู้เป็นประดุจศัตรูใหญ่.
พระมหาบุรุษ เมื่อดวงอาทิตย์ตั้งอยู่นั่นแล ก็ทรงกำจัดพลมารจำนวนมากมายได้ ถูกบูชาด้วยยอดอ่อนโพธิที่งดงามน่าดู
เสมือนหน่อแก้วประพาฬสีแดง ซึ่งร่วงตกลงบนจีวรที่มีสีเสมือนดอกชะบาแย้ม ประหนึ่งแทนปีติทีเดียว
ปฐมยามก็ทรงได้บุพเพนิวาสานุสสติญาณ
มัชฌิมยามก็ทรงชำระทิพยจักษุญาณ
ปัจฉิมยามก็ทรงหยั่งพระญาณลงในปฏิจจสมุปบาท
ทรงพิจารณาวัฏฏะและวิวัฏฏะ
พออรุณอุทัยก็ทรงเป็นพระพุทธเจ้า ได้ทรงเปล่งอุทานนี้ว่า
เราแสวงหาช่างผู้สร้างเรือนคืออัตภาพ เมื่อไม่พบ
ก็ท่องเที่ยวไปสิ้นสงสารนับด้วยชาติมิใช่น้อย ความเกิด
บ่อยๆ เป็นทุกข์. ดูก่อนช่างผู้สร้างเรือนคืออัตภาพ เรา
พบท่านแล้ว ท่านจักสร้างเรือนคืออัตภาพอีกไม่ได้ โครง
เรือนของท่านเราหักเสียหมดแล้ว ยอดเรือนคืออวิชชา
เราก็รื้อเสียแล้ว จิตของเราถึงพระนิพพานแล้ว เพราะเรา
ได้บรรลุธรรมเป็นที่สิ้นตัณหาทั้งหลายแล้ว.
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=33.2&i=1&p=2
การปรารภความเพียร
เป็นความเพียรที่บริบูรณ์ ประคับประคองไว้สม่ำเสมอ
ไม่หย่อนนัก ไม่ตึงนัก ไม่ให้จิตปรุงแต่งภายใน ไม่ให้ฟุ้งซ่านภายนอก
ความเพียรทางกาย เช่น เพียรพยายามทางกายตลอดคืนและวัน ดุจในประโยคว่า
“ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากธรรมที่กั้นจิตไม่ให้บรรลุความดีด้วยการเดินจงกรม
ด้วยการนั่งตลอดวัน”
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=35&A=7871&Z=8548
ความเพียรทางจิต เช่น ความเพียรพยายามผูกจิตไว้ด้วยการกำหนดสถานที่เป็นต้น ดุจในประโยคว่า
“เราจะไม่ออกจากถ้ำนี้จนกว่าจิตของเราจะหลุดพ้นจากอาสวะไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน”
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=30&A=7901&Z=8165&pagebreak=0
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=13&i=24
วัณณุปถชาดก
ว่าด้วยผู้ไม่เกียจคร้าน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้