ตอนเก่า
ไขคดีหัวใจ...ใต้มนต์จันทร์
ตอนที่ 12
เวลา 23.00 น. ภายนอกฝนยังคงเทกระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย เกวลินเปิดประตูเข้ามาภายในห้องคอนโดขนาดสามสิบห้าตารางเมตรแถวพระโขนงที่เพิ่งจะย้ายเข้ามาอยู่เมื่อประมาณหกเดือนก่อน ซึ่งถ้านับเอาเฉพาะค่างวดที่ผ่อนไปแล้วละก็ หล่อนคงจะเป็นเจ้าของเพียงบานประตูกับรั้วระเบียงเท่านั้น ยังไม่นับว่าแม้ขนาดห้องจะเล็กรูหนูแค่ไหนก็ยังตกแต่งไม่ครบ ห้องรับแขกยังโล่ง ครัวยังไม่ได้ติดตั้ง เฟอร์นิเจอร์บางส่วนก็ยังไม่ได้ซื้อเข้ามา คิดแล้วก็เหนื่อย ไหนจะค่าใช้จ่ายอีกสารพัดอย่าง รถก็ยังเหลือผ่อนอีกตั้งครึ่งแถมยังต้องเข้าอู่ทุกสามเดือนสี่เดือน สำนักงานก็ยังต้องเช่าและค่าเช่ายังขึ้นทุกปีอีกด้วย ยังดีที่หนี้สินซึ่งเคยก่อไว้เพิ่งจะหมดลงไปเมื่อปีที่แล้ว
การมีชีวิตใหม่ในกรุงเทพฯ ไม่ง่ายนักสำหรับคนที่รากเหง้าอยู่ต่างจังหวัด บางคนที่สู้ไม่ไหวจึงตัดสินใจกลับไปอยู่บ้าน หางานง่ายๆ ทำและมีชีวิตแบบราบเรียบ ครอบครัวของเกวลินเองก็เคยจะบังคับหล่อนเช่นนั้นตั้งแต่เมื่อสามปีก่อนที่เปิดร้านเสื้อผ้าเจ๊งจนเป็นหนี้ก้อนโต แต่เกวลินมีเหตุผลที่หนักแน่นอยู่ในใจว่า
‘ห้าม’ กลับไปเด็ดขาด ชีวิตจึงลงเอยเช่นนี้ ทำงานหนักเพื่อหาเงินมาผ่อนจ่ายชีวิตในเมืองที่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็ไม่มีอะไรเป็นของตนเองอย่างแท้จริงเลยสักอย่าง
ตั้งแต่เด็กจนโต เกวลินมิเคยมีปรารถนาว่าตนเองจะเป็นผู้หญิงสู้ชีวิต ตรงกันข้าม หล่อนทั้งจับจด รักความสบาย และบางครั้งก็ใช้เงินมือเติบ และปัญหาหลายอย่างในชีวิตล้วนเกิดขึ้นจากความผิดพลาดของหล่อนเอง แต่มองในแง่ดี ถึงชีวิตโดยมากจะเหนื่อยและไม่สมบูรณ์แบบนัก แต่ในวันนี้หล่อนก็สามารถกลับมาถึงห้องพักได้โดยที่ไม่เปียกเลยสักนิดทั้งๆ ที่ฝนตกหนัก เรื่องเล็กๆ ที่ผิดวิสัยแค่นี้ก็น่าจะพอสร้างความรู้สึกดีให้ได้
ระหว่างที่กำลังครุ่นคิดถึง
‘ใครคนหนึ่ง’ ที่ช่วยให้หล่อนไม่ต้องเปียกฝนในตอนนี้ จงจินต์ก็โทรเข้ามาพอดี นักสืบสาวจึงนึกขึ้นได้ว่าเมื่อกลางวันได้ฝากฝังให้ลูกทีมค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มเพื่อนนักแสดงของชนมนว่าสามารถเชื่อมโยงอะไรกับบุคคลที่อดีตดาราสาวส่งข้อความไปหาก่อนเสียชีวิตได้หรือไม่ และเมื่อกดรับสาย จงจินต์ก็พูดเข้าประเด็นได้ตามที่คาดหวัง
“ฮัลโหลพี่ลิน ผมมีข้อมูลที่น่าสนใจหลายอย่างเกี่ยวกับ แก๊งเจ้าหญิง ไอ้วีร์กำลังส่งอีเมลไปให้ ข้อมูลเยอะหน่อยนะ แต่หลักใหญ่ใจความก็คือ...นอกจากชนมนแล้ว นายโกสินทร์ยังเคยคบหากับผู้หญิงในแก๊งนี้ทุกคน”
***
สายน้ำอุ่นจากฝักบัวไหลรินลงมายังร่างกำยำซึ่งยืนเปลือยเปล่าอยู่ในห้องน้ำกว้างขวาง ช่วยชำระความเหน็บหนาว รวมถึงเชื้อโรคบางชนิดที่อาจติดมากับน้ำฝนให้หมดจดลงไป แต่กระนั้น ความรู้สึกพิเศษบางอย่างที่ก่อเกิดอยู่ในใจของผู้หมวดหนุ่มกลับงอกงามขึ้นเรื่อยๆ ราวกับต้นกล้าได้รับน้ำมาชโลมรด
“...Someday, when I'm awfully low
When the world is cold
I will feel a glow just thinking of you
And the way you look tonight...”
เสียงทุ้มลึกของ แฟรงค์ ซินาตร้า นักร้องชายที่ผู้หมวดหนุ่มชื่นชอบเป็นการส่วนตัวดังแว่วออกมาจากลำโพงโทรศัพท์มือถือ รวมทั้งดนตรีแจ๊ซในท่วงทำนองวาบหวาม ยิ่งทำให้ร้อยตำรวจโทชงคมมิอาจห้ามใจให้คิดถึง
‘ใครคนหนึ่ง’ ที่เพิ่งจะยืนอยู่ใต้ร่มเดียวกันกับเขาท่ามกลางสายฝนเทกระหน่ำเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนได้
แต่ทันทีที่ภาพใบหน้าคมคายและแววตาดื้อรั้นกำลังปรากฏอยู่ในมโนสำนึกนั้น เสียงเพลงที่เปิดอยู่ก็ดับไปพร้อมกับเสียงริงโทนเรียกเข้าดังขึ้นมาแทนที่ ผู้หมวดหนุ่มชะโงกออกมาจากตู้ฝักบัวมองหน้าจอโทรศัพท์ที่วางไว้ตรงอ่างล้างหน้า ทั้งที่ศีรษะยังเต็มไปด้วยฟองแชมพู พอเห็นเบอร์แปลกปรากฏอยู่ที่หน้าจอ ก็รู้สึกได้ขึ้นมาอย่างแรงกล้าว่าน่าจะต้องเป็น
‘หล่อน’ แน่นอน
และก็จริง
“สวัสดีค่ะผู้หมวด นี่ฉันเองนะ เกวลิน” เสียงใสสำเนียงห้วนดังออกมาจากลำโพงโทรศัพท์ทันทีที่ชายหนุ่มกดเปิดสปีกเกอร์โฟน
“ว่าไงครับคุณนักสืบ นี่ผมเดาถูกด้วยนะว่าต้องเป็นคุณ” ร้อยตำรวจโทชงคมตอบโต้ไปอย่างอารมณ์ดี ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยให้ความสำคัญในเรื่องลางสังหรณ์ แต่ในเวลานี้เห็นทีต้องลองทบทวนเรื่องนี้เสียใหม่ “ว่าแต่คุณไปรู้เบอร์ผมมาจากไหน”
“เบอร์คุณโชว์หราอยู่บนโปรไฟล์เฟซบุ๊ก ไม่รู้ตัวเลยเหรอคะ”
“อ๋อ” ผู้หมวดหนุ่มอมยิ้มเล็กน้อย พร้อมกับก้มหัวล้างฟองแชมพู “ที่แท้คุณก็เข้าแอบเข้าไปส่องเฟซผมนี่เอง”
“ไม่ได้แอบส่องสักหน่อย” ปลายสายตวาดแหวออกมาจนน่ากลัวว่าลำโพงโทรศัพท์จะแตก “คุณมาตามไลค์สเตตัสฉันก่อนนี่นา แต่เอาเถอะ...จะยังไงก็ตามแต่...
เอ๊ะ! เดี๋ยวนะ นี่คุณยังอยู่นอกบ้านเหรอ”
“เปล่า” ผู้หมวดหนุ่มตอบกลับอย่างซื่อๆ
“แต่ฉันได้ยินเสียงฝนซู่ๆ จนฟังเสียงคุณไม่ค่อยได้ยินเลย”
“อ๋อ ผมอาบน้ำอยู่น่ะ”
“อะไรนะ” หญิงสาวตวาดแหวกลับมาจนชายหนุ่มถึงกับชะงัก ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเห็นเป็นเรื่องใหญ่ “แล้วทำไมไม่บอกล่ะ เดี๋ยวคุณโทรกลับหาฉันหลังคุณอาบน้ำเสร็จละกัน”
“ก็คุยตอนนี้แหละ” ร้อยตำรวจโทชงคมปิดฝักบัว “อ่ะ...ไม่มีเสียงน้ำแล้ว ทีนี้ไม่มีอะไรรบกวนสมาธิในการคุยโทรศัพท์แล้วละมั้ง”
ความคิดด้านมืดที่มักถูกกระตุ้นขึ้นเสมอเวลาได้พูดคุยกับอีกฝ่ายสั่งการให้ผู้หมวดหนุ่มพูดหยอกออกไป
“หรือว่ายังมี”
ถ้าในตอนนั้นชายหนุ่มมีโอกาสได้เห็นใบหน้าของหญิงสาว เขาก็คงจะรู้ว่าหล่อนกำลังหน้าแดงจัดอย่างไม่มีเหตุผล ซึ่งจริงๆ ก็เหตุผลก็มีอยู่นั่นแหละ เพียงแต่หล่อนคงไม่มีทางยอมรับว่ากำลังจินตนาการภาพเขาเปลือยกายอยู่ก็แค่นั้นเอง แต่กระนั้นร้อยตำรวจโทชงคมก็พอเดาได้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร
“โอเค ถ้าคุณไม่สะดวกใจจริงๆ ละก็ เดี๋ยวผมโทรกลับหาคุณ...หลังจากผมใส่เสื้อผ้าแล้วก็ได้”
“ไม่ต้อง!”
นั่นไง! เดาผิดเสียเมื่อไหร่ ผู้หมวดหนุ่มคิดพลางยิ้มออกมาอย่างสนุก แต่สุดท้ายก็กลายเป็นตัวเองที่รู้สึกเก้อขึ้นมาเสียอย่างนั้น จึงต้องไปคว้าผ้าชนหนูมาสวมไว้ในที่สุด
แต่ไม่มีทางที่จะบอกให้อีกฝ่ายรู้แน่ๆ
***
ไขคดีหัวใจ...ใต้มนต์จันทร์ ตอนที่ ๑๒ - ตอนที่ ๑๓
เวลา 23.00 น. ภายนอกฝนยังคงเทกระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย เกวลินเปิดประตูเข้ามาภายในห้องคอนโดขนาดสามสิบห้าตารางเมตรแถวพระโขนงที่เพิ่งจะย้ายเข้ามาอยู่เมื่อประมาณหกเดือนก่อน ซึ่งถ้านับเอาเฉพาะค่างวดที่ผ่อนไปแล้วละก็ หล่อนคงจะเป็นเจ้าของเพียงบานประตูกับรั้วระเบียงเท่านั้น ยังไม่นับว่าแม้ขนาดห้องจะเล็กรูหนูแค่ไหนก็ยังตกแต่งไม่ครบ ห้องรับแขกยังโล่ง ครัวยังไม่ได้ติดตั้ง เฟอร์นิเจอร์บางส่วนก็ยังไม่ได้ซื้อเข้ามา คิดแล้วก็เหนื่อย ไหนจะค่าใช้จ่ายอีกสารพัดอย่าง รถก็ยังเหลือผ่อนอีกตั้งครึ่งแถมยังต้องเข้าอู่ทุกสามเดือนสี่เดือน สำนักงานก็ยังต้องเช่าและค่าเช่ายังขึ้นทุกปีอีกด้วย ยังดีที่หนี้สินซึ่งเคยก่อไว้เพิ่งจะหมดลงไปเมื่อปีที่แล้ว
การมีชีวิตใหม่ในกรุงเทพฯ ไม่ง่ายนักสำหรับคนที่รากเหง้าอยู่ต่างจังหวัด บางคนที่สู้ไม่ไหวจึงตัดสินใจกลับไปอยู่บ้าน หางานง่ายๆ ทำและมีชีวิตแบบราบเรียบ ครอบครัวของเกวลินเองก็เคยจะบังคับหล่อนเช่นนั้นตั้งแต่เมื่อสามปีก่อนที่เปิดร้านเสื้อผ้าเจ๊งจนเป็นหนี้ก้อนโต แต่เกวลินมีเหตุผลที่หนักแน่นอยู่ในใจว่า ‘ห้าม’ กลับไปเด็ดขาด ชีวิตจึงลงเอยเช่นนี้ ทำงานหนักเพื่อหาเงินมาผ่อนจ่ายชีวิตในเมืองที่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็ไม่มีอะไรเป็นของตนเองอย่างแท้จริงเลยสักอย่าง
ตั้งแต่เด็กจนโต เกวลินมิเคยมีปรารถนาว่าตนเองจะเป็นผู้หญิงสู้ชีวิต ตรงกันข้าม หล่อนทั้งจับจด รักความสบาย และบางครั้งก็ใช้เงินมือเติบ และปัญหาหลายอย่างในชีวิตล้วนเกิดขึ้นจากความผิดพลาดของหล่อนเอง แต่มองในแง่ดี ถึงชีวิตโดยมากจะเหนื่อยและไม่สมบูรณ์แบบนัก แต่ในวันนี้หล่อนก็สามารถกลับมาถึงห้องพักได้โดยที่ไม่เปียกเลยสักนิดทั้งๆ ที่ฝนตกหนัก เรื่องเล็กๆ ที่ผิดวิสัยแค่นี้ก็น่าจะพอสร้างความรู้สึกดีให้ได้
ระหว่างที่กำลังครุ่นคิดถึง ‘ใครคนหนึ่ง’ ที่ช่วยให้หล่อนไม่ต้องเปียกฝนในตอนนี้ จงจินต์ก็โทรเข้ามาพอดี นักสืบสาวจึงนึกขึ้นได้ว่าเมื่อกลางวันได้ฝากฝังให้ลูกทีมค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มเพื่อนนักแสดงของชนมนว่าสามารถเชื่อมโยงอะไรกับบุคคลที่อดีตดาราสาวส่งข้อความไปหาก่อนเสียชีวิตได้หรือไม่ และเมื่อกดรับสาย จงจินต์ก็พูดเข้าประเด็นได้ตามที่คาดหวัง
“ฮัลโหลพี่ลิน ผมมีข้อมูลที่น่าสนใจหลายอย่างเกี่ยวกับ แก๊งเจ้าหญิง ไอ้วีร์กำลังส่งอีเมลไปให้ ข้อมูลเยอะหน่อยนะ แต่หลักใหญ่ใจความก็คือ...นอกจากชนมนแล้ว นายโกสินทร์ยังเคยคบหากับผู้หญิงในแก๊งนี้ทุกคน”
สายน้ำอุ่นจากฝักบัวไหลรินลงมายังร่างกำยำซึ่งยืนเปลือยเปล่าอยู่ในห้องน้ำกว้างขวาง ช่วยชำระความเหน็บหนาว รวมถึงเชื้อโรคบางชนิดที่อาจติดมากับน้ำฝนให้หมดจดลงไป แต่กระนั้น ความรู้สึกพิเศษบางอย่างที่ก่อเกิดอยู่ในใจของผู้หมวดหนุ่มกลับงอกงามขึ้นเรื่อยๆ ราวกับต้นกล้าได้รับน้ำมาชโลมรด
When the world is cold
I will feel a glow just thinking of you
And the way you look tonight...”
เสียงทุ้มลึกของ แฟรงค์ ซินาตร้า นักร้องชายที่ผู้หมวดหนุ่มชื่นชอบเป็นการส่วนตัวดังแว่วออกมาจากลำโพงโทรศัพท์มือถือ รวมทั้งดนตรีแจ๊ซในท่วงทำนองวาบหวาม ยิ่งทำให้ร้อยตำรวจโทชงคมมิอาจห้ามใจให้คิดถึง ‘ใครคนหนึ่ง’ ที่เพิ่งจะยืนอยู่ใต้ร่มเดียวกันกับเขาท่ามกลางสายฝนเทกระหน่ำเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนได้
แต่ทันทีที่ภาพใบหน้าคมคายและแววตาดื้อรั้นกำลังปรากฏอยู่ในมโนสำนึกนั้น เสียงเพลงที่เปิดอยู่ก็ดับไปพร้อมกับเสียงริงโทนเรียกเข้าดังขึ้นมาแทนที่ ผู้หมวดหนุ่มชะโงกออกมาจากตู้ฝักบัวมองหน้าจอโทรศัพท์ที่วางไว้ตรงอ่างล้างหน้า ทั้งที่ศีรษะยังเต็มไปด้วยฟองแชมพู พอเห็นเบอร์แปลกปรากฏอยู่ที่หน้าจอ ก็รู้สึกได้ขึ้นมาอย่างแรงกล้าว่าน่าจะต้องเป็น ‘หล่อน’ แน่นอน
และก็จริง
“สวัสดีค่ะผู้หมวด นี่ฉันเองนะ เกวลิน” เสียงใสสำเนียงห้วนดังออกมาจากลำโพงโทรศัพท์ทันทีที่ชายหนุ่มกดเปิดสปีกเกอร์โฟน
“ว่าไงครับคุณนักสืบ นี่ผมเดาถูกด้วยนะว่าต้องเป็นคุณ” ร้อยตำรวจโทชงคมตอบโต้ไปอย่างอารมณ์ดี ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยให้ความสำคัญในเรื่องลางสังหรณ์ แต่ในเวลานี้เห็นทีต้องลองทบทวนเรื่องนี้เสียใหม่ “ว่าแต่คุณไปรู้เบอร์ผมมาจากไหน”
“เบอร์คุณโชว์หราอยู่บนโปรไฟล์เฟซบุ๊ก ไม่รู้ตัวเลยเหรอคะ”
“อ๋อ” ผู้หมวดหนุ่มอมยิ้มเล็กน้อย พร้อมกับก้มหัวล้างฟองแชมพู “ที่แท้คุณก็เข้าแอบเข้าไปส่องเฟซผมนี่เอง”
“ไม่ได้แอบส่องสักหน่อย” ปลายสายตวาดแหวออกมาจนน่ากลัวว่าลำโพงโทรศัพท์จะแตก “คุณมาตามไลค์สเตตัสฉันก่อนนี่นา แต่เอาเถอะ...จะยังไงก็ตามแต่... เอ๊ะ! เดี๋ยวนะ นี่คุณยังอยู่นอกบ้านเหรอ”
“เปล่า” ผู้หมวดหนุ่มตอบกลับอย่างซื่อๆ
“แต่ฉันได้ยินเสียงฝนซู่ๆ จนฟังเสียงคุณไม่ค่อยได้ยินเลย”
“อ๋อ ผมอาบน้ำอยู่น่ะ”
“อะไรนะ” หญิงสาวตวาดแหวกลับมาจนชายหนุ่มถึงกับชะงัก ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเห็นเป็นเรื่องใหญ่ “แล้วทำไมไม่บอกล่ะ เดี๋ยวคุณโทรกลับหาฉันหลังคุณอาบน้ำเสร็จละกัน”
“ก็คุยตอนนี้แหละ” ร้อยตำรวจโทชงคมปิดฝักบัว “อ่ะ...ไม่มีเสียงน้ำแล้ว ทีนี้ไม่มีอะไรรบกวนสมาธิในการคุยโทรศัพท์แล้วละมั้ง”
ความคิดด้านมืดที่มักถูกกระตุ้นขึ้นเสมอเวลาได้พูดคุยกับอีกฝ่ายสั่งการให้ผู้หมวดหนุ่มพูดหยอกออกไป
“หรือว่ายังมี”
ถ้าในตอนนั้นชายหนุ่มมีโอกาสได้เห็นใบหน้าของหญิงสาว เขาก็คงจะรู้ว่าหล่อนกำลังหน้าแดงจัดอย่างไม่มีเหตุผล ซึ่งจริงๆ ก็เหตุผลก็มีอยู่นั่นแหละ เพียงแต่หล่อนคงไม่มีทางยอมรับว่ากำลังจินตนาการภาพเขาเปลือยกายอยู่ก็แค่นั้นเอง แต่กระนั้นร้อยตำรวจโทชงคมก็พอเดาได้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร
“โอเค ถ้าคุณไม่สะดวกใจจริงๆ ละก็ เดี๋ยวผมโทรกลับหาคุณ...หลังจากผมใส่เสื้อผ้าแล้วก็ได้”
“ไม่ต้อง!”
นั่นไง! เดาผิดเสียเมื่อไหร่ ผู้หมวดหนุ่มคิดพลางยิ้มออกมาอย่างสนุก แต่สุดท้ายก็กลายเป็นตัวเองที่รู้สึกเก้อขึ้นมาเสียอย่างนั้น จึงต้องไปคว้าผ้าชนหนูมาสวมไว้ในที่สุด
แต่ไม่มีทางที่จะบอกให้อีกฝ่ายรู้แน่ๆ