มาจากกระทู้
http://pantip.com/topic/34427510 ครับ
The Iron Empress : Writing’s On The Wall
จักรพรรดินีดอกไม้เหล็ก ภาคกำเนิดวีรสตรี
บทนำ
เด็กสาวยืนอยู่ตรงหน้าสุดของฝูงชนนับแสนที่มารวมตัวกันในจัตุรัสกลางเมืองและมีแถวยาวแทรกตามซอกตึกน้อยใหญ่ไปยังประตูเมืองทางทิศตะวันออก แม้แสงแดดที่แผดเผามาจากดวงอาทิตย์ที่อยู่กลางศีรษะพอดิบพอดี แต่ทุกคนก็พร้อมใจกันปาดเหงื่อและรอคอยการเริ่มต้นของงานเฉลิมฉลองวันชาติแห่งอาณาจักรเอสทีเซีย
อลิซตื่นขึ้นจากภวังค์ แสงประหลาดสีเขียวอมฟ้าบนท้องฟ้าปลุกให้ทุกคนตื่นขึ้น ไม่เว้นแม้แต่พ่อและพี่ชายทั้งสองของเธอ เสียงแรกที่เธอได้ยินนั้นมาจากบิดาที่นอนภายในบ้าน
“อลิซ แกออกไปดูหน่อยว่ามันเกิดอะไรขึ้น” แต่แทนที่เธอจะออกจากที่นอน เธอกับแหงนหน้าขึ้นมองบนท้องฟ้าที่แปลเปลี่ยนสีจากสีดำ สายตาทั้งคู่มองตามสิ่งที่ทำให้เกิดแสงนั้นก่อนที่จะเผลอหลับไปในที่สุด
เมื่อเด็กสาวรู้สึกตัว เธอพบว่าตัวเองกลับมายังตำแหน่งเดิมในความฝันก่อนที่จะสะดุ้งตื่น ตอนนี้เสียงคนที่อยู่รอบตัวเธอกำลังตะโกนโหวกเหวกโวยวายจนจับใจความไม่ได้ แต่แล้วเมื่อเสียงทรัมเป็ต แบ็กไพพ์และกลองดังขึ้น เด็กสาวมองไปยังแหล่งกำเนิดเสียงเหล่านั้น กลุ่มทหารเดินเรียงแถวหน้ากระดานหน้าคนพร้อมถือเครื่องดนตรีเดินตรงมาจากประตูชัยที่ห่างจากจัตุรัสประมาณหนึ่งกิโลเมตร เมื่อขบวนวงดุริยางค์ทหารผ่านไป เหล่าทหารราบที่แต่งชุดเต็มชุดเดินตามกันมา ก่อนจะหยุดลงที่ด้านหน้าจัตุรัสแห่งนั้น เด็กสาวมองขึ้นไปยังแท่นพิธีซึ่งตอนนี้เก้าอี้ไม้ด้านหลังถูกคนนั่งกันเต็มแล้ว และเมื่อสตรีในชุดราตรีสีทองก้าวขึ้นไปบนแท่น เสียงทุกอย่างก็เงียบเสียงลง อลิซเพ่งสายตามองไปยังสตรีคนนั้นและพบว่าสตรีได้สวมมงกุฎใบใหญ่พร้อมกับคือคทาและสะพายดาบไว้ข้างเอว แต่สิ่งที่ทำให้อลิซแปลกใจมากกว่าคือใบหน้าของหล่อนช่างเหมือนกับใบหน้าของเธอ
อลิซสะดุ้งตื่นอีกครั้งเหมือนกับเธอได้ยินเสียงเหมือนมีใครเรียก ตอนแรกเธอคิดว่าอาจจะเป็นพ่อหรือพี่ชายทั้งสอง แต่เมื่อเธอแอบมองไปยังห้องนอนของทั้งสาม ก็พบว่าทุกคนนั้นได้นอนหลับกันหมดแล้ว อลิซมองซ้ายทีขวาทีและหยิบผ้าขนแกะขึ้นมาคลุมโปงก่อนจะผล็อยหลับไป
คราวนี้เธอได้มายืนอยู่ด้านหน้าเวทีจนได้ยินเสียงคนที่นั่งบนแท่นคุยกัน แต่สายตาของอลิซนั้นจ้องมองแต่องค์จักรพรรดินีตรงหน้า และพระองค์ก็ทรงตรัสขึ้นมา
“สุภาพบุรุษและสตรีที่ได้ฟังข้าพเจ้าพูด ขอให้ข้าพเจ้าได้แสดงความเชื่ออย่างแรงกล้า ที่นี่จักรวรรดิเอสทีเซีย มันไม่ใช่รัฐหรือประเทศของข้าพเจ้าหรือของใครคนใดคนหนึ่ง มันคือบ้านของทุกๆคน ประชาชนชาวเอสทีเซียน ถึงแม้ว่าอดีตองค์ราชาจอร์จและราชินีวิกตอเรียแห่งอัสคาเซียได้สวรรคตไป ข้าพเจ้าก็มิได้สารต่อในเจตนารมณ์ของพระองค์ไปทุกอย่าง ข้าพเจ้าหวังเพียงประชาชนของข้าพเจ้าทุกคนอยู่อย่างมีความสุข ถึงข้าพเจ้าจะสิ้นชีพไป ข้าพเจ้าหวังว่าคนที่เข้ามาแทนที่ข้าพเจ้าจะสานต่อเจตนารมณ์ความต้องการของประชาชน แทนที่จะเป็นของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าหวังว่าเอสทีเซียจะยังคงเป็นชาติที่มีประวัติศาสตร์โดดเด่นและดีงาม เพราะประวัติศาสตร์จะเป็นตัวชี้นำแนวทางในอนาคต เมฆหมอกแห่งความเศร้าโคกครอบคลุมเราทุกคน ความคลางแคลงใจจากสงครามที่ผ่านมา แม้เมฆหมอกนั้นจะบังแสงอาทิตย์ในชั่วขณะ แต่ก็ไม่อาจดับแสงลงได้ เพราะการไม่ยอมแพ้คือสิ่งที่เป็นลักษณะเด่นของเราและเป็นลักษณะที่ใช้ตีความชาติอื่นๆ เช่นกัน ซึ่งเหล่านั้นไม่ได้มาจากตัวผู้นำ แต่มาจากประชาชน”
พระองค์ทรงหยุดตรัสครู่หนึ่งก่อนจะตรัสต่อ “ข้าพเจ้าขอกล่าวกับประชาชนของประเทศและบนโลกนี้ ข้าพเจ้าขอถ่อมตัวให้กับความยิ่งใหญ่ของทุกคน ขอถ่อมตัวให้ประวัติศาสตร์จากอดีตจนถึงปัจจุบัน ขอถ่อมตัวให้กับตำแหน่งผู้นำคนแรกของอาณาจักรแห่งนี้ ขอถ่อมตัวให้กับความรับผิดชอบที่ไว้วางใจข้าพเจ้าให้ทำหน้าที่นี้ ข้าพเจ้าให้สัญญาว่า อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่คือการให้ความช่วยเหลือกับเพื่อนร่วมโลก มิใช่เพื่อการยึดครองโลก ข้าพเจ้าทราบว่าในหลายปีที่ผ่านมา เราทุกคนต่างหลั่งเลือดให้กับสงครามมามากมายและอาจจะมีอีกในอนาคต แต่ในไม่ช้า เราต้องมุ่งหน้าไปอย่างดีที่สุด ไม่ใช่เพื่อข้าพเจ้า แต่เพื่อทุกๆคนที่อาศัยอยู่ในที่แห่งนี้ และข้าพเจ้าจะขออยู่เคียงข้างกับทุกๆคน”
อยู่ๆ พระองค์ก็หันหน้าไปมองเหล่าบรรดาคนที่นั่งอยู่ด้านหลังแท่นนั้น “ข้าพเจ้าขอวิงวอนกองทัพ ทหาร วิงวอนเหล่าขุนนาง” พระองค์ทรงหันกลับมายังแท่นพิธีต่อ “และประชาชนชาวเอสทีเซียนทุกท่านให้อยู่เคียงข้างกับข้าพเจ้า โดยไม่โอนเอน เพราะเมื่อเราทุกคนร่วมใจกัน เราจะสามารถแสดงพลังของอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่นี้ได้”
สุดท้ายพระองค์มองขึ้นไปบนฟ้า แหงนมองดวงอาทิตย์ที่กำลังทอแสงจ้า “ขอให้ดวงวิญญาณขององค์ราชาจอร์จและองค์ราชินีวิกตอเรียได้พักผ่อนและอยู่ร่วมกับผู้ยิ่งใหญ่ท่านอื่นๆในอดีตกาล และขอให้ทุกคนประสบความสำเร็จดังที่หวังไว้ ขอบคุณ”
สิ้นคำพูดขององค์จักรพรรดินี ทันใดนั้นอลิซเหมือนถูกจับเปลี่ยนที่ในความฝัน เธอมายืนอยู่บนจุดที่องค์จักรพรรดินีกล่าวสุนทรพจน์เมื่อครู่นี้ เธอรู้สึกประหม่าเมื่อได้เห็นสายตานับแสนคู่จ้องมองมายังตัวเอง และทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น
“ทรงพระเจริญ จักรพรรดินีอลิซาเบ็ธทรงพระเจริญ” และแล้วเสียงของทุกคนก็ดังขึ้นพร้อมกัน เสียงนั้นดังไปทั่วเมืองหลวงและอาจดังจนสั่นสะเทือนไปยังอาณาจักรอื่นๆ รอบข้างด้วย
ด้านนอกของบ้านอลิซ ชายปริศนาโพกหน้าโพกตายืนจ้องไปยังบ้านหลังนั้น ชุดคลุมสีดำของเขาทำให้ความมืดช่วยปกคลุมร่างไม่ให้ใครเห็น
“ในที่สุด ข้าก็หาเจ้าเจอ แล้วเราจะได้พบกันนะ สาวน้อย” ชายปริศนาหันหลังไปมองซากสุนัขที่กลายเป็นซากและมีเลือดใหญ่ออกมาจากแผลที่ท้องขนาดใหญ่
“ไม่สิ เธอชื่ออลิซนี่หน่า” และร่างปริศนานั้นก็อันตรธานหายไป
จักรพรรดินีดอกไม้เหล็ก ภาคกำเนิดวีรสตรี บทนำ (พึ่งแต่งครั้งแรก ติชมได้ครับ)
The Iron Empress : Writing’s On The Wall
จักรพรรดินีดอกไม้เหล็ก ภาคกำเนิดวีรสตรี
บทนำ
เด็กสาวยืนอยู่ตรงหน้าสุดของฝูงชนนับแสนที่มารวมตัวกันในจัตุรัสกลางเมืองและมีแถวยาวแทรกตามซอกตึกน้อยใหญ่ไปยังประตูเมืองทางทิศตะวันออก แม้แสงแดดที่แผดเผามาจากดวงอาทิตย์ที่อยู่กลางศีรษะพอดิบพอดี แต่ทุกคนก็พร้อมใจกันปาดเหงื่อและรอคอยการเริ่มต้นของงานเฉลิมฉลองวันชาติแห่งอาณาจักรเอสทีเซีย
อลิซตื่นขึ้นจากภวังค์ แสงประหลาดสีเขียวอมฟ้าบนท้องฟ้าปลุกให้ทุกคนตื่นขึ้น ไม่เว้นแม้แต่พ่อและพี่ชายทั้งสองของเธอ เสียงแรกที่เธอได้ยินนั้นมาจากบิดาที่นอนภายในบ้าน
“อลิซ แกออกไปดูหน่อยว่ามันเกิดอะไรขึ้น” แต่แทนที่เธอจะออกจากที่นอน เธอกับแหงนหน้าขึ้นมองบนท้องฟ้าที่แปลเปลี่ยนสีจากสีดำ สายตาทั้งคู่มองตามสิ่งที่ทำให้เกิดแสงนั้นก่อนที่จะเผลอหลับไปในที่สุด
เมื่อเด็กสาวรู้สึกตัว เธอพบว่าตัวเองกลับมายังตำแหน่งเดิมในความฝันก่อนที่จะสะดุ้งตื่น ตอนนี้เสียงคนที่อยู่รอบตัวเธอกำลังตะโกนโหวกเหวกโวยวายจนจับใจความไม่ได้ แต่แล้วเมื่อเสียงทรัมเป็ต แบ็กไพพ์และกลองดังขึ้น เด็กสาวมองไปยังแหล่งกำเนิดเสียงเหล่านั้น กลุ่มทหารเดินเรียงแถวหน้ากระดานหน้าคนพร้อมถือเครื่องดนตรีเดินตรงมาจากประตูชัยที่ห่างจากจัตุรัสประมาณหนึ่งกิโลเมตร เมื่อขบวนวงดุริยางค์ทหารผ่านไป เหล่าทหารราบที่แต่งชุดเต็มชุดเดินตามกันมา ก่อนจะหยุดลงที่ด้านหน้าจัตุรัสแห่งนั้น เด็กสาวมองขึ้นไปยังแท่นพิธีซึ่งตอนนี้เก้าอี้ไม้ด้านหลังถูกคนนั่งกันเต็มแล้ว และเมื่อสตรีในชุดราตรีสีทองก้าวขึ้นไปบนแท่น เสียงทุกอย่างก็เงียบเสียงลง อลิซเพ่งสายตามองไปยังสตรีคนนั้นและพบว่าสตรีได้สวมมงกุฎใบใหญ่พร้อมกับคือคทาและสะพายดาบไว้ข้างเอว แต่สิ่งที่ทำให้อลิซแปลกใจมากกว่าคือใบหน้าของหล่อนช่างเหมือนกับใบหน้าของเธอ
อลิซสะดุ้งตื่นอีกครั้งเหมือนกับเธอได้ยินเสียงเหมือนมีใครเรียก ตอนแรกเธอคิดว่าอาจจะเป็นพ่อหรือพี่ชายทั้งสอง แต่เมื่อเธอแอบมองไปยังห้องนอนของทั้งสาม ก็พบว่าทุกคนนั้นได้นอนหลับกันหมดแล้ว อลิซมองซ้ายทีขวาทีและหยิบผ้าขนแกะขึ้นมาคลุมโปงก่อนจะผล็อยหลับไป
คราวนี้เธอได้มายืนอยู่ด้านหน้าเวทีจนได้ยินเสียงคนที่นั่งบนแท่นคุยกัน แต่สายตาของอลิซนั้นจ้องมองแต่องค์จักรพรรดินีตรงหน้า และพระองค์ก็ทรงตรัสขึ้นมา
“สุภาพบุรุษและสตรีที่ได้ฟังข้าพเจ้าพูด ขอให้ข้าพเจ้าได้แสดงความเชื่ออย่างแรงกล้า ที่นี่จักรวรรดิเอสทีเซีย มันไม่ใช่รัฐหรือประเทศของข้าพเจ้าหรือของใครคนใดคนหนึ่ง มันคือบ้านของทุกๆคน ประชาชนชาวเอสทีเซียน ถึงแม้ว่าอดีตองค์ราชาจอร์จและราชินีวิกตอเรียแห่งอัสคาเซียได้สวรรคตไป ข้าพเจ้าก็มิได้สารต่อในเจตนารมณ์ของพระองค์ไปทุกอย่าง ข้าพเจ้าหวังเพียงประชาชนของข้าพเจ้าทุกคนอยู่อย่างมีความสุข ถึงข้าพเจ้าจะสิ้นชีพไป ข้าพเจ้าหวังว่าคนที่เข้ามาแทนที่ข้าพเจ้าจะสานต่อเจตนารมณ์ความต้องการของประชาชน แทนที่จะเป็นของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าหวังว่าเอสทีเซียจะยังคงเป็นชาติที่มีประวัติศาสตร์โดดเด่นและดีงาม เพราะประวัติศาสตร์จะเป็นตัวชี้นำแนวทางในอนาคต เมฆหมอกแห่งความเศร้าโคกครอบคลุมเราทุกคน ความคลางแคลงใจจากสงครามที่ผ่านมา แม้เมฆหมอกนั้นจะบังแสงอาทิตย์ในชั่วขณะ แต่ก็ไม่อาจดับแสงลงได้ เพราะการไม่ยอมแพ้คือสิ่งที่เป็นลักษณะเด่นของเราและเป็นลักษณะที่ใช้ตีความชาติอื่นๆ เช่นกัน ซึ่งเหล่านั้นไม่ได้มาจากตัวผู้นำ แต่มาจากประชาชน”
พระองค์ทรงหยุดตรัสครู่หนึ่งก่อนจะตรัสต่อ “ข้าพเจ้าขอกล่าวกับประชาชนของประเทศและบนโลกนี้ ข้าพเจ้าขอถ่อมตัวให้กับความยิ่งใหญ่ของทุกคน ขอถ่อมตัวให้ประวัติศาสตร์จากอดีตจนถึงปัจจุบัน ขอถ่อมตัวให้กับตำแหน่งผู้นำคนแรกของอาณาจักรแห่งนี้ ขอถ่อมตัวให้กับความรับผิดชอบที่ไว้วางใจข้าพเจ้าให้ทำหน้าที่นี้ ข้าพเจ้าให้สัญญาว่า อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่คือการให้ความช่วยเหลือกับเพื่อนร่วมโลก มิใช่เพื่อการยึดครองโลก ข้าพเจ้าทราบว่าในหลายปีที่ผ่านมา เราทุกคนต่างหลั่งเลือดให้กับสงครามมามากมายและอาจจะมีอีกในอนาคต แต่ในไม่ช้า เราต้องมุ่งหน้าไปอย่างดีที่สุด ไม่ใช่เพื่อข้าพเจ้า แต่เพื่อทุกๆคนที่อาศัยอยู่ในที่แห่งนี้ และข้าพเจ้าจะขออยู่เคียงข้างกับทุกๆคน”
อยู่ๆ พระองค์ก็หันหน้าไปมองเหล่าบรรดาคนที่นั่งอยู่ด้านหลังแท่นนั้น “ข้าพเจ้าขอวิงวอนกองทัพ ทหาร วิงวอนเหล่าขุนนาง” พระองค์ทรงหันกลับมายังแท่นพิธีต่อ “และประชาชนชาวเอสทีเซียนทุกท่านให้อยู่เคียงข้างกับข้าพเจ้า โดยไม่โอนเอน เพราะเมื่อเราทุกคนร่วมใจกัน เราจะสามารถแสดงพลังของอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่นี้ได้”
สุดท้ายพระองค์มองขึ้นไปบนฟ้า แหงนมองดวงอาทิตย์ที่กำลังทอแสงจ้า “ขอให้ดวงวิญญาณขององค์ราชาจอร์จและองค์ราชินีวิกตอเรียได้พักผ่อนและอยู่ร่วมกับผู้ยิ่งใหญ่ท่านอื่นๆในอดีตกาล และขอให้ทุกคนประสบความสำเร็จดังที่หวังไว้ ขอบคุณ”
สิ้นคำพูดขององค์จักรพรรดินี ทันใดนั้นอลิซเหมือนถูกจับเปลี่ยนที่ในความฝัน เธอมายืนอยู่บนจุดที่องค์จักรพรรดินีกล่าวสุนทรพจน์เมื่อครู่นี้ เธอรู้สึกประหม่าเมื่อได้เห็นสายตานับแสนคู่จ้องมองมายังตัวเอง และทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น
“ทรงพระเจริญ จักรพรรดินีอลิซาเบ็ธทรงพระเจริญ” และแล้วเสียงของทุกคนก็ดังขึ้นพร้อมกัน เสียงนั้นดังไปทั่วเมืองหลวงและอาจดังจนสั่นสะเทือนไปยังอาณาจักรอื่นๆ รอบข้างด้วย
ด้านนอกของบ้านอลิซ ชายปริศนาโพกหน้าโพกตายืนจ้องไปยังบ้านหลังนั้น ชุดคลุมสีดำของเขาทำให้ความมืดช่วยปกคลุมร่างไม่ให้ใครเห็น
“ในที่สุด ข้าก็หาเจ้าเจอ แล้วเราจะได้พบกันนะ สาวน้อย” ชายปริศนาหันหลังไปมองซากสุนัขที่กลายเป็นซากและมีเลือดใหญ่ออกมาจากแผลที่ท้องขนาดใหญ่
“ไม่สิ เธอชื่ออลิซนี่หน่า” และร่างปริศนานั้นก็อันตรธานหายไป