สวัสดีทุกท่าน
วันก่อนได้ยิน ได้อ่านผ่านๆตาเกี่ยวกับเรื่องใครไม่มีที่จอดห้ามซื้อรถ
ค่อนข้างเห็นด้วยมากๆ เพราะเหตุการณ์ที่ประสบพบเจอที่จะเล่าต่อจากนี้ครับ
คือบ้านผมเป็นบ้านหลังริม จะมีบริเวณที่จอดรถได้คือในบ้าน หน้าบ้าน และข้างบ้านซึ่งจริงๆเป็นที่กลับรถระหว่างแต่ละซอยที่โครงการหมู่บ้านทำไว้
ซึ่งโดยกรรมสิทธิ์ ถนน และที่กลับรถเป็นของที่ต้องใช้ร่วมกันอย่างไม่เห็นแก่ตัว
แต่โดยความเป็นจริง ตาม "มารยาท" เมื่อมีเหตุที่ในบ้านไม่สามารถจอดรถได้
หรือจำนวนรถมีมากกว่าที่จอดรถในบ้าน ทุกๆบ้านจะนำรถของตนเองมาจอดหน้าบ้าน ตามเขตรอบรั้วบ้านของตน
ผมและข้างบ้านที่ติดกันอยู่กันมาไม่ว่าข้างบ้านจะผ่านมากี่รุ่นที่ย้ายเข้าออกและทุกคนระแวกนั้นก็จะไม่ล้ำเส้นกันรู้ในธรรมเนียมของมารยาท
และหากมีความจำเป็น ไม่ว่าจะญาติมาหรืออะไรก็แล้วแต่ ก็จะขอจอดรถหน้าบ้านกันถ้อยทีถ้อยอาศัยมาโดยตลอด
แต่แล้ววันหนึ่ง - เหตุการณ์แรก
ที่กลับรถข้างบ้าน ซึ่งโดยปกติผมและพี่ข้างบ้านที่ติดกับที่กลับรถตรงนั้นจะจอดอยู่ในลักษณะที่ยังให้ผู้คนกลับรถได้สะดวก
รถบ้านที่ถัดไป 2-3 หลัง มาจอดข้างบ้านแทน ผมและพี่ข้างบ้านจึงเลื่อนมาจอดหน้าบ้านตัวเองไม่ได้มีปัญหาอะไร
แต่!!!! เช้าวันถัดมาผมถูกตะโกนเรียกปลุกทั้งที่เพิ่งนอนเมื่อตอนตี 4 ด้วยเหตุที่ว่า รถที่พี่แกถอยมาใหม่เป็นรอยขูดรอบคันจ้าาาา
แล้วมาหาว่าผมเป็นคนทำ ... เห้ยยยยย เห้ยยยยยย เดี๋ยวก่อน เอาสมองส่วนไหนคิด?
ผมสร่างขี้ตาหายง่วง แล้วบอกไปว่า แล้วทำไมไม่จอดหน้าบ้านตัวเองล่ะครับ? ใครทำก็ไม่รู้ จอดรถมั่วพอโดนแล้วมาโทษเจ้าของบ้าน มันใช่เรื่องป่ะ?
จากนั้น พี่แกก็ไม่มาจอดตรงจุดที่ว่าอีกเลย แต่!!!!!!
มันมาจอดหน้าบ้านผม(ขออนุญาติเรียกพี่เวนคนนี้ว่ามัน) แล้วบอกป้าข้างบ้านผมว่า ติดกล้องไว้ในรถและหันหน้ากล้องเข้ามาทางบ้านผม!!
โถถถถถ อ้าย โรค จิต เป็นเอามากนะครับ มันบอกว่าทำอะไรทีนี้รู้หมด ...
ใช่ครับ รู้หมด รู้แบบแอบจิตบันทึกภาพแม่ผมรดน้ำต้นไม้ทุกเช้างี้ป่ะ?
แต่ด้วยความที่ไม่ได้อยากมีเรื่อง ก็ปล่อยให้เค้าทำไป สบายใจก็เอา ผ่านไปนับปี เค้าก็เลิกและย้ายไปจอดที่อื่นแทน
หมดอ้ายโรคจิตวิตถารตั้งกล้องจากในรถแอบดูแม่รดน้ำต้นไม้ไปด้วยความนิ่งเฉยของผมและคนในบ้าน
(ตอนแรกพ่อผมจะไปเอาเรื่อง ที่บังอาจตั้งกล้องแอบถ่าย แต่คุยกันภายในบ้านว่านิ่งๆไว้เลยจบลงปกติ)
แต่แล้วอีกวันหนึ่ง - เหตุการณ์ที่สอง
ผมป่วย วันนั้นผมไปงานเลี้ยงกินพวกปลาหมึกแล้วดันไม่รู้ว่าตัวเองแพ้หมึกตัวเล็กๆที่เท่าหอยแครง ไม่รู้เรียกหมึกอะไร
กินใหญ่เลย สักพักเริ่มคัน ตุ่มชึ้นหน้า ตามตัว ตาบวม ตาจะปิด ฝืนขับรถกลับบ้านมาด้วยสภาพบวมเป่งทั้งตัว รู้สึกเจ็บๆ คันๆทั้งตัว เหมือนเป็นไข้ด้วย
ตัวร้อนเหงื่อออกท่วม แต่ในใจคิด เอาวะเป็นอะไรยังไงต้องกลับบ้าน พอมาถึง แม่เจ้าาาาาาาา!!!! ที่จอดเต็ม!!! พ่อก็ไม่อยู่ แม่ก็ไม่อยู่
คือรอบบ้าน รายล้อมด้วยรถของเพื่อนบ้านที่มารุมจอดขวางเต็มไปหมด หน้าบ้านเพื่อนบ้านก็เต็มเช่นกัน
แล้วสภาพตอนนั้น แรงก็แทบหมด อยากตกในสภาวะทิ้งตัว แบบแดนวรเวช แต่ทว่า จะจอดรถตรงไหน? กลางถนนมั้ย? ไม่ไหวแล้ว
เลยฮึดตะโกนช่วงตี 2 ไล่เดินตะโกนทุกบ้าน ไม่มีใครที่จะสนใจ ทุกบ้านเปิดแอร์นอนสบาย กดกริ่งก็ยังไม่ออก
จึงใช้แรงเฮือกสุดท้าย เตะยางล้อรถทุกคันเต็มแรง ให้สัญญาณดังแม่มทุกบ้าน ...... ออกมากันเต็มเลยจ้าาาาาาาา
คันไหนมีหรือไม่มีสัญญาณไม่รู้อ่ะเตะไว้ก่อน เราไม่ได้จงใจทำลายทรัพย์สิน แม้อยากจะทำใจจะขาด เราเตะที่ยางล้อเพื่อให้กระเทือน
จากนั้นไม่รู้ใครอะไรยังไง จอดรถได้ ทิ้งตัวทันทีไม่สนใจโลกภายนอกแล้ว ผมกำลังจะตายยยยย
แต่ตื่นมาเช้ามาก็หาย ผลที่ตามมาพ่อกะแม่กลับมาจากปราณบุรี รุมสวดยับจ้ะ
ถ้ามีเรื่องมีราวขึ้นมาจะทำไง? ไม่รู้จักคิด คนสมัยนี้ยิ่งบ้าๆ บลาๆๆๆๆ ไม่สนใจ นอนต่อ
แต่แล้วอีกวันหนึ่งของอีกวันหนึ่ง - เหตุการณ์ปัจจุบันวันนี้
หน้าบ้าน ช่วงนี้ผมเองไปๆมาๆต่างจังหวัด วางแผนที่ทางศึกษาพวกต้นไม้ และสถานที่เตรียมตัวทำรีสอร์ทกับทางบ้านที่ต่างจังหวัด
จึงอยู่บ้านนี้ สลับกับไปต่างจังหวัด 3 วัน ทุกสัปดาห์
ซึ่งบ้านนี้ผมตอนแรกขายได้แล้ว ซื้อบ้านใหม่โครงการระแวกเดียวกันไปแล้ว เพราะเบื่อความวุ่นวาย
แต่ไปๆมาๆพอบอกเลิกเค้าบอกอยากเก็บไว้ก่อน แล้วยกให้ผมค่อยๆคิดว่าจะทำอะไรกับมัน หรือสุดท้ายจะขายก็ให้ผมจัดการเอง
ผมเลยแปลงสภาพเป็นแปลงทดลองเล็กๆ 6-7 จุด ดูพฤติกรรมเรากับต้นไม้ว่าไลฟ์สไตล์
วิธีดูแล กับพืชผลผักใบชนิดไหนเหมาะกับการใช้ชีวิตเรา การตื่น การนอน การรดน้ำ จัดการแปลง
ถ้าอันไหนเวิร์คก็ขยับไปทำเสกลใหญ่ที่ต่างจังหวัด ที่นี่เลยเป็นที่เพาะต้นไม้ เสาวรส ฟักข้าว องุ่น สตรอเบอรี่ เมล่อน แคนตาลูป ผักบุ้ง แตงกวา มะเขือเทศ โอ้ย เยอะ ต้นมันเล็กจัดการเพาะทีละร้อยสองร้อยพอเต็มก็ขนไปไว้ต่างจังหวัดต่อ ถ้าทนสภาพได้ทั้งที่นี่และที่นู่น ถือว่าผ่าน
กล่าวมาซะยาวคือจะให้ทราบว่ามันเป็นเรื่องจำเป็นที่ผมต้องขนของ ขนดิน กระสอบ ขี้วัว หิน ทราย
เข้าๆออกๆบ้านอยู่ตลอดเวลา มันคือส่วนหนึ่งในการใช้ชีวิตเพื่อทำมาหารับประทานของผม
แต่แล้วบ้านที่มาอยู่ใหม่ฝั่งตรงข้ามแต่เยื้องๆหลังถัดไป ตอนแรกเอารถเก๋งมาจอดหน้าบ้าน
ผมจะเลื่อนรถมาจอดเอาของลงก็ไม่ได้ ต้องแบกมาจากข้างบ้านเดินอ้อมเอามาเข้าบ้าน
จะจอดหน้าบ้านข้างๆก็ไม่ได้ บ้านลุงข้างๆเค้าก็จอดรถเค้า
ที่สำคัญคือเค้าจะมาจอดทิ้งไว้ช่วงเช้ามืด แช่อยู่อย่างนั้น จนสองสามทุ่มมาเอารถไป
ผมจะทำงานทำต้นไม้ก็ค่อนข้างลำบาก พอเจอตัวเลยบอกว่า "ถ้าจะจอดไว้ทั้งวันช่วยเลื่อนไปจอดข้างบ้านผมได้มั้ย บางครั้งพี่บ้านติดกันเค้าไม่ได้จอดเดี๋ยวขยับรถให้" เค้าบอกแต่ว่าจะออกแล้ว
เลยปล่อยผ่าน วันต่อมาก็เอาอีก แบบเดิม ทุกวันแต่เปลี่ยนเป็นรถตู้ พอเจอตัวเลยบอกแบบเดิมอีก
เค้าก็บอกว่า "เดี๋ยวก็ไปแล้วมาเอาของแป๊บเดียว" แต่ที่ผมเห็นคือมาจอดทุกวัน แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรเลยปล่อยไป
มาวันนี้ เอารถร่วมกตัญญูมาจอด ..... เพี่ยเอ๊ยยยยยยย หลอนดิ ไม่กัวผีแต่มันหลอน
แล้วผมยกดินซื้อดินเข้าบ้านทุกวันต้องเดินอ้อมอีกตามเคย
คือเรื่องของเรื่องบ้านผมปลูกลิ้นจี่ต้นใหญ่ไว้และมันยื่นกิ่งไปบังแดดหน้าบ้านได้ร่มเงา
หลายๆบ้านชอบมาเนียนจอดทั้งๆที่หน้าบ้านตัวเองว่างก็ไม่เคยว่าอะไร
ผมจะเลื่อนรถมาเอาร่มเงาต้นไม้ที่อุตส่าห์ปลูกก็ไม่ได้ แต่ไม่เป็นไรอยู่ร่วมกันก็ถ้อยทีถ้อยอาศัยเพราะเค้ามาจอดตอนอยู่บ้าน
เดินไปบอกง่ายๆไม่ยาก แต่บ้านนี้มาจอดแล้วทิ้งรถไว้ตลอดกาลนานเทอญทั้งวัน จะเจอก็ฟลุคๆ
วันนี้เลยไม่ไหวละจะมานั่งเกรงใจแล้วตัวเองมาน้อยเนื้อต่ำใจที่ไม่มีปากมีเสียงกับชาวบ้านเค้าไม่ได้แล้ว
ไอ้ครั้นจะเถิบต้นไม้ไปเบียดเบียนถนนส่วนรวม เอาผ้าไปตาก เอากรวยไปตั้ง ก็ทุเรศตัวเอง ทำไม่ลง
ที่ดินไม่ใช่ของเรา มันของรวม และปกติสาปแช่งพวกที่ทำแบบนี้อยู่แล้ว
ยิ่งร้านค้าร้านไหนริมถนนทำแบบนี้ยิ่งแบนไม่ใช้บริการมาโดยตลอด
วันนี้จะทำแบบนั้น????? เปล่าเลย ไม่เคยคิด เลยต้องใช้วิธีเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร
ภาษาคน (แม้ลายมืออาจไม่ใช่คนก็ตาม ทำงานคอมมาเกลียดปากกาที่สุด โค้ดดิ้งจิ้มๆพิมพ์ๆ ผลลัพธ์อยู่ในคอมเท่านั้น เวลาคุยงานกับลูกค้าแล้วต้องเขียน รู้สึกละอายมาก ลูกค้าก็คงสมเพชด้วยแหละ)
พยายามหลีกเลี่ยงการมีเรื่องไม่หือไม่อือกับใครแล้ว แต่ต้องหาวิธีให้ตัวเองไม่ลำบากด้วย จึงส่งไปในตู้จดหมายแบบนี้ครับ
เรื่องที่จอดรถ ปัญหาระดับชาติ โลก และอาจลามยาวไปถึงดาวนาแม็ก
วันก่อนได้ยิน ได้อ่านผ่านๆตาเกี่ยวกับเรื่องใครไม่มีที่จอดห้ามซื้อรถ
ค่อนข้างเห็นด้วยมากๆ เพราะเหตุการณ์ที่ประสบพบเจอที่จะเล่าต่อจากนี้ครับ
คือบ้านผมเป็นบ้านหลังริม จะมีบริเวณที่จอดรถได้คือในบ้าน หน้าบ้าน และข้างบ้านซึ่งจริงๆเป็นที่กลับรถระหว่างแต่ละซอยที่โครงการหมู่บ้านทำไว้
ซึ่งโดยกรรมสิทธิ์ ถนน และที่กลับรถเป็นของที่ต้องใช้ร่วมกันอย่างไม่เห็นแก่ตัว
แต่โดยความเป็นจริง ตาม "มารยาท" เมื่อมีเหตุที่ในบ้านไม่สามารถจอดรถได้
หรือจำนวนรถมีมากกว่าที่จอดรถในบ้าน ทุกๆบ้านจะนำรถของตนเองมาจอดหน้าบ้าน ตามเขตรอบรั้วบ้านของตน
ผมและข้างบ้านที่ติดกันอยู่กันมาไม่ว่าข้างบ้านจะผ่านมากี่รุ่นที่ย้ายเข้าออกและทุกคนระแวกนั้นก็จะไม่ล้ำเส้นกันรู้ในธรรมเนียมของมารยาท
และหากมีความจำเป็น ไม่ว่าจะญาติมาหรืออะไรก็แล้วแต่ ก็จะขอจอดรถหน้าบ้านกันถ้อยทีถ้อยอาศัยมาโดยตลอด
แต่แล้ววันหนึ่ง - เหตุการณ์แรก
ที่กลับรถข้างบ้าน ซึ่งโดยปกติผมและพี่ข้างบ้านที่ติดกับที่กลับรถตรงนั้นจะจอดอยู่ในลักษณะที่ยังให้ผู้คนกลับรถได้สะดวก
รถบ้านที่ถัดไป 2-3 หลัง มาจอดข้างบ้านแทน ผมและพี่ข้างบ้านจึงเลื่อนมาจอดหน้าบ้านตัวเองไม่ได้มีปัญหาอะไร
แต่!!!! เช้าวันถัดมาผมถูกตะโกนเรียกปลุกทั้งที่เพิ่งนอนเมื่อตอนตี 4 ด้วยเหตุที่ว่า รถที่พี่แกถอยมาใหม่เป็นรอยขูดรอบคันจ้าาาา
แล้วมาหาว่าผมเป็นคนทำ ... เห้ยยยยย เห้ยยยยยย เดี๋ยวก่อน เอาสมองส่วนไหนคิด?
ผมสร่างขี้ตาหายง่วง แล้วบอกไปว่า แล้วทำไมไม่จอดหน้าบ้านตัวเองล่ะครับ? ใครทำก็ไม่รู้ จอดรถมั่วพอโดนแล้วมาโทษเจ้าของบ้าน มันใช่เรื่องป่ะ?
จากนั้น พี่แกก็ไม่มาจอดตรงจุดที่ว่าอีกเลย แต่!!!!!!
มันมาจอดหน้าบ้านผม(ขออนุญาติเรียกพี่เวนคนนี้ว่ามัน) แล้วบอกป้าข้างบ้านผมว่า ติดกล้องไว้ในรถและหันหน้ากล้องเข้ามาทางบ้านผม!!
โถถถถถ อ้าย โรค จิต เป็นเอามากนะครับ มันบอกว่าทำอะไรทีนี้รู้หมด ...
ใช่ครับ รู้หมด รู้แบบแอบจิตบันทึกภาพแม่ผมรดน้ำต้นไม้ทุกเช้างี้ป่ะ?
แต่ด้วยความที่ไม่ได้อยากมีเรื่อง ก็ปล่อยให้เค้าทำไป สบายใจก็เอา ผ่านไปนับปี เค้าก็เลิกและย้ายไปจอดที่อื่นแทน
หมดอ้ายโรคจิตวิตถารตั้งกล้องจากในรถแอบดูแม่รดน้ำต้นไม้ไปด้วยความนิ่งเฉยของผมและคนในบ้าน
(ตอนแรกพ่อผมจะไปเอาเรื่อง ที่บังอาจตั้งกล้องแอบถ่าย แต่คุยกันภายในบ้านว่านิ่งๆไว้เลยจบลงปกติ)
แต่แล้วอีกวันหนึ่ง - เหตุการณ์ที่สอง
ผมป่วย วันนั้นผมไปงานเลี้ยงกินพวกปลาหมึกแล้วดันไม่รู้ว่าตัวเองแพ้หมึกตัวเล็กๆที่เท่าหอยแครง ไม่รู้เรียกหมึกอะไร
กินใหญ่เลย สักพักเริ่มคัน ตุ่มชึ้นหน้า ตามตัว ตาบวม ตาจะปิด ฝืนขับรถกลับบ้านมาด้วยสภาพบวมเป่งทั้งตัว รู้สึกเจ็บๆ คันๆทั้งตัว เหมือนเป็นไข้ด้วย
ตัวร้อนเหงื่อออกท่วม แต่ในใจคิด เอาวะเป็นอะไรยังไงต้องกลับบ้าน พอมาถึง แม่เจ้าาาาาาาา!!!! ที่จอดเต็ม!!! พ่อก็ไม่อยู่ แม่ก็ไม่อยู่
คือรอบบ้าน รายล้อมด้วยรถของเพื่อนบ้านที่มารุมจอดขวางเต็มไปหมด หน้าบ้านเพื่อนบ้านก็เต็มเช่นกัน
แล้วสภาพตอนนั้น แรงก็แทบหมด อยากตกในสภาวะทิ้งตัว แบบแดนวรเวช แต่ทว่า จะจอดรถตรงไหน? กลางถนนมั้ย? ไม่ไหวแล้ว
เลยฮึดตะโกนช่วงตี 2 ไล่เดินตะโกนทุกบ้าน ไม่มีใครที่จะสนใจ ทุกบ้านเปิดแอร์นอนสบาย กดกริ่งก็ยังไม่ออก
จึงใช้แรงเฮือกสุดท้าย เตะยางล้อรถทุกคันเต็มแรง ให้สัญญาณดังแม่มทุกบ้าน ...... ออกมากันเต็มเลยจ้าาาาาาาา
คันไหนมีหรือไม่มีสัญญาณไม่รู้อ่ะเตะไว้ก่อน เราไม่ได้จงใจทำลายทรัพย์สิน แม้อยากจะทำใจจะขาด เราเตะที่ยางล้อเพื่อให้กระเทือน
จากนั้นไม่รู้ใครอะไรยังไง จอดรถได้ ทิ้งตัวทันทีไม่สนใจโลกภายนอกแล้ว ผมกำลังจะตายยยยย
แต่ตื่นมาเช้ามาก็หาย ผลที่ตามมาพ่อกะแม่กลับมาจากปราณบุรี รุมสวดยับจ้ะ
ถ้ามีเรื่องมีราวขึ้นมาจะทำไง? ไม่รู้จักคิด คนสมัยนี้ยิ่งบ้าๆ บลาๆๆๆๆ ไม่สนใจ นอนต่อ
แต่แล้วอีกวันหนึ่งของอีกวันหนึ่ง - เหตุการณ์ปัจจุบันวันนี้
หน้าบ้าน ช่วงนี้ผมเองไปๆมาๆต่างจังหวัด วางแผนที่ทางศึกษาพวกต้นไม้ และสถานที่เตรียมตัวทำรีสอร์ทกับทางบ้านที่ต่างจังหวัด
จึงอยู่บ้านนี้ สลับกับไปต่างจังหวัด 3 วัน ทุกสัปดาห์
ซึ่งบ้านนี้ผมตอนแรกขายได้แล้ว ซื้อบ้านใหม่โครงการระแวกเดียวกันไปแล้ว เพราะเบื่อความวุ่นวาย
แต่ไปๆมาๆพอบอกเลิกเค้าบอกอยากเก็บไว้ก่อน แล้วยกให้ผมค่อยๆคิดว่าจะทำอะไรกับมัน หรือสุดท้ายจะขายก็ให้ผมจัดการเอง
ผมเลยแปลงสภาพเป็นแปลงทดลองเล็กๆ 6-7 จุด ดูพฤติกรรมเรากับต้นไม้ว่าไลฟ์สไตล์
วิธีดูแล กับพืชผลผักใบชนิดไหนเหมาะกับการใช้ชีวิตเรา การตื่น การนอน การรดน้ำ จัดการแปลง
ถ้าอันไหนเวิร์คก็ขยับไปทำเสกลใหญ่ที่ต่างจังหวัด ที่นี่เลยเป็นที่เพาะต้นไม้ เสาวรส ฟักข้าว องุ่น สตรอเบอรี่ เมล่อน แคนตาลูป ผักบุ้ง แตงกวา มะเขือเทศ โอ้ย เยอะ ต้นมันเล็กจัดการเพาะทีละร้อยสองร้อยพอเต็มก็ขนไปไว้ต่างจังหวัดต่อ ถ้าทนสภาพได้ทั้งที่นี่และที่นู่น ถือว่าผ่าน
กล่าวมาซะยาวคือจะให้ทราบว่ามันเป็นเรื่องจำเป็นที่ผมต้องขนของ ขนดิน กระสอบ ขี้วัว หิน ทราย
เข้าๆออกๆบ้านอยู่ตลอดเวลา มันคือส่วนหนึ่งในการใช้ชีวิตเพื่อทำมาหารับประทานของผม
แต่แล้วบ้านที่มาอยู่ใหม่ฝั่งตรงข้ามแต่เยื้องๆหลังถัดไป ตอนแรกเอารถเก๋งมาจอดหน้าบ้าน
ผมจะเลื่อนรถมาจอดเอาของลงก็ไม่ได้ ต้องแบกมาจากข้างบ้านเดินอ้อมเอามาเข้าบ้าน
จะจอดหน้าบ้านข้างๆก็ไม่ได้ บ้านลุงข้างๆเค้าก็จอดรถเค้า
ที่สำคัญคือเค้าจะมาจอดทิ้งไว้ช่วงเช้ามืด แช่อยู่อย่างนั้น จนสองสามทุ่มมาเอารถไป
ผมจะทำงานทำต้นไม้ก็ค่อนข้างลำบาก พอเจอตัวเลยบอกว่า "ถ้าจะจอดไว้ทั้งวันช่วยเลื่อนไปจอดข้างบ้านผมได้มั้ย บางครั้งพี่บ้านติดกันเค้าไม่ได้จอดเดี๋ยวขยับรถให้" เค้าบอกแต่ว่าจะออกแล้ว
เลยปล่อยผ่าน วันต่อมาก็เอาอีก แบบเดิม ทุกวันแต่เปลี่ยนเป็นรถตู้ พอเจอตัวเลยบอกแบบเดิมอีก
เค้าก็บอกว่า "เดี๋ยวก็ไปแล้วมาเอาของแป๊บเดียว" แต่ที่ผมเห็นคือมาจอดทุกวัน แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรเลยปล่อยไป
มาวันนี้ เอารถร่วมกตัญญูมาจอด ..... เพี่ยเอ๊ยยยยยยย หลอนดิ ไม่กัวผีแต่มันหลอน
แล้วผมยกดินซื้อดินเข้าบ้านทุกวันต้องเดินอ้อมอีกตามเคย
คือเรื่องของเรื่องบ้านผมปลูกลิ้นจี่ต้นใหญ่ไว้และมันยื่นกิ่งไปบังแดดหน้าบ้านได้ร่มเงา
หลายๆบ้านชอบมาเนียนจอดทั้งๆที่หน้าบ้านตัวเองว่างก็ไม่เคยว่าอะไร
ผมจะเลื่อนรถมาเอาร่มเงาต้นไม้ที่อุตส่าห์ปลูกก็ไม่ได้ แต่ไม่เป็นไรอยู่ร่วมกันก็ถ้อยทีถ้อยอาศัยเพราะเค้ามาจอดตอนอยู่บ้าน
เดินไปบอกง่ายๆไม่ยาก แต่บ้านนี้มาจอดแล้วทิ้งรถไว้ตลอดกาลนานเทอญทั้งวัน จะเจอก็ฟลุคๆ
วันนี้เลยไม่ไหวละจะมานั่งเกรงใจแล้วตัวเองมาน้อยเนื้อต่ำใจที่ไม่มีปากมีเสียงกับชาวบ้านเค้าไม่ได้แล้ว
ไอ้ครั้นจะเถิบต้นไม้ไปเบียดเบียนถนนส่วนรวม เอาผ้าไปตาก เอากรวยไปตั้ง ก็ทุเรศตัวเอง ทำไม่ลง
ที่ดินไม่ใช่ของเรา มันของรวม และปกติสาปแช่งพวกที่ทำแบบนี้อยู่แล้ว
ยิ่งร้านค้าร้านไหนริมถนนทำแบบนี้ยิ่งแบนไม่ใช้บริการมาโดยตลอด
วันนี้จะทำแบบนั้น????? เปล่าเลย ไม่เคยคิด เลยต้องใช้วิธีเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร
ภาษาคน (แม้ลายมืออาจไม่ใช่คนก็ตาม ทำงานคอมมาเกลียดปากกาที่สุด โค้ดดิ้งจิ้มๆพิมพ์ๆ ผลลัพธ์อยู่ในคอมเท่านั้น เวลาคุยงานกับลูกค้าแล้วต้องเขียน รู้สึกละอายมาก ลูกค้าก็คงสมเพชด้วยแหละ)
พยายามหลีกเลี่ยงการมีเรื่องไม่หือไม่อือกับใครแล้ว แต่ต้องหาวิธีให้ตัวเองไม่ลำบากด้วย จึงส่งไปในตู้จดหมายแบบนี้ครับ