ขอให่ได้ ขอให้โดน....โอมพร่วง เอ้ย!!! โอมเพี้ยง

หลังจากที่เอ๋อ...เสร่อ....และ หาผู้ชาย(เก่า)ไม่เจอที่โอซาก้า ศักราชนี้เราเปลี่ยนที่หมายใหม่ค่ะ หนุ่มใต้ไม่สมหวัง ลองมาแอ่วแถวหนุ่มอีสานดูบ้าง ฮิๆๆ :X
……และแล้วบริษัทก็ปราณี ชะนีน้อยจากเมืองไทย ส่งมาร่ำเรียนความรู้ใหม่ ที่กลับไปต้องไปถ่ายทอดทายาทอสูร เป็นเวลา 6 เดือน

ที่ประเทศญี่ปุ่น จังหวัดมิยางิ เมืองเซนได (ที่ดังเพราะสึนามิ หน่ะค่ะ) ด้วยความที่ว่า สนใจในหน้าตาและผิวขาวๆของหนุ่มชาตินี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เลยคิดว่าจะสร้างมนุษย์ลูกครึ่งไทย – ญี่ปุ่น อิอิอิ เล่นมุขอ่ะค่ะZzzz ใครตามทันมั่ง
จริงๆแล้วก็คือคิดว่า 6 เดือนนี้จะหาหนุ่มยุ่นซักคนมาเติมเต็มหัวใจนั่นเอง มันต้องได้ มันต้องโดนบ้างล่ะหน่ะ ฮ่าๆๆผ่านไป 5 เดือน ไวเหมือนโกหก ดิฉันก็ไม่ได้ และก็ไม่โดนค่ะ ฮ่าๆๆ จนเข้าเดือนสุดท้ายที่เหลืออยู่......

คือ เรื่องมีอยู่ว่าตอนมาถึงญี่ปุ่นได้ 2 เดือนแรกมันมีวันหยุดยาวเลยอยากจะลงไปเที่ยวกับเพื่อนสาวที่โตเกียวโดยวิธีประหยัดสุดคือ นั่งไนท์บัส แล้วเนื่องจากไหว้วานให้น้องที่เป็นล่าม ซื้อตั๋วที่ถูกที่สุดให้ บริษัทรถที่นั่งนั้นไม่มีเว็บภาษาอังกฤษเลย ก็เลยหาจุดขึ้นรถไม่เจอ เจอผู้ชายญี่ปุ่นก็เข้าไปถาม นางพูดภาษาไทยได้ด้วยค่ะ ก็เลยได้รับความช่วยเหลือจากนั้นเราก็แลกไลน์กัน แล้วคุยกันตามประสา อิอิ

ตอนเช้าก็แค่ โอะฮาโยวววว ชิโกะโตะกัมบัตเตะเนะ!!!
ตอนเย็นก็ ถึงบ้านแล้ว ราตรีสวัสดิ์ แค่นี้ ประมาณนี้ จริงๆค่ะ ผ่านไปประมาณ 2 สัปดาห์นางถามว่า เราไปกินข้าวกันได้ไหมครับ ดิฉันก็คิดว่าอย่างน้อยก็ได้เพื่อน และได้รู้ร้านอาหารอร่อยๆ เพิ่มเลยตอบตกลงไปกัน.....
เรานัดเจอกันเย็นวันพุธหลังเลิกงาน นางทำงานอยู่ที่เซนไดเลย แต่ตัวดิฉันนั้นต้องนั่งรถไฟไปประมาณ 15 นาทีค่ะ
เรานัดเจอกันตอนทุ่มครึ่งที่สถานีเซนไดค่ะ

คือ ขาว ใส และเป็นอะไรไม่รู้ แพ้การแต่งตัวของผู้ชายญี่ปุ่นค่ะ นางก็ใส่สูท สไตล์หนุ่มออฟฟิสทั่วไป แต่สรุปโดยรวมแล้วเพื่อนทานราเมงในวันนี้ดิฉันคิดว่าหน้าดี และ ตัวหอม ฮ่าๆๆ (ชอบคนที่กลิ่นอ่า ไม่รู้เป็นไร ^^)
วันนี้เราตกลงว่าจะไปกินราเมงกันค่ะ นางแนะร้านมาบอกว่ามิโซะ อร่อย เราเดินกันไปตามถนน ย่านช๊อปปิ้งของเซนได เดินเยอะอ่ะค่ะ จนถึงตรอกนึงคิดว่าน่าจะใช่ ร้านแล้วหล่ะ ตลอดทางเราก็คุยกันไทยบ้าง ญี่ปุ่นบ้าง อังกฤษบ้าง เพลินๆ
ชีวิตนางก็เป็นพนักงานบัญชี มิน่าหล่ะอ้อนแอ้นเชียวววววค่ะ (ที่ญี่ปุ่นผู้ชายเรียนบัญชีเยอะนะ เพราะเท่าที่คลุกคลีมาเจอหลายคนเลย) เมื่อก่อนทำงานที่โตเกียวแต่ตอนนี้พึ่งย้ายมาทำงานที่เซนไดได้ 2 ปี ดิฉันก็เหรอคะ หิวแล้วอ่ะ เมื่อไหร่จะถึง....ลุงพาป้าหลงป่ะเนี่ย

แล้วที่ตลกกว่านั้นสำหรับการนัดทานข้าวกันครั้งแรกของเราค่ะ....ร้านที่นางแนะนำมัน “ปิด” ให้มันได้อย่างนี้ เดินมาก็ไกล ร้านดันมาปิด นางเขิลและอายมากเลยค่ะ พูดแต่ว่าขอโทษ (อร๊ายยย หูแดงน่าร๊ากกกก)
ดิฉันก็บอกว่า เย้ยยยย...ไม่เป็นไร กินร้านไหนก็ได้แค่อยากกินราเมง สรุปเราไปจบกันตรงร้านราเมงใกล้ๆตึกที่นางทำงานค่ะ
นางก็ชี้ให้ดู ผมทำงานที่ตึกนี่นะ (แต่ชะนีความจำสั้นอย่างดิฉัน จำไม่ได้หรอกนะ ฮ่าๆๆ)
ระหว่างที่เรากินราเมงกันดิฉันถามนางว่า “เขียนหนังสือ มือซ้ายเหรอคะ” นางตื่นเต้นมากกกกกก ถึงมากที่สุดว่าดิฉันรู้ได้อย่างไร (เพื่อนๆทายสิคะ ว่าดิฉันรู้ได้อย่างไร)
ถึงขั้นปลื้มปริ่ม ฮ่าๆๆ นอกจากนั้น ดิฉันทำให้นางทึ่งในความสามารถอีกรอบโดยการบอกนางไปว่า คุณเลือดกรุ๊ป เอ ใช่ไหม ฮ่าๆๆๆ นี่คือแผนล่อผู้ชายญี่ปุ่นที่ดิฉันใช้ประจำค่ะ อิอิอิ (แอบเสื่อม)

พอทานเสร็จก็ลากันตรงหน้าร้าน.....นางบอกว่าจะกลับไปสถานีเซนไดมี 2 วิธีคือ เดิน กับ ขึ้นรถไฟใต้ดิน ( เพราะร้านที่กินเดินมาค่อนข้างไกลจากสถานี)
ส่วนผมก็จะเดินกลับห้องครับ.....
อ่าวๆๆ เอาแล้วไง ดิฉันนึกในใจ
เห้ย!!! นี่ลุงจะไม่ไปส่งจริงเหรอ.....แต่ก็นึกในใจไม่ได้เป็นไรกันนี่หว่าแค่เพื่อนกินข้าวเฉยๆ เลยได้แต่ทำตาแป๋ว พยักหน้า หงึกๆๆ
และแล้ววมันก็ได้ผลค่ะ ผู้ชายใจอ่อนบอกเดี๋ยวผมไปส่งคุณครึ่งทาง ทางนั้นผมเดินกลับบ้านได้เหมือนกับ และเราก็เดินกลับสถานีเซนได เพื่อที่จะมาส่งดิฉันขึ้นรถไฟกลับค่ะ..... เดินไปเดินมานางบอกจะส่งแค่ครึ่งทาง แต่เอาเข้าจริงก็ส่งถึงสถานีเลยค่ะ ก็เซย์กู๊ดบายกันไป ดิฉันก็กลับที่พักของบริษัท

**** มาจากอนาคตค่ะ ฮ่าๆๆๆ เพี้ยนฮัลโหล
มาอัพเดทนะคะ ผู้ชายคนนั้นหน่ะ อิอิอิ ดิฉันแต่งงานกับ ผู้ญี่ปุ่นคนนั้นแล้วนะคะ เมื่อเดือนมิถุนา ปี 2560 แล้วคร๊าบบบ
พึ่งได้คุยกับรุ่นพี่เรื่องกระทู้ เลยนึกถึงเรื่องของตัวเอง เลยขออัพเดทในปีนี้เลยแล้วกัน
ส่วนลูกน้อยกลอยใจ กำลังทำค่ะ ฮ่าๆๆๆ 
ให้กำลังใจแม่บ้านเต่าเหยียบโลกคนนี้ด้วยนะคะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่